True World โลกแท้จริง-ตอนที่ 10 แหวนนำโชคระดับ F

โดย  Blackest Fantasy

True World โลกแท้จริง

ตอนที่ 10 แหวนนำโชคระดับ F

'ชล' 'ชลครับ' 'โช๊นนน' เสียงเรียกชื่อผมจากนายนะโมแทบจะกลายเป็นเสียงที่ผมได้ยินบ่อยจนหลอนหูในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะอีตาผีซักอบรีดทำตัวเสมือนเด็กน้อยที่ตื่นเต้นไปกับทุกสิ่ง พบเห็นสิ่งใดแปลกตาก็ต้องเรียกผมมาดูไปเสียหมด

และนี่ก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้วที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปจากคนธรรมดาที่เคยใช้ชีวิตปกติทั่วไปกลับกลายเป็นคนที่สามารถสัมผัส มองเห็น และสื่อสารกับคนที่ตายไปแล้วได้ ไปที่ไหนก็เห็น ไปที่ไหนก็เจอ ที่แย่ที่สุดก็คือไม่มีแนวโน้มว่าผมจะทำใจให้ชินได้สักที ได้แค่พยายามทำตามคำแนะนำของนายนะโมให้ได้มากที่สุด คือต่อให้กลัวแค่ไหนก็อย่ากะโตกกะตากพยายามอย่าให้พวกเขารู้ว่าผมมองเห็นแล้วรีบออกมาจากจุดนั้นเสีย ซึ่งผมก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่โชคยังดีเพราะหลังจากวันแรกที่ผมโดนรับน้องโหดก็ยังไม่ได้เจอพวกเขาในเวอร์ชั่นที่น่าสยดสยองขนาดนั้นอีกเลย

แต่จะน่ากลัวมากหรือน่ากลัวน้อย ก็ผีอยู่ดี...

อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในรอบที่สัปดาห์ที่ผ่านมาคือผมตื่นมาใส่บาตรทุกเช้าแม้ว่าร้านจะเลิกดึกแค่ไหนผมก็ยังสลัดขี้ตาตื่นมาได้ไม่เคยขาด แรก ๆ พ่อแม่ก็มีสงสัยบ้างที่เห็นผมทำอะไรที่ไม่คุ้นตาผมก็ได้แต่บอกปัดว่าแค่อยากทำบุญรับวัยเบญจเพส แม้ว่าอีกแค่ไม่ถึงสามเดือนช่วงวัยเบญจเพสของผมก็จะผ่านพ้นไปแล้วก็เถอะ ส่วนหนึ่งอาจจะต้องยกความดีความชอบให้กับคุณตานีผู้มีเสียงโหยหวนเหมือนผีเปรตที่ขยันตื่นมาร้องเพลงในทุก ๆ เช้า กลายเป็นนาฬิกาปลุกที่ผมไม่ได้ร้องขอไปโดยปริยาย หากใครได้ยินเสียงยัยเจ๊นั่นเหมือนที่ผมได้ยินแล้วยังสามารถนอนหลับได้ละก็ผมจะขอคารวะให้หนึ่งจอกใหญ่ ๆ เลย

ส่วนคุณลุงเจ้าที่นั้นหลังจากวันที่ผมพานายนะโมเข้าบ้านท่านก็ไม่เคยปรากฏตัวให้ผมเห็นอีกเลย


ผมเดินถือถาดที่ด้านบนมีถ้วยตะไลอยู่สามถึงสี่ใบบรรจุข้าวสวยและกับข้าวอย่างละนิดหน่อยออกมาที่หน้าร้านหมูกระทะของตัวเอง ก่อนจะวางมันลงตรงมุมที่ไม่สะดุดตาคนที่สัญจรไปมาและจุดธูปปักไว้ในถ้วยข้าว เพียงไม่กี่วินาทีที่กลิ่นธูปกระจายออกไปภาพที่ทำเอาผมใจเต้นตึกตักได้ทุกวันก็ปรากฏ ดวงวิญญาณที่สภาพดูสะบักสะบอมจากทุกสารทิศโผล่ออกมารุมกินอาหารที่ผมวางไว้อย่างหิวโซ แม้จะกลัวแค่ไหนผมก็ต้องฝืนเก็บอาการและทำเป็นเมินแสร้งว่ามองไม่เห็นพวกเขา

เอ้า กินให้อิ่มแล้วก็ช่วยเรียกลูกค้าด้วยล่ะ

เป็นกิจวัตรในเกือบจะทุกเย็นที่จะต้องเข้ามาดูแลความเรียบร้อยที่ร้านหมูกระทะอันเป็นกิจการแห่งความภาคภูมิใจของผม หลังจากเรียนจบแล้วผมไม่ชอบทำงานประจำจึงขอเงินพ่อมาลงทุนเปิดร้าน ผ่านมาไม่กี่ปีร้านผมกลายเป็นร้านยอดนิยมของคนที่ชอบบุฟเฟ่ต์ไปแล้ว ด้วยวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สูตรมักเนื้อ น้ำจิ้ม น้ำซุปที่ผ่านการคิดค้นมาอย่างพิถีพิถัน รับประกันได้ถึงความอร่อยและสะอาด ราคาเป็นมิตร จนถึงตอนนี้มีคนติดต่อซื้อแฟรนไชส์ร้านผมไปเปิดแล้วหลายสาขา

ผมกลับเข้าร้านมาเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยตามปกติ เวลานี้น้อง ๆ พนักงานกำลังเริ่มจัดเตรียมโต๊ะเก้าอี้ให้เป็นระเบียบ เนื้อสัตว์และวัตถุดิบต่าง ๆ ก็ถูกทยอยนำมาจัดเรียงสำหรับให้ลูกค้าตักได้ตามพอได้ แค่มีข้อแม้ว่าตักไปแล้วต้องกินหมดไม่เช่นนั้นอาจจะต้องมีการปรับเงินลูกค้าเพิ่ม

"สวัสดีครับพี่ชล" ผมหันมองตามเสียงทักทายจากเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษามีกีตาร์คู่ใจสะพายหลังที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในร้าน

"ไง พัตเตอร์"

นอกจากอาหารที่มีคุณภาพแล้วไอ้เด็กนี่อาจจะเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ร้านผมมีลูกค้าเยอะ 'พัตเตอร์' เป็นนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษร้องเพลงและเล่นดนตรีที่ร้านผม หนุ่มลูกเสี้ยวที่ทางฝั่งพ่อมีเชื้อสายทางยุโรป เด็กนี่จึงหล่อละมุนแบบสายฝ. สไตล์เล่นกีตาร์ก็พลิ้วไหวเข้ากับเสียงที่นุ่มทุ้มมีเสน่ห์ของเจ้าตัวเป็นอย่างดี สังเกตได้เลยว่าวันไหนที่พัตเตอร์มาเล่นลูกค้าสาว ๆ ร้านผมจะเยอะเป็นพิเศษ ไอ้เด็กนี่เนื้อหอมขนาดที่ว่ามีร้านเหล้าหลายร้านมารุมจีบให้ไปทำงานด้วย แต่เจ้าตัวก็บอกปัดเขาไปหมดยืนยันจะเล่นที่ร้านผมแค่ร้านเดียว เขาบอกเขารวยอยู่แล้วแค่มาทำงานพิเศษเอาสังคมเท่านั้น

ยังไม่ได้ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ดอกกุหลาบสีแดงที่ผมไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายถือมาด้วย ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าผม พร้อมด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์เฉพาะตัวของไอ้เด็กนี่ ถ้าแฟนคลับสาว ๆ มาเห็นคงได้ใจละลาย ซึ่งผมได้แต่มองปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์

อะไรวะ อยู่ดี ๆ ก็ยื่นดอกไม้มา

"อ๋อ คือพอดีมีเด็กมาขายที่หน้าม.น่ะ ผมสงสารก็เลยช่วยอุดหนุน ผมไม่รู้จะเอาไปทำอะไรให้พี่ชลก็แล้วกัน"

"อ่า อืม ขอบใจนะ" ผมรับดอกไม้มางง ๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเลยเอามาให้ผมเนี่ยนะ ดอกกุหลาบเขามีแต่จะเอาไปให้คนที่ชอบ แต่ช่างเถอะน้องมันอุตส่าห์ให้ผมก็รับไว้ไม่อยากให้เสียน้ำใจ

"ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ" ว่าแล้วพัตเตอร์แยกไปประจำตำแหน่งตรงแท่นที่ทำไว้เป็นเวทีเล็ก ๆ มีไมค์และเครื่องเสียงพร้อมสำหรับให้เจ้าตัวใช้แสดงที่กลางร้าน

ระหว่างตั้งสายกีตาร์เด็กนั้นหันมายิ้มให้ผมเป็นครั้งคราว ผมก็ยิ้มตอบบ้างแต่ก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ดอกกุหลาบที่เพิ่งได้มาก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนผมจึงตั้งใจจะเอาไปเก็บไว้ที่โต๊ะทำงาน แต่เดินไปยังไม่ทันถึงโต๊ะผมก็ต้องชะงักกลางทาง เมื่อแจ็คเก็ตสีแดงที่ผมเริ่มเห็นบ่อยจนใกล้จะชินตาปรากฏพร้อมผู้สวมใส่ขวางทางผมไว้เสียก่อน

คราวนี้ผมแค่สะดุ้งเล็กน้อย นับว่าดีขึ้นมากจากวันแรก ๆ ที่เห็นนายนี่วาร์ปไปโผล่ตรงนั้นทีตรงนี้ทีแบบนี้

"เสน่ห์แรงจริงนะ" นายนะโมว่าพร้อมกอดอกทำหน้ามุ่ย เป็นอะไรอีกล่ะ

ผมเลือกจะเดินผ่านตัวนายนั่นทำทีเหมือนเขาเป็นเพียงแค่อากาศ ถ้าหากผมคุยกับเขาตรงนี้ขึ้นมาพนักงานทั้งร้านคงหาว่าผมเป็นบ้าพูดคนเดียว จากนั้นผมจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองวางดอกไม้ของพัตเตอร์ลงและคว้าเอาหูฟังบลูทูธขึ้นมาสวมหูทำทีเหมือนกำลังจะคุยโทรศัพท์ไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต ซึ่งหมอนั่นก็ยังเดินตามผมมาต้อย ๆ

"พูดบ้าอะไรของบ้านาย" ตอนนี้ผมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้แทนตัวเองกับนายนะโมจากผมกับคุณเป็นฉันกับนายแล้ว ตามพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยน่าพูดเพราะด้วยสักเท่าไหร่

วันนี้ผมยอมให้นายนี่ตามมาที่ร้านด้วย เพราะเจ้าตัวบ่นว่าอยู่บ้านแล้วโดนพี่นีตามเต๊าะไม่เลิก

"อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะ ที่ชลรับดอกไม้จากไอ้เด็กนั่น"

"ไม่ได้ยินที่น้องมันบอกเหรอว่าซื้อมาเพราะสงสารเด็กขายดอกไม้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย"

"ชลนั่นแหละไม่เห็นสายตาที่ไอ้เด็กนั่นมองชลเหรอ ถ้ากินชลเข้าไปได้มันคงกินไปแล้ว" ผมโคลงศีรษะอย่างหน่ายใจกับความคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อยของนายนะโม

เจ้าพัตเตอร์มาขอทำงานที่ร้านผมตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปีหนึ่งจนตอนนี้เจ้าตัวใกล้จะเรียนจบแล้ว ก็เหมือนผมได้เห็นการเติบโตของน้องมันมาตลอด ในสายตาผมเจ้าเด็กนั่นก็คือน้องชายคนหนึ่ง นายนะโมคิดอะไรไม่เข้าท่า

"อ้าว พี่สา" ผมละความสนใจจากนายผีที่พูดไปเรื่อย เพราะคนที่เพิ่งมาใหม่

'พี่สา' คือหญิงวัยสามกลาง ๆ เธอคนนี้เป็นผู้ช่วยผมเองครับ ทำงานกับผมมาตั้งแต่ช่วงที่ผมเปิดร้านแรก ๆ พี่สาเป็นคนทำงานดี ขยัน ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ ผมไหว้วานให้เธอช่วยดูแลร้านและพนักงานแทนอยู่เป็นครั้งคราวในตอนที่ผมติดภารกิจ พี่สาเป็นที่รักของทุกคนที่นี่เพราะเธอเป็นคนมีน้ำใจคอยช่วยเหลือน้อง ๆ ในร้านตลอด จนทุกคนตั้งฉายาให้เธอว่าเป็นแม่พระประจำร้าน

แต่วันนี้ผมว่าพี่สาดูมีอาการแปลก ๆ ใบหน้าของเธอดูหม่นหมองไม่สดใสเหมือนกับทุกวัน เดินมาพลางทุบ ๆ นวด ๆ แถวต้นคอและหัวไหล่ ดูเหมือนน่าจะมีอาการเจ็บปวดบริเวณนั้น และผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความสามารถพิเศษที่ผมเพิ่งได้รับมาหรือผมแค่จิตปรุงแต่งมั่วซั่วไปเองจึงทำให้ผมรู้สึกคล้ายว่ารอบ ๆ ตัวพี่สาถูกปกคลุมด้วยมวลบางอย่าง ที่ผมก็มองไม่เห็นและไม่สามารถอธิบายได้

"พี่สาไม่สบายหรือเปล่าพี่" ผมถามเพราะเห็นสภาพเธอวันนี้แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้

"ไม่เป็นอะไรหรอกชล พี่แค่ปวดไหล่นิดหน่อย" เธอพูดอย่างนั้นแต่ดูสีหน้าเธอแล้ว ผมว่าไม่น่าจะนิดหน่อย

"ผมว่าวันนี้พี่ลาพักดีกว่าไหม ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนเลย"

"ไม่ดีกว่าชล พี่โอเค ไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วันหยุดแล้วค่อยพักทีเดียว" ว่าจบพี่สาก็แยกตัวไปหลังร้านเพื่อสมทบกับพนักงานคนอื่น ๆ

แต่จังหวะที่พี่สาเดินผ่านหน้าผมไปดูเหมือนว่า สาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดไหล่ที่พี่สาเป็นก็ประจักษ์แก่สายตาผม ตอนนั้นจู่ ๆ ก็เหมือนโลกทั้งใบถูกความมืดมิดเข้าครอบงำอย่างกะทันหัน การเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดนิ่งสนิท และคล้ายกับว่ามีแสงสปอตไลต์ที่ส่องให้ความสว่างเพียงสองจุด นั่นคือที่ผมและพี่สา ทว่าในตอนนี้ผมกลับเห็นร่างของหญิงนิรนามสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ตามเนื้อตัวเธอมีรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด และเธอคนนั้นกำลังนั่งอยู่บนบ่าของพี่สา หัวใจผมแทบจะหยุดเต้นในตอนที่เธอค่อย ๆ เอียงคอหันมาทางผม ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนเห็นเส้นเลือด แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นยามที่เธอมองมาทางผม ผมสัมผัสได้ว่านัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และน้ำตาเธอก็ไหลอาบเต็มแก้มทั้งสองข้าง แต่เพียงไม่นานน้ำตานั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเลือดสีแดงสดที่ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสอง

"อย่ายุ่งกับเรื่องของกู" น้ำเสียงแหบพร่าจากเธอคนนั้น เอ่ยช้า ๆ และเน้นชัดทุกพยางค์ จากนั้นเธอจึงละสายตาจากผมกลับไปก้มมองผู้หญิงอีกคนที่เธอกำลังขี่คอ และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ทุกการเคลื่อนไหวยังคงดำเนิน แสงสว่างกลับคืนมาราวกับว่าเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และผมก็มองไม่เห็นผู้คนนั้นแล้ว แต่ผมยังคงมองตามหลังพี่สาไปแบบตาไม่กะพริบ นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรพี่สา แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่กับพี่สาแบบนี้ได้ เรื่องเมื่อครู่มันเกิดขึ้นไวเสียจนไม่มีเวลาที่จะตกใจ

"พี่สะ.."

"อย่าไปยุ่งกับเวรกรรมของคนอื่นครับชล" นายนะโมพูดขัดจังหวะขึ้นในตอนที่ผมกำลังจะเรียกพี่สาเพื่อเตือนบางสิ่ง

"นายไม่เห็นเหรอนะโม ผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำร้ายพี่สานะ" ผมว่าอย่างร้อนใจ

"เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน ชลเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก" คราวนี้นายนะโมพูดอย่างจริงจังย้ำชัดในคำพูดตัวเอง ไม่ได้ดูติดเล่นเหมือนทุกที

แต่คนที่แสนดีอย่างพี่สานี่น่ะหรือ จะไปสร้างเวรสร้างกรรมกับใคร จนอีกฝ่ายเขาโกรธแค้นจนตามเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้

"แล้วทีนายล่ะ นายยังขอร้องให้ฉันช่วยนายได้เลย แล้วทำไมฉันจะช่วยพี่สาไม่ได้"

"มันไม่เหมือนกันชล ผมกับชลเรามีบางอย่างที่ผูกพันกัน แต่กับพี่ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่"

ผมเข้าใจในเหตุผลที่นายนะโมกำลังอธิบาย แต่ผมเลือกที่จะไม่ฟังคำเขาและลุกขึ้นหมายจะตามพี่สาไปที่หลังร้าน ในเมื่อผมต้องรับสภาพในการเป็นคนที่เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นแล้ว ผมก็ควรที่จะใช้ความสามารถตรงนี้ในการช่วยเหลือคนใกล้ตัวจากสิ่งเหล่านี้ และผมก็มั่นใจว่าพี่สาที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่จะไปทำร้ายใครได้

ผมเดินมุ่งหน้าไปทางหลังร้านโดยไม่สนใจเสียงทักท้วงจากนะโม แต่ไม่ทันจะถึงจุดหมายก็มีเหตุให้ผมจะต้องหยุดลงกลางทางเพราะใครบางคนนั้นคว้าเข้าที่แขนผม

"พัตเตอร์" เจ้าเด็กที่ควรจะกำลังซ้อมเพลงอยู่บนเวที เป็นคนมารั้งตัวผม เจ้าเด็กนั่นจับแขนผมมั่นสีหน้าจริงจัง "ปล่อยพี่นะ"

"นี่ไม่ใช่เรื่องของพี่ชล อย่าเข้าไปยุ่งเลยครับ เดี๋ยวตัวพี่ชลเองจะเดือดร้อนไปด้วย" ผมชะงักงันกับสิ่งที่พัตเตอร์ว่า เจ้าเด็กนี่พูดในทำนองเดียวกับนายนะโม ราวกับรู้ว่าผมกำลังพบเจอกับสิ่งใด

"อย่าบอกนะว่านายเห็นเหมือนที่เห็นด้วย"

"พี่ชลหมายถึงอะไรล่ะ ผู้ชายเสื้อแดงที่พี่ชลคุยด้วย หรือผู้หญิงที่อยู่กับพี่สา" เพียงเท่านั้นดวงตาทั้งสองของผมก็เบิกกว้าง นี่น้องมันเห็นสิ่งที่ผมด้วยอย่างนั้นหรือ

นับว่าเป็นเรื่องที่ช็อกยิ่งกว่าเจอวิญญาณดวงไหน ๆ คือการได้เจอกับคนที่มีชะตากรรมคล้าย ๆ กัน

"พัตเตอร์นี่นาย..."

"เรื่องของผมเอาไว้ก่อนเถอะ แต่ตอนนี้พี่ต้องเลิกคิดที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องของพี่สาก่อน" พัตเตอร์ว่าพร้อมลอบชำเลืองมองนายนะโมที่มาโผล่อยู่ด้านข้างผม คล้ายเป็นการยืนยันว่าเจ้าตัวเห็นแบบเดียวกับที่ผมเห็นจริง ๆ

"จะให้ทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะพัตเตอร์ ถ้าเราเห็นเหมือนพี่ เราก็ต้องเข้าใจพี่สิ" ผมว่าไปพร้อมกับมองเจ้าเด็กตัวโตตรงหน้าอย่างผิดหวัง ไม่คิดว่าพัตเตอร์จะเลือดเย็นขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้เห็นทุกอย่างแต่กลับจะปล่อยให้พี่สาเผชิญกับสิ่งที่ดูไม่น่าจะหวังดีโดยไม่คิดจะช่วยอะไร

เจ้าเด็กนี่ทำได้แต่ผมทำไม่ได้หรอก

ผมสลัดแขนพัตเตอร์ออก และตรงดิ่งเปิดประตูเข้าไปหาพี่สาที่หลังร้าน โดยไม่สนใจต่อเสียงทักท้วงจากทั้งคนและผีด้านหลัง

"พี่สาครับ" ผมกระโดดเข้าไปดักหน้าพี่สา โดยมีพัตเตอร์และนายนะโมตามมาสมทบด้านหลัง เธอมองผมอย่างตั้งคำถาม "คือว่าผมมีเรื่องจะ..."

"กรี๊ด!!!!"

ยังไม่ทันที่ผมจะได้บอกอะไรกับพี่สา ทุกอย่างก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากใครบางคนดึงความสนใจจากทุกคนในร้านให้หันไปมองพร้อมกันเป็นตาเดียว เสียงนั้นดังมาจากโซนห้องครัว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นหากใครกลัวเลือดมาเห็นเข้าคงเป็นอันหงายท้องตึง 'พี่เชอร์รี่' แม่ครัวผู้ชำนาญเรื่องการใช้มีดเป็นอย่างดี จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน มีดทำครัวที่คมกริบอันเป็นอุปกรณ์ทำงานคู่ใจของเธอบัดนี้มันปักแทงทะลุฝ่ามือของเธอยึดติดกับเขียงจนเลือดสาดกระเซ็น

"พี่เชอร์รี่!" ผมและคนอื่น ๆ ที่อยู่หลังร้านกระโจนเข้าไปที่ครัวพร้อม ๆ กัน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงาน

สภาพของพี่เชอร์รี่ทำเอาผมใจเสีย เลือดสีแดงฉานนองบนเขียงจนน่ากลัว คนเจ็บกรีดร้องดิ้นรนอย่างทรมาน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนอุบัติเหตุธรรมดา มันไม่ใช่แค่มีดบาด แต่มันดูคล้ายจะเป็นการจงใจปักมีดเข้ามือตัวเองชัด ๆ แต่คนปกติที่ไหนจะทำแบบนั้น เว้นเสียแต่ว่าเธอจะถูกควบคุมโดยบางสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็น ผมหันมองพัตเตอร์และนะโมเพื่อขอความเห็น สองคนนั้นสีหน้าวิตกพยักหน้าเล็กน้อย ยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงสิ่งที่ผมคิด

"ชล รีบพาเชอร์รี่ไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวพี่ดูแลที่ร้านให้เอง" พี่สาว่าอย่างร้อนใจ

"ใช่พี่ชล รีบพาพี่เชอร์รี่ไปหาหมอเถอะ" พัตเตอร์กล่าวสมทบ

ผมมองทั้งพี่สาและพี่เชอร์รี่สลับกัน เวลานี้เธอทั้งสองก็น่าเป็นห่วงพอ ๆ กัน แต่ผมก็จำต้องตัดสินใจพักเรื่องพี่สาเอาไว้และพาพี่เชอร์รี่ไปโรงพยาบาลทั้งมีดที่ยังเสียบคา


ผมที่ยังหลอนกับโรงพยาบาลขนาดพี่เขยนอนพักรักษาตัวอยู่ก็ยังไม่คิดจะไปเยี่ยม แต่สุดท้ายไม่อาจเลี่ยงได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงที่ไม่น่าเป็นฝีมือมนุษย์กับพนักงานในความดูแลของผม โชคดีที่ตอนนี้อาการของเธอปลอดภัยดีแล้ว

ผมได้สอบถามพี่เชอร์รี่ระหว่างทางมาโรงพยาบาลเธอบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เธอรู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ตอนที่เห็นมือเห็นขวาของตัวเองคว้ามีดและง้างแทงเข้าที่มือซ้าย ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ ขนาดพี่เชอร์รี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยวิญญาณดวงนั้นยังทำได้ขนาดนี้ แล้วพี่สาล่ะ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง

"พี่ชลเห็นหรือยังว่าแรงแค้นของวิญญาณอาฆาตมันน่ากลัวขนาดไหน เพราะอย่างนี้ผมถึงไม่อยากให้พี่เข้าไปยุ่ง" พัตเตอร์ว่าพร้อมหย่อนก้นลงนั่งข้างผมตรงเก้าอี้หน้าห้องทำแผล เจ้าเด็กนี่ขอตามมาที่โรงพยาบาลด้วย

"คนอย่างพี่สาน่ะเหรอพัตเตอร์ จะไปทำอะไรให้ใครแค้นได้ขนาดนั้น"

"ก็ไม่แน่หรอกชล เขาดีกับคุณก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดีกับคนอื่นด้วย" นายนะโมที่ยืนอยู่อีกมุมว่า

ผมถอนใจเอนหลังพิงพนักอย่างปลงไม่ตก จะเหตุผลอะไรผมก็ไม่อาจจะทำใจปล่อยวางเรื่องพี่สาได้

"ว่าแต่พี่ชลเถอะ ทำไมจู่ ๆ ถึงเห็นวิญญาณได้ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยเห็นว่าพี่จะมีอาการอะไรแบบนี้"

"ไปกวนตีนหมอผีมาน่ะ เลยโดนสาป" ผมตอบตามความจริง แต่เจ้าพัตเตอร์เลิกคิ้วคล้ายจะไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูด จนผมต้องทำหน้าจริงจังเพื่อยืนยันคำพูดตัวเองเขาจึงพยักหน้ารับ

"แล้ว..." พัตเตอร์มองผมคล้ายกำลังมีคำถามก่อนจะเสตามองนายนะโม

"เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้ให้พี่มีสติกว่านี้ค่อยให้ฟังก็แล้วกัน" แม้สีหน้าจะยังเต็มไปด้วยความสงสัยแต่พัตเตอร์คงจะเข้าใจว่าผมยังไม่พร้อมจะเล่าอะไร เขาจึงได้แต่พยักหน้าและไม่พยายามเซ้าซี้

"ว่าแต่เราเถอะเป็นแบบนี้มานานหรือยัง

"ตั้งแต่แปดขวบแล้ว" ผมหูผึ่งตั้งใจฟังสิ่งเด็กนั่นพูด เห็นผีมาตั้งแต่แปดขวบตอนนี้เขายี่สิบเอ็ด ผมอดสงสัยไม่ได้เลยว่าเขาใช้ชีวิตมาได้อย่างไรจนโตป่านนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยแสดงอาการใด ๆ ให้ผมระแคะระคายว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น แต่ผมสิ เพิ่งเป็นแบบนี้มาไม่กี่วันยังแทบประสาทเสีย

"ตอนเด็ก ๆ ผมเคยจมน้ำจนวิญญาณออกจากร่างน่ะ ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นแล้ว"

"เดี๋ยวนะ" ผมเลิกคิ้วเพราะสะดุดกับบางสิ่งที่ที่พัตเตอร์เล่า

"เราบอกว่าเราเคยวิญญาณออกจากร่างอย่างนั้นเหรอ" ตามเรื่องที่เล่าก็หมายความว่าพัตเตอร์เคยอยู่ในสภาวะเหมือนนายนะโมตอนนี้ บางทีเจ้าเด็กนี่อาจจะช่วยให้อะไร ๆ มันง่ายขึ้นก็ได้

พัตเตอร์พยักหน้ารับ ผมจึงถามต่อ

"แล้วกลับเข้าร่างได้ยังไง"

"ผมก็ไม่รู้ ผมจำได้แค่ว่าผมยืนอยู่ที่ขอบสระว่ายน้ำ เห็นคนอุ้มร่างตัวเองขึ้นมาจากก้นสระ แล้วเขาก็ปั๊มหัวใจผมจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว รู้สึกตัวอีกทีก็ฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล"

เรื่องของพัตเตอร์ดูจะช่วยอะไรนายนะโมไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะวิญญาณของเด็กนั่นออกจากร่างแค่ชั่วขณะ ไม่ได้ถึงขั้นล่องลอยและไม่รู้ว่าร่างตัวเองอยู่ไหนแบบที่นายนะโมเป็น แต่อย่างน้อยเรื่องของพัตเตอร์ก็ช่วยยืนยันได้ว่าคนเราสามารถวิญญาณออกจากร่างและกลับเข้าร่างได้จริง อย่างนั้นนายนะโมก็ยังมีโอกาสอยู่จริง ๆ


หลังจากจัดการเรื่องพี่เชอร์รี่เรียบร้อย ผมให้เธอลาพักจนกว่าจะหายดีค่อยกลับมาทำงาน ผม พัตเตอร์และนายนะโมยังคงกลับมาที่ร้าน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นพี่สาดูแลทุกอย่างแทนผมได้เป็นอย่างดีเช่นทุกครั้ง ทว่าอาการปวดคอและไหล่ของเธอดูจะหนักขึ้นกว่าเมื่อตอนเย็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะล้าจากงานหรือเพราะมีบางสิ่งต้องการให้เป็น

ผมพยายามที่จะไม่กระโตกกระตากเพราะรู้ซึ้งแล้วถึงฤทธิ์เดชของผีผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเธอยังทำอะไรได้มากกว่านี้แน่นอน หนำซ้ำยังมีทั้งพัตเตอร์และนะโมที่คอยกันท่าไม่ให้ผมได้คุยกับพี่สา คืนนั้นทั้งคืนผมจึงไม่มีโอกาสได้เตือนเธอ ถึงภัยร้ายที่เธออาจจะต้องเผชิญ

แต่ผมยังคงตั้งใจไว้แน่วแน่ ไม่ว่าอย่างไรผมก็จะต้องหาทางช่วยพี่สาให้ได้

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว