มาเฟียร้ายไม่รัก (มีE-Book)-บทที่ 2-1 การแต่งงานและค่ำคืนแรก

โดย  ลวดหนาม

มาเฟียร้ายไม่รัก (มีE-Book)

บทที่ 2-1 การแต่งงานและค่ำคืนแรก

หลังจากการทดสอบของหลินเฟิงจบลง ไม่นาน การทดสอบรอบสามก็จบลงตามมา ด้วยจำนวนคนผ่าน 25 คน จากประมาณ 80 คนที่ผ่านรอบสองเข้ามา แบ่งเป็น 15 คนจากกลุ่มขั้น 7 และอีก 10 คนจากกลุ่มขั้น 8


จี้หวางค่อนข้างประหลาดใจกับจำนวนคนผ่านการทดสอบ เดิมทีเขาคิดว่าอย่างมากคงจะเพียง 20 คนเท่านั้น แต่นี้มากกว่าที่เขาคาดการไว้ถึง 5 คน และผลก็มาจากการแสดงของหลินเฟิงที่ทำให้รุ่นเยาว์หลายๆมีกำลังใจและพยายามทำให้ได้อย่างหลินเฟิง


แต่ด้วยความต่างของประสบการณ์และรากฐานที่มั่นคง แข็งแรงทำให้คนอื่นๆไม่สามารถทำเช่นหลินเฟิงได้ แต่ก็มีหลายคนที่เดิมไม่คิดว่าจะผ่านก็สามารถผ่านมาได้เช่นกัน นี้ทำให้จี้หวางค่อนข้างดีใจที่มีศิษนอกเข้าร่วมมากขึ้น


“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ” หลินหลานกล่าวกับหลินเฟิง


“แน่นอน ข้าต้องแข็งแกร่งอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะปกป้องเจ้าได้เช่นไร” หลินเฟิง


“หึ ข้าสามารถดูแลตัวเองได้” หลินหลานแก้มแดงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวตอบกลับไป


หลังจากหลินเฟิงกับหลินหลานคุยกันได้สักพัก หลินอี้หานก็เดินเข้าหามาหลินเฟิง พร้อมด้วยหลนฮุยและรุ่นเยาว์ตระกูลเซี่ย รุ่นเยาว์ตระกูลเซี่ยสามารถผ่านการทดสอบเข้ามาได้ 2 คน ส่วนตระกูลหลินนั้นสามารถผ่านมาได้ทุกคน แม้ว่าหลินฮุยจะเกือบไม่ผ่านก็ตาม


“เข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะพัฒนาได้เร็วขนาดนี้” หลินอี้หานกล่าวกับหลินเฟิง


หลินเฟิงหันไปมองกลุ่มของหลินอี้หานที่เดินมา เขาเห็นหลินฮุยอยู่ในนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจหลินฮุยเลยแม้แต่น้อย ส่วนเรื่องเมื่อก่อนเป็นเรื่องของเด็กทะเลาะกันและเขาก็ได้พิสูจน์ตนเองแล้วไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเรื่องของอดีต


“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก ข้าแค่เคยสู้กับ อาชาพยศมาก่อนแล้ว จึงรู้ว่ามันจะโจมตีเช่นไร หากข้าไม่เคยสู้กับมันมาก่อน ข้าคงไม่สามารถหลบการโจมตีได้ง่ายขนาดนั้นเป็นแน่” หลินเฟิงกล่าวอธิบาย เขารู้ว่าหลินอี้หานนั้นคิดอะไรอยู่


“อะไร!! เจ้าเคยสู้กับสัตว์อสูรมาแล้ว”หลินอี้หานตะลึงกับคำตอบของหลินเฟิง ไม่ใช่เพียงหลินอี้หานเท่านั้น ยังมีรุ่นเยาว์ตระกูลเซี่ยอีก


ตอนนี้หลินเฟิงกับหลินอี้หานคล้ายๆกับเป็นเพื่อนกันเสียแล้ว พวกเขาไม่ได้คิดเรื่องศักดิ์ที่เป็นอาหลานกัน เพราะจะอย่างไรพวกเขาก็อายุใกล้ๆกัน หากเรียกอาเรียกหลาน คงไม่เหมาะสมเท่าใด เรื่องนี้หลินหยางกับหลินเทียนก็กล่าวมาเช่นกัน


พวกเขายังไม่เคยสู้กับสัตว์อสูรมาก่อนเลย พวกเขาได้รับคำแนะนำมาเท่านั้นว่าควรทำอย่างไรเมื่อเจอกับอาชาพยศและเสือหางกระดูก แต่หลินเฟิงกับเคยต่อสู้มา นี้ทำให้พวกเขาคิดว่าหลินเฟิงได้รับการฝึกฝนมาอย่างไรกันแน่


แม้ว่าบางคนจะเคยสู้มาบ้างแล้วแต่ก็เป็นสัตว์อสูรระดับ 1ขั้นต่ำเท่านั้น ซึงมันเทียบกับ อาชาพยศไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าพวกเขาได้อย่างไร นั้นเป็นเพราะว่านอกจากรากฐานแล้วยังมีประสบการณ์ที่มากกว่าพวกเขาด้วย และด้วยความกล้าของหลินเฟิงที่จะสู้กับอาชาพยศที่มีระดับเทียบเท่าตัวเองทำให้พวกเขาที่เหลือต่างรู้สึกเคารพในตัวหลินเฟิงขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่หลินฮุย


หลินเฟิงเพียงยิ้มให้กับปฏิกิริยาของหลินอี้หานและคนอื่นๆเท่านั้น เขาเองก็พอรู้มาบ้างว่าปกติแล้วรุ่นเยาว์จะไม่ต่อสู้กับสัตว์อสูรที่มีระดับใกล้เคียงกับตนเอง เพราะมันอันตราย แต่เขานั้นต่างออกไป เพราะเขาคิดว่าต้องสู้เสี่ยงตายและคู่ต่อสู้ที่สูสีถึงจะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลินเฟิงพัฒนยาได้รวดเร็วและมั่งคงเช่นนี้


“เอ่อ...หลินเฟิง” หลินฮุยกล่าวเรียกหลินเฟิงด้วยท่าทีที่แข็งเกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติ


“เจ้าไม่ต้องใส่ใจเรื่องอดีตหรอกหรอก อดีตก็เป็นเพียงอดีต”หลินเฟิงกล่าว


เขารู้ว่าหลินฮุยจะกล่าวอะไร ละต้องการสื่ออะไร เขาเองก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไรอยู่แล้ว และอีกอย่างหลินฮุยกับเขาใช้แซ่เดียวกัน ต่อให้ทะเลาะกัน อย่างไรก็เป็นคนในครอบครัว ยิ่งกว่านั้น หลินเย่ พ่อหลินฮุยยังเป็นลุงของเขาแท้ๆอีกต่างหาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบเขา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาไม่คิดจะหยุดอยู่ที่ตระกูล เขาต้องการออกท่องโลกกว้าง


“ขอบใจ” หลินฮุยกล่าวออกมาอย่างดีใจ เขาเองก็ถูกบิดาเป่าหูมาอีกทีให้รังแกหลินเฟิง เหยียบย่ำหลินเฟิง แต่พอมาตอนนี้ เขากลัวหลินเฟิงจะเอาคืนเนื่องด้วยหลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก และเขารู้สึกเคารพในความกล้าหาญที่จะฝึกฝนของหลินเฟิง ดังนั้นเขาจึงเริ่มเปลี่ยนทัสนคติที่มีต่อหลินเฟิงไปทีละน้อยๆ


ไกลออกไปจากกลุ่มของหลินเฟิง เกาอวี้ผู้ใส่ชุดสีดำสนิทจ้องมองไปที่กลุ่มของหลินเฟิง หากเอาจริงๆแล้วสายตาของเกาอวี้จับจ้องไปที่หลินเฟิง อยู่สักพัก จนหลินเฟิงเริ่มรู้สึกตัวและหันกลับมามองเกาอวี้ เกาอวี้ถึงหันหน้าไปมองทางอื่นแทน


‘หืม’ หลินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเกาอวี้ถึงจ้องมองเขา เขาเดาเจตนาของเกาอวี้ไม่ออกจริงๆ ไม่นานเขาก็ละความสนใจจากเกาอวี้และหันมาคุยกับกลุ่มของเขาต่อ ในเมื่อเขาไม่รูิ้เจตนา เขาก็คร้านจะสนใจ จะอย่างไรเดี๋ยวถึงเวลาเขาก็รู้เองว่าเกาอวี้มีทัศนคติต่อเขาเช่นไร เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอยากรู้อยากเห็น


“มีอะไรรึ” หลินหลานที่สังเกตหลินเฟิงอยู่ก็ถามหลินเฟิงด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงมองทางอื่นแล้วขมวดคิ้ว ทำให้นางรู้สึกเป็นห่วงหลินเฟิงขึ้นมา


“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ต้องใส่ใจ” หลินเฟิงกล่าวตอบ


เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมากังวลเรื่องของเขา และอีกอย่างเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะหากเกาอวี้มาร้ายเขาก็มั่นใจว่าเขาสามารถป้องกันตัวเองจากเกาอวี้ได้ แม้ว่าจะไม่มั่นใจว่าสามารถชนะได้ไหม แต่เกาอวี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ง่ายๆเป็นแน่


“รุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบให้มารวมกันตรงนี้” จี้หวางตะโกน


หลังจากที่การทดสอบจบลง จี้หวางก็ปล่อยให้รุ่นเยาว์ที่ผ่านทดสอบพัก ส่วนเขาก็จัดการให้ศิษย์จัดการรุ่นเยาว์ที่ไม่ผ่าน โดยให้รวบรวมรุ่นเยาว์เหล่านั้นแล้วเดินลงไปส่งที่ข้างล่าง หลังจากจัดการเสร็จเขาจึงมาเรียกรวมรุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบ


ไม่นานนัก รุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบก็มารวมตัวข้างหน้าจี้หวาง เพื่อเตรียมขึ้นไปยังนิกายเมฆา พวกเขาแต่ละคนรู้สึกตื่นเต้นมากๆ จะอย่างไรเสีย การเข้าร่วมนิกายเมฆาย่อมดีกว่าการอยู่แต่บ้านที่ไม่มีอนาคต เพราะการเข้าร่วมนิกายเมฆา ย่อมหมายความสามารถสามารถรับทรัพยากรได้มากกว่าตอนที่พวกเขาอยู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพ หรือปริมาณ พวกเขาเชื่อเช่นนั้น


“อย่างแรกเลย ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคนเข้าสู่นิกายเมฆา และพวกเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาพวกเจ้าไปยังพื้นที่ของศิษย์นอก” จี้หวางกล่าวจบ เขาก็เดินนำทันที


รุ่นเยาว์คนอื่นๆนั้นตามจี้หวางไปด้วยความตื่นเต้น กระปรี้กระเปร่า


“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าวกับหลินหลานและกลุ่มคนของเขา

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว