มาเฟียร้ายไม่รัก (มีE-Book)-บทที่ 1-2 การพบเจอที่แสนอันตราย

โดย  ลวดหนาม

มาเฟียร้ายไม่รัก (มีE-Book)

บทที่ 1-2 การพบเจอที่แสนอันตราย

บทที่ 1

การพบเจอที่แสนอันตราย

“คุณหนูคะคุณชัยกรและคุณกรองแก้วมาแล้วค่ะ” หญิงรับใช้เดินเข้ามาบอกผู้เป็นนายที่หน้าห้องทำงาน

“....ขอบคุณมาก” เธอวางปากกาในมือเหลือบมองนาฬิกาแขวนทรงกลมด้านหน้า

ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงเช้านิดๆ ซึ่งเวลานัดจริงมันควรจะเป็นสิบโมง แต่ไม่ว่าอย่างไรในฐานะเจ้าบ้านเธอก็คงต้องเตรียมต้อนรับอย่างเลี่ยงไม่ได้

ประตูไม้สีขาวทองที่ดูคุ้นตาถูกเปิดออกเผยให้เห็นคนที่อยู่ภายใน บรรยากาศที่สว่างไสวจากโคมไฟระย้าคริสตัลกลับมีจุดหนึ่งที่ดูผิดแปลก

ชายมีอายุร่างกำยำที่นั่งวางท่าทรงอำนาจอยู่บนโซฟาสีครีม แม้เขาจะถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งของที่มีสีสันแต่กลับให้ความรู้สึกมืดมนแผ่ออกมา

ดวงตาคมกริบราวใบมีดเหล่มองหญิงสาวที่เดินเข้ามา แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมากลับรับรู้ถึงรังสีความน่าเกรงขามออกมาจากตาคู่นั้น

“ขอโทษที่ฉันรีบมานะ พอดีว่าฉันตื่นเต้นมากไปหน่อย ฮ่าๆ”

เสียงอ่อนนุ่มแทรกขึ้นทำให้เธอได้สติ กรองแก้วผู้เป็นภรรยาพูดทั้งยิ้มหวานออกมาอย่างดีอกดีใจ

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ขอบคุณที่มานะคะ” ไลลารีบตอบและกลับมาเยือกเย็นกับสถานการณ์ด้านหน้า

“หนูไลลามานั่งตรงนี้สิ”

ชัยกรชายผู้เป็นอดีตหัวหน้าตระกูลและเป็นพ่อของสามีในอนาคตของเธอเอ่ยปาก แม้น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นจะส่งออกมาอย่างเป็นมิตรแต่ความรู้สึกของเธอมันบอกว่าคนคนนี้อันตราย

“ฉันไปดูฤกษ์การจัดงานแต่งมาแล้วนะจ๊ะ” กรองแก้วเดินเข้ามาโอบไหล่มนของเธออย่างใกล้ชิดในขณะที่พูดไปยิ้มไป

หากจะพูดว่าใครที่ดีกับเธอมากที่สุดในตระกูลราพณาสูรคงหนีไม่พ้นกรองแก้วผู้เป็นภรรยาของชัยกรและเป็นแม่ของภวิศ เธอเอ็นดูไลลามาตั้งแต่เธอยังเด็กและยังเป็นคนที่อยากจะให้เธอแต่งเข้ามาในตระกูลมากที่สุด

“วันไหนเหรอคะคุณป้า?”

“วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดจ้ะ”

“คะ...?” ถ้าหากนี้เป็นการฟังไม่ผิดเวลาในการจัดเตรียมงานก็มีเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ เท่านั้น

ไลลามองกรองแก้วตาค้าง เธอคิดว่าต่อให้เธอจะรับคำไปแล้วแต่เธอก็ยังมีโอกาสในการเตรียมความเรียบร้อยและความพร้อมของตัวเองมากกว่านี้

ในขณะที่หญิงคนหนึ่งกำลังทำหน้าตื่นตระหนกแต่หญิงอีกคนกลับมีใบหน้าที่เริงร่า

“ฮึฮึ แก้วเธอนี่ไม่เคยอ้อมค้อมเลยนะ” ชัยกรมองผู้เป็นภรรยาและหัวเราะในลำคอเบาๆ กรองแก้วรอเวลานี้มาตลอดเมื่อไลลาตอบตกลงปุ๊บก็รีบหาฤกษ์ปั๊บแถมยังกำชับว่าขอให้ไวที่สุด

เนื่องกลัวเธอจะเปลี่ยนใจไปเสียก่อน

“แบบนี้มันจะไม่ไวไปหน่อยเหรอคะ?”

“ไม่หรอกจ้ะเรื่องหมั้นหมายเราก็ทำกันมานมนานแล้ว คงถึงเวลาที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเสียที” กรองแก้วรีบตอบกลับทันควัน

“แต่เรื่องการเตรียมงานมัน....”

“หนูไลลาไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอกเดี๋ยวลุงกับป้าจัดการให้เอง”

ชัยกรเอ่ยแทรกสุ้มเสียงไม่ได้กราดเกรี้ยวหากแต่วางอำนาจอยู่ในที ปลายมุมปากของเขาหยักยกยิ้มขึ้นรอเวลาที่จะได้รวมเป็นหนึ่งกับตระกูลของเธอ

“ค่ะ...ถ้าทั้งสองว่าอย่างนั้นหนูก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้าน”

“ฮึฮึ ฉันน่ะอยากให้หนูมาเป็นลูกสะใภ้นานแล้ว เอาไว้หลังงานแต่งจบลงเราหาเวลาไปเที่ยวด้วยกันเยอะๆ เลยนะลูก” กรองแก้วยิ้มร่าทำเอาความกังวลใจของไลลาหายเป็นปลิดทิ้ง

กว่าจะพูดคุยกันจนเสร็จสิ้นก็ปาไปเกือบสี่ชั่วโมงเต็ม ในส่วนมากคนที่เตรียมงานก็เป็นกรองแก้วเสียมากกว่า โดยชัยกรและไลลาทำเพียงรับฟังและพูดเสนอบ้างเล็กน้อยไม่ขัดขืนใจกรองแก้วนัก หากผู้เป็นสามีมิได้มีงานเข้ามาแทรกกลางคันกรองแก้วก็คงจะยังไม่กลับไปเป็นแน่


“ฮึฮึ”

“ดูเหมือนจะอารมณ์ดีนะครับ” กันต์ทักเมื่อเห็นผู้เป็นนายที่แอบหัวเราะออกมาเสียงเบา

จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไงความตึงเครียดที่เธอเตรียมตัวมาตั้งแต่เมื่อวานกลับถูกกรองแก้วปัดออกไปอย่างง่ายดาย จะมีใครบ้างไม่ดีใจที่คนในครอบครัวของสามีชอบ การกระทำที่กรองแก้วนั้นส่งมามันทำให้เธอรับรู้ได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ชอบเธอจริงๆ

“พอคิดถึงเรื่องคุณป้าขึ้นมามันก็อดยิ้มไม่ได้น่ะ”

“....งั้นเหรอครับ” ดวงตาคมเข้าจับจ้องหญิงสาวและรอยยิ้มหวานด้านหน้าไม่วางตา โดยที่มือหนาถูกยกขึ้นมาสัมผัสที่ปลายผมของเธออย่างเหม่อใจ

“...”

“มีเศษฝุ่นติดอยู่ตรงนี้น่ะครับ”

“ขอบคุณนะคะ” เธอส่งยิ้มอ่อนให้บอดี้การ์ดขอบคุณก่อนจะกลับไปทำงานด้านหน้าอีกครั้งอย่างตั้งใจ


การจัดเตรียมงานเป็นไปอย่างรวดเร็วแม้จะเป็นเรื่องกะทันหันก็ตาม เพียงผ่านไปสองอาทิตย์ตอนนี้งานกลับคืบหน้าอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็คงจะไม่แปลกอะไรเนื่องจากตระกูลฝั่งเจ้าบ่าวของเธอนั้นเป็นผู้ที่มีอิทธิพลเหลือล้น เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาทำได้อย่างไร

แต่คงจะไม่มีใครอยากจะมีปัญหากับตระกูลราพณาสูรหรอก

“เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น”

เบอร์หน้าโทรศัพท์ไม่ขึ้นชื่อ น่าแปลกที่จู่ๆ ก็มีคนไม่รู้จักโทรมา...แถมยังเป็นช่วงเวลาแบบนี้….

“สวัสดีค่ะ” เสียงเรียบนิ่งพูดกับคนในสาย

“ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะไม่รับสายเสียแล้ว” เสียงชายคนหนึ่งดังแทรกออกมาผ่านโทรศัพท์

เสียงทุ้มต่ำที่แม้จะไม่ได้ยินมานานก็มิอาจลืมเลือนได้เลย เสียงของผู้จะมาเป็นสามีของเธอในอนาคต ภวิศ

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณภวิศ” อย่างที่ไลลาคิดไว้ไม่มีผิด ในช่วงเวลาแบบนี้คนที่ยังเคลียร์งานที่ต่างประเทศอย่างเขาคงต้องติดต่อหาเธอเข้าสักวัน

“ตอนนี้คุณว่างอยู่ไหมครับ พอดีผมอยากจะไปกินข้าวกับคุณสักมื้อ” สิ้นเสียงไลลาก็ถึงกับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

เขากลับมาแล้ว....

“ได้ค่ะ ฉันขอเวลาเตรียมตัวสักครู่นะคะ”

เมื่อการติดต่อสิ้นสุดหญิงสาวก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างที่แม่ของเธอว่าไว้ไม่มีผิดว่าภวิศนั้นใกล้จะกลับมา การพบเจอกันในรอบหลายปีคงจะเป็นอะไรที่น่าลำบากไม่ใช่น้อย


เป็นเวลาเกือบสี่สิบนาทีในการเตรียมตัว ไลลามาพร้อมกับชุดเดรสสีแดงเปิดหลัง เนื้อผ้ามันวาววับขับสีผิวขาวผ่องของเธอให้ยิ่งมีออร่า แม้ไม่ต้องแต่งหน้าอะไรมากมายตัวเธอก็สวยราวกับเป็นลูกรักของเทพเจ้าผู้สรรค์สร้าง

“ก๊อกๆ คุณภวิศได้มาถึงแล้วครับ”

กันต์ที่รออยู่ด้านหน้าเคาะประตูเรียกไลลาผู้เป็นนาย เมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าประตูตอนนี้หาใช่เขาคนเดียวแต่มีว่าที่ผู้เป็นสามีในอนาคตอันใกล้ของเธอที่มาถึงก่อนเวลาอยู่ด้วย

เมื่อประตูถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นชายที่อยู่เบื้องหน้า

ร่างใหญ่สูงโปร่งในชุดสูทสีดำกำลังยืนรอเธออย่างเงียบเชียบ ใบหน้าฟ้าประทานนั้นช่างดูเข้ากับเส้นผมและดวงตาสีดำสนิทของเขาอย่างหาที่สุด เมื่อเห็นเธอเดินออกมาภวิศก็ฉีกยิ้มออกและเดินตรงเข้ามาทางเธอ

“งั้นเราไปกันเถอะครับ”

มือหนายื่นออกรับแขนเธอโดยมีสายตาของชายผู้เป็นบอดี้การ์ดมองมาที่เขา

แต่เพียงแค่ชั่ววินาทีเท่านั้น เพียงแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ ที่เธอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลจากคนที่เธอพึ่งคล้องแขนเขาไป

สายตาที่เป็นมิตรเมื่อครู่จับจ้องไปที่กันต์อย่างดุร้าย แต่สายตาของบอดี้การ์ดหนุ่มคนนั้นหาได้เกรงกลัว เพียงไลลาหันไปมองยังทั้งสองแรงกดดันนั้นกลับหายไปทันตา

“เชิญครับ” ภวิศยิ้มรับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินออกจากจุดนั้นไปยังรถที่จัดเตรียมมา


ภายในร้านอาหารหรูกลับไร้ผู้คน มีเพียงหนุ่มสาวทั้งสองที่นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศ

“ไม่คิดเลยนะครับว่าคุณจะตอบรับการแต่งงาน”

“ฮึฮึ เราหมั้นหมายกันมานานแล้วคงถึงเวลาที่ตระกูลของพวกเราจะเกี่ยวดองกันแล้วล่ะค่ะ”

ไลลายิ้มให้ชายตรงหน้า แม้เธอจะตอบตกลงมาแต่คำพูดที่ส่งออกไปกลับเป็นเรื่องของตระกูล ในตาดำขลับเผยแววสนใจเล็กน้อยหลังสิ้นประโยค

“ผมน่ะแทบจะรอให้งานแต่งมาถึงไม่ไหว”

คำพูดช่างดูแสนหวาน แต่แววตาและรอยยิ้มที่เผยอยู่ตรงหน้านั้นชวนให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างน่าประหลาด


ว่าแล้วความรู้สึกนั้นก็เหมือนกับได้รับการพิสูจน์....


“บอสครับจับตัวมันได้แล้ว”

เมื่อจู่ๆ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็เดินเข้ามาหาชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าอย่างไม่สนใจเธอที่นั่งอยู่ด้วยเลย สายตาของภวิศเปลี่ยนไปหลังได้ฟังข่าวจากลูกน้อง

“งั้นเดี๋ยวผมขอเวลาสักครู่นะครับ” เขาฉีกยิ้มให้เธอก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ไป

มันน่าแปลกมากกับคนที่ชวนเธอออกมาแต่กลับเดินออกจากเก้าอี้ไปเสียก่อน เมื่อเขาเดินออกไปไม่นานไลลาก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวของตน แต่เมื่อเธอกำลังจะเดินกลับมาที่โต๊ะจู่ๆ กลับมีเสียงเอะอะดังออกมาจากด้านนอก

เนื่องจากทั้งร้านแทบไม่มีใครนอกจากคนคุ้มกันของเธอและเขาที่ยืนอยู่จึงทำให้เสียงนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

“ขอร้องล่ะครับ...ฮือ..อย่าทำอะไรผมเลย”

ชายวัยกลางคนนั่งคลานเข่าอยู่ที่พื้นพนมมือไหว้ใครบางคนที่อยู่ในความมืด เขาดูหวาดกลัวเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยเลือดสั่นเทาราวกับคนเบื้องหน้าของเขานั้นเป็นพญายมผู้จะมารับดวงวิญญาณไป

นั่นมันอะไรกัน...? ทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่นี่ได้

เพียงขยับเท้าจากที่เดิมไปไม่มากนัก ภาพตรงหน้ากลับทำให้ไลลาหญิงสาวที่มองเหตุการณ์อยู่ต้องตกตะลึง ชายที่ยืนอยู่ในความมืดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่พึ่งจะละโต๊ะอาหารจากเธอไป คุณภวิศ!

เขาทอดมองชายกลางคนอย่างไม่รู้สึกรู้สา พลางใช้กระบอกปืนสั้นในมือจี้ไปบนศีรษะชายคนที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงหน้า ดวงตาแข็งกร้าวไร้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแม้จะอยู่ไม่ใกล้นักกลับรู้สึกถึงความอำมหิต

สายตาคมดุจเหยี่ยวหันมาทางเธออย่างรวดเร็วแม้เธอจะไม่ได้ส่งเสียงดังกระทั่งหายใจยังแทบจะลืม แต่เขากลับรู้สึกตัวอย่างว่องไว

“อะ! คุณไลลามาทำอะไรตรงนี้เหรอครับ?”

รอยยิ้มพร้อมน้ำเสียงของภวิศถูกส่งมาอย่างเป็นมิตรผิดกับสถานการณ์ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง

คำถามถูกส่งออกไปแต่คนตอบกลับยังคงตระหนก ภวิศที่เห็นแบบนั้นก็ใช้ด้ามปืนในมือฟาดลงไปที่ศีรษะชายกลางคนเต็มแรงจนเขาล้มพับแน่นิ่ง ทำเอาไลลาที่มองอยู่สะดุ้งเฮือกกับสิ่งที่เขาพึ่งกระทำลงไป

คนคนนี้...อันตราย!!



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว