ยอดดวงใจรพี-9.ผัวหนุ่มเมียสาว (3)

โดย  รสิตา เพียงพิณ

ยอดดวงใจรพี

9.ผัวหนุ่มเมียสาว (3)

เช้าวันรุ่งขึ้น...


หลังจากที่ เล้งซุน ฝากฝังกิจการต่าง ๆ ของสมาคมอสูรเดียวดายให้กับ หวู่หนาน ดูแลต่อเป็นที่เรียบร้อย ก็ตระเตรียมที่จะออกเดินทางในทันที... กังเฉิง ในเวลานี้ยิ้มเยิ้มภายใต้หน้ากากลูกหมูแก้มตุ่ย ท่าทางการเดินของเขาเต็มไปด้วยความเนิบนาบอ่อนเปลี้ย ฝีเท้าล่องลอยเบาหวิว...


เล้งซุน และ เล้งหยุนฟง เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจทั้งรอยยิ้ม อย่างน้อยการพาเข้าหอนางโลมก็ทำให้ กังเฉิง มีจิตใจที่ดีขึ้นมาก... สามชายหนุ่มจึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตตีนเขาในทันที!


บริเวณประตูทางเข้า วินาทีที่คนของนิกายเห็นถึงการมาของเซียนพนัน เหยาซาน หน้าก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน! คราวนี้ไม่จำเป็นต้องแสดงป้ายเครื่องหมายใด ๆ แม้แต่สองสหายผู้ติดตามก็ยังผ่านได้โดยเรียบรื่น คนของนิกายผู้นั้นไม่กล้าแม้แต่จะแหงนมองหน้าเขาชัด ๆ เสียด้วยซ้ำ หลังจากที่กลุ่มชายหนุ่มทั้งสามจากไป คนของนิกายก็รีบแจ้งไปยังเบื้องบนด้วยหยกสื่อสารทันที...


“มะ...มาแล้ว!! เหยาซาน กลับมาอีกแล้ว!!”


การเดินทางมาในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่ง ดังนั้น เล้งซุน จึงไม่เสียเวลาแวะเวียนยังที่แห่งใดเลย สั่งให้สารถีรถม้ามุ่งหน้าตรงไปยังเขตไหล่เขา ปลายทางคือพื้นที่ของนิกายมังกรทมิฬ...


ตลอดเส้นทาง เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ยังสามารถมองเห็นสายตาที่หวาดวิตกมากมายจดจ้องมายัง เล้งซุน มองผิวเผยราวกับชายหนุ่มผู้นี้คือตัวหายนะบางอย่าง ที่มีพลังอำนาจพิเศษสามารถเปลี่ยนแปลงสีหน้าผู้คนได้ในทันทีที่พบเจอ...


ไม่นาน... ก็มองเห็นประตูที่จะเข้าไปในเขตของนิกายมังกรทมิฬ ซึ่งปกติแล้วผู้คนภายนอกย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะรุกล้ำเข้าไปด้านใน... ทว่าในตอนนี้ กลับมองเห็นคนของนิกายที่แต่งเครื่องแบบชัดเจนจำนวนหนึ่ง กำลังยืนเฝ้ารอการมาถึงของชายหนุ่มทั้งสาม


ชายวัยกลางคนด้านหน้าสุด เล้งซุน จดจำเขาได้ในทันที ว่าเป็นหนึ่งในห้านักรบมังกรดำ หากแต่เวลานี้มิได้สวมใส่ชุดเกราะมังกรดำที่งามสง่าอีกแล้ว ตรงกันข้าม! ผู้ที่สวมใส่ชุดเกราะมังกรดำอยู่ชั้นในอาภรณ์ชุดคลุมยาว กลับกลายเป็นสามชายหนุ่มผู้มาเยือน มองดูแล้วช่างพลิกตลบอย่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก...


“ท่านผู้นำนิกาย ติดธุระ... ไม่อาจมารับรองคุณชายทั้งสามได้ ข้ามีนามว่า โจวหรง รับหน้าที่พาพวกท่านทั้งสามขึ้นไปยังยอดเขา ตามคำสั่งที่ท่านราชันย์มังกรทมิฬได้เคยแจ้งไว้...”


เล้งซุน พอได้ยินเช่นนั้นก็แอบหัวร่อในใจ... เขาเชื่อว่าจริง ๆ แล้ว เจียงหนิงหลง คงไม่ได้ติดธุระอะไรอย่างแน่นอน หากแต่ไม่กล้าที่จะมาเผชิญหน้ากับตนเสียมากกว่า เพราะหวาดวิตกว่าจะถูกรีดไถเฉกเช่นคราวก่อน การให้นักรบมังกรดำออกมารับหน้าเช่นนี้ หากชายหนุ่มเอ่ยปากร้องขอสิ่งใด ยังพอที่จะมีข้ออ้างได้ว่าไม่มีอำนาจเพียงพอให้ตัดสินใจ...


‘ร้ายกาจสมเป็น เทพปรมาจารย์อันดับ 1 จริง ๆ แต่เอาเถอะ! ข้ามิใช่คนชอบฉวยโอกาส อีกทั้งครั้งนี้เป้าหมายของข้า ก็มิใช่ที่นิกายมังกรทมิฬอยู่แล้ว...’ ขณะที่แอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ใบหน้าของ เล้งซุน ยังออกอาการชัดเจน เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดที่ราวกับจะมีน้ำลายหกออกมา ทำเอาคนอื่น ๆ รอบข้างมองด้วยความงุนงงไปตาม ๆ กัน


เมื่อเดินทางมาจนถึงเขตหวงห้ามบนยอดเขา เบื้องหน้าประตูโลหะสีดำขนาดใหญ่ของถ้ำมังกรสถิต ก็ได้มีเสียงกังวานดุจดั่งเสียงกัมปนาท เขย่าคลอนไปทั้งขุนเขา...


“นอกเหนือจากน้องชายข้าและสหายของเขา พวกเจ้าที่เหลือจงกลับไป!”


เสียงที่ทรงพลังอำนาจถึงเพียงนี้ ชัดเจนมากว่ามีเพียงราชันย์มังกรทมิฬเท่านั้นที่สามารถกล่าวออกมาได้... โจวหรง และเหล่าบรรดาผู้ติดตามล้วนพากันสั่นเยือก ผงกศีรษะรัวเร็วก่อนจะรีบจากไปในทันที...


ประตูโลหะสีดำถูกแง้มออก ไอความร้อนพร้อมทั้งปราณธรรมชาติอันมหาศาล โหมซัดตลบออกมาปะทะใบหน้าของสามชายหนุ่มอย่างรุนแรง จนเวลานี้สามารถมองลอดผ่านประตูขนาดใหญ่ เห็นลึกเข้าไปยังเขตหวงห้ามที่แสนอันตรายของถ้ำมังกรสถิต...


สถานที่แห่งนี้พอ ราชันย์มังกรทมิฬ กลับมาเยือน ก็ถูกปัดเป้าเขม่าควันและความขมุกขมัวรอบด้านทั้งหมด จนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน... เบื้องหน้าคือเส้นทางสีดำที่ทอดยาวไปบนหินหนืดเหลวสีแดงเข้มที่กำลังเดือดปะทุ ยาวจนถึงใจกลางลานกว้างสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งมีจุดเด่นเพียงสองจุด! นั่นก็คือต้นปราณโลกาที่สูงจนทะลุปากปล่องภูเขาไฟขึ้นไป และกองภูเขาสีดำแปลกประหลาดขนาดย่อม


เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ไม่เคยพบเจอราชันย์มังกรทมิฬมาก่อน หากแต่ทั้งสองย่อมรู้จักกิตติศัพท์ และตำนานอันลือเลื่องมากมาย ของหายนะแห่งท้องฟ้าตนนี้ ทั้งสองเต็มไปด้วยความประหม่าอย่างถึงที่สุด จวบจนได้ยินเสียงเล็กแหลมดังออกมาจากคนข้าง ๆ


“พี่ชายมังกรรรรรรรร!!” เล้งซุน ส่งเสียงที่ยานยาว ใบหน้าแป้นยิ้มยิ่งกว่าหน้ากากงูเขียวของ เล้งหยุนฟง เสียอีก เขาวิ่งถลาอ้าแขนสองออกไป ด้วยท่าทีซึ่งราวกับไม่ได้พบเจอญาติพี่น้องของตนที่จากกันไปนานแสนนาน


แต่หากพิจารณาและสังเกตดวงตาของ เล้งซุน ในเวลานี้ให้ดี ๆ จะพบว่ามันเพ่งมองตรงไปยังตำแหน่งหนึ่งไม่ยอมหันเหไปทิศทางอื่นเลย... ซึ่งตำแหน่งนั่นก็คือ แร่โลหะคงกระพันชั้นพิเศษที่กองพะเนินสูงราวกับภูเขาขนาดย่อม!! แม้เสียงที่แผดดังจะเรียกขาน ราชันย์มังกรทมิฬ อย่างสนิทสนม หากแต่สายตากลับจดจ้องไปยังภูเขาสีดำลูกนั้นด้วยแววตาที่หยาดเยิ้ม...


“หึหึ... เรียกหาข้า ก็ช่วยหันมองข้าบ้างก็ได้...” ราชันย์มังกรทมิฬในเวลานี้ อยู่ในรูปลักษณ์กึ่งมนุษย์ที่หล่อเหลาสง่างาม เพราะเขาไม่อยากให้เรือนกายขนาดใหญ่ของตนเอง ส่งผลกระทบต่อสามชายหนุ่มที่กำลังเข้ามาใกล้...


เล้งซุน เมื่อหันมองไปตามเสียง เขาก็เพิ่งจะเห็นว่าเวลานี้ ราชันย์มังกรทมิฬ ยืนอยู่ใต้ต้นปราณโลกา... เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองเปิดเผยความละโมบมากเกินไปหน่อย จึงหัวเราะแห้ง ๆ พลางเกาศีรษะด้วยความเขินอาย


เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ปลดหน้ากากและก้าวเดินตรงเข้ามาด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ก่อนทั้งสองชายหนุ่มจะประสานมือโค้งเคารพ “คารวะ ท่านราชันย์มังกรทมิฬ”


ราชันย์มังกรทมิฬ เผยรอยยิ้มยินดี... “ทายาทของ เล้งซาน กับทายาทของ กุ่ยเยี่ยซา งั้นหรือนี่... มองพวกเจ้าสองคนแล้วทำให้ข้านึกถึงเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เสียจริง ๆ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของเหล่ามิตรสหาย ที่สามารถผลักดันกันและกันไปจนถึงจุดสูงสุด


หากแต่อดีตนั้นจบลงแล้ว บัดนี้คือยุคสมัยของพวกเรา... แม้เงาแห่งอดีตจะยังทอดยาวปกคลุม แต่สุดท้ายในวันข้างหน้า พวกเจ้าต่างหากที่จะกลายเป็นตะวันและจันทราดวงต่อไป เพื่อปัดเป่าเภทภัยที่ย่างกรายมาสู่มาตุภูมิ...”


เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง พอได้ยินเช่นนั้นก็เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ สัมผัสได้ถึงความคาดหวังที่ ราชันย์มังกรทมิฬ ได้มอบให้พวกเขา และยังรู้สึกว่าช่างคุ้มค่ายังนักกับการได้มาพบเจอผู้ที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่สูงสุดในใต้หล้า ณ ยุคสมัยปัจจุบัน...


ราชันย์มังกรทมิฬ ก้าวเดินเข้ามาก่อนจะแตะลงบนร่างของสองชายหนุ่ม... ระลอกคลื่นพลังหลั่งไหลเข้ามาดุจสายธารเส้นใหญ่ แทรกซึมไปยังจุดชีพจรส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มากพอจะทำให้ทั้งสองสัมผัสรับรู้ได้ถึงพลังลมปราณและพลังชีวิตจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน...


กระบวนการดูดซับนั้นใช้เวลาไม่น้อย อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับว่าชายหนุ่มทั้งสองจะสามารถรองรับลมหายใจแห่งราชันย์ได้มากเพียงใด... ราชันย์มังกรทมิฬ เผยรอยยิ้มยินดีทั้งยังพยักหน้าพึงพอใจอย่างยิ่ง...


“สองคนนี้มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เกิดจากพลังทางสายเลือดที่แอบซ่อนอยู่เป็นแน่ แม้จะยังไม่แน่ชัดแต่ทั้งสองคงสามารถดูดซับได้ไม่น้อยกว่าเจ็ดลมหายใจขึ้นไป...”


เล้งซุน หันมองสหายทั้งสองที่เวลานี้ตกอยู่ให้ห้วงภวังค์แห่งการดูดซับ... รู้สึกยินดีกับทั้งสองคนไม่ต่างกับราชันย์มังกรทมิฬ เขาเป็นคนที่รักพวกพ้อง และไม่ตระหนี่ถี่เหนียวกับใครก็ตามที่ตนเองไว้เนื้อเชื่อใจไปแล้ว


ราชันย์มังกรทมิฬ ทอดสายตามองมายัง เล้งซุน... “ได้ยินมาจากทายาทตระกูลเจียง ว่าเจ้าเลือกที่จะใช้แซ่ ‘เล้ง’ แล้วงั้นหรือ? แปลว่าการพบเจอ ราชันย์หงสาเพลิง ทำให้ทราบถึงความจริงบางอย่างมางั้นสินะ”


เล้งซุน พอได้ยินคำถามเช่นนั้น ก็ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ ทั้งรอยยิ้ม... ก่อนหน้านี้ กุ่ยเยี่ยซา เคยกำชับกับเขาเอาไว้ว่า เรื่องที่ตนเองนั้นเป็นดวงวิญญาณของ เล้งซาน ที่กลับมาจุติใหม่ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศออกมาจนเกินพอดี เพราะมันจะยิ่งทำให้เขานั้นเสี่ยงอันตรายมากยิ่งขึ้น ทั้งยังยากที่ผู้ใดจะยอมเชื่อเรื่องที่เหนือกฎเกณฑ์เช่นนั้น


ด้วยเหตุนี้ แม้แต่สหายทั้งสองอย่าง เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ก็ยังไม่ทราบในรายละเอียดส่วนนี้เช่นกัน... เขายอมเล่าเพียงแค่ว่าตนเองมีมารดาที่ใช้แซ่เล้งเท่านั้น ไม่ได้เจาะจงถึงการถือกำเนิดมาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน


กับทาง ราชันย์มังกรทมิฬ เขาก็ยอมเล่าออกไปในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน... ราชันย์มังกรทมิฬ ไม่ได้มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นอะไรมาก ยึดมั่นอยู่กับปัจจุบันมากกว่าอดีต ดังนั้นจึงมิได้สอบถามอะไรให้มากความ ยอมที่จะรับรู้เพียงแค่ว่า เล้งซุน ก็คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์บางอย่างต่อจาก เล้งซาน มาเท่านั้น...


ราชันย์มังกรทมิฬ มองมายังต้นปราณโลกา ทั้งยังเอื้อมมือสัมผัสลูบคลำเบา ๆ “เดิมทีก็รู้สึกว่าต้นไม้นี้มันค่อนข้างที่รกตา หากแต่พอดูไปดูมามันก็น่าสนใจดี อีกทั้งยังสามารถชักนำปราณธรรมชาติจากดวงดาว ให้กระจายออกมาจากกิ่งก้านสาขาได้ด้วย ทำให้ถ้ำมังกรสถิตของข้า มีลมปราณบริสุทธิ์ที่หนาแน่นยิ่งขึ้นไปอีกระดับ...”


“หากพี่ชายมังกรชื่นชอบ อยากจะได้อีกสักกี่ต้นก็สามารถบอกข้าได้เลย...” เล้งซุน กล่าวพลางตบบนหน้าอกตนเองดังป๊าบ ๆ ด้วยความฮึกเหิม เพราะเวลานี้เขามีเมล็ดพันธุ์ต้นปราณโลกาอยู่มากมายนัก ทั้งยังรู้วิธีต่อยอดได้อย่างไร้ขีดจำกัด


“หึหึ... เท่านี้ก็พอแล้ว หากมีมากไปกว่านี้ จนทำให้พื้นที่ถ้ำมังกรสถิตลดน้อยลง เกรงว่าขนาดตัวของข้าจะใหญ่โตเกินที่นี่เสียเปล่า ๆ สถานที่ดี ๆ เช่นนี้ใช่ว่าจะเสาะหากันได้ง่าย ๆ”


หนึ่งคนหนึ่งมังกรพูดคุยกับไปตามประสา หากแต่สายตาของ เล้งซุน ก็ยังคงซุกซนจดจ้องภูเขาโลหะสีดำมิวางตา... สุดท้ายจึงอดไม่ได้และเอ่ยถามออกไปเสียตรง ๆ “พี่ชายมังกร... ไม่ทราบว่าเปลือกคราบของท่านพวกนั้น?! มีความหมายอะไรในการเก็บรักษาไว้งั้นหรือ...”


ราชันย์มังกรทมิฬ หัวเราะเสียงยาว... “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! อย่าได้อ้อมค้อม หากอยากได้มันก็แค่กล่าวออกมา... อย่างไรเสียเปลือกคราบเสื่อมสภาพที่ผลัดทิ้งไปของข้า ก็เป็นมวลวัตถุแข็งแกร่งที่เทียบเท่าโลหะชั้นเทวะ...


นอกเหนือจากเกล็ดมังกรแท้จริงที่ยังสมบูรณ์บนตัวข้า และเปลือกกระดองสีรุ้งของราชันย์เต่าทมิฬบนยอดหอคอย ก็ไม่มีวัตถุใดในใต้หล้าบนดาวเคราะห์ดวงนี้ แข็งแกร่งกว่าอีกแล้ว...


ข้าไม่อยากให้เปลือกคราบเหล่านั้น หลุดเข้าไปในยุทธภพด้วยปริมาณที่มากเกินไป มิเช่นนั้นอาจทำให้สมดุลทั้งหมดเกิดความเสียหายได้... หากเจ้าอยากได้มัน ข้าก็ไม่หวงแหน แต่จงสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง ว่าจะไม่กระจายมันในท้องตลาดของยุทธภพ ข้านั้นอนุญาตแค่ให้เจ้าและสหายที่เจ้าไว้วางใจใช้งานมันเพียงเท่านั้น...”


เล้งซุน ดวงตาเปล่งวาบขึ้นทันที ตบอกตัวเองแรง ๆ อีกหลายครั้ง เพื่อแสดงถึงความแน่นหนัก “เรื่องนั้นไร้กังวล... เพราะข้าร่ำรวยมากพอแล้ว”


ราชันย์มังกรทมิฬ ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงยาว... “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! นั่นสินะ ต่อให้ไม่มีแร่โลหะคงกระพันพวกนี้ ด้วยอุปนิสัยของเจ้าก็ยังรีดไถผู้อื่นได้อย่างไร้ขีดจำกัดอยู่ดี เช่นนั้นก็ถือเป็นของขวัญจากข้าก็แล้วกัน...”


ราชันย์มังกรทมิฬ โบกสะบัดมือแรง ๆ ออกไปหนึ่งครั้ง... แร่โลหะคงกระพันกองพะเนินที่เคยเกาะรวมกันเป็นก้อนเดียวนั้น บัดนี้พลันเกิดรอยร้าวและแตกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ทันที เศษที่แตกออกขนาดที่เล็กเท่ากำปั้น มากพอที่จะใช้แหวนมิติเกือบร้อยวงที่ เล้งซุน พกพามา สามารถเก็บเล็กผสมน้อยได้โดยง่าย...


.......................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว