จอมยุทธ์ซุปตาร์-ตอนที่ 28 ศัตรูมักพบพานในทางแคบ

โดย  ไป๋หู่

จอมยุทธ์ซุปตาร์

ตอนที่ 28 ศัตรูมักพบพานในทางแคบ

ตำหนัก ฟู่เหว่ยหลุน...


ภายในชั้นบนของตำหนัก เกิดการสั่นสะเทือนที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า รัศมีลมปราณที่โอบล้อมหมุนวน แผ่ขยายขอบเขตออกไปโดยรอบอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับถูกชักนำให้ดูดกลืนกลับเข้ามา กลายเป็นวังวนเช่นนี้ตลอดหลายวัน...


ซุน ร่างกายอาบท่วมไปด้วยเหงื่อกาฬที่แตกซิก ทั่วสรรพางค์กายมีกระแสลมปราณผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตามจุดชีพจร เสมือนว่ากำลังใช้ความพยายามในการฝ่าทะลุชั้นพลัง ดูเหมือนว่ากำแพงชนชั้นลมปราณสีส้มจะสูงใหญ่ยิ่งนัก หากก้าวผ่านได้สำเร็จจะถูกนับเป็นยอดฝีมือระดับสูงในทันที


โดยปกติ การจะฝ่าทะลวงชั้นพลังเช่นนี้ จำเป็นต้องมียอดฝีมืออยู่ข้างกายเพื่อคอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ทว่าด้วยความที่การบ่มเพาะจากโอสถปราณวิญญาณถือเป็นความลับสำคัญอย่างหนึ่ง ซุน จึงไม่ต้องการไหว้วานผู้ใดให้มาช่วย... หากมี อาเมนดูเอล อยู่ด้วยก็ยังพอว่า แต่ตอนนี้เขาจำต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก...


ชายหนุ่มกัดฟันแน่น...

“ว่าแล้วเชียว ต่อให้มีลมปราณบริสุทธิ์มากเพียงพอ แต่การทะลวงผ่านก็ทำได้ไม่ง่ายจริง ๆ ด้วย”


ซุน หยิบเอาสุราลมปราณระดับสูงออกมาน้ำเต้าหนึ่ง ถือเป็นสุราที่ ซุน กลั่นออกมาอย่างยากลำบากและพิถีพิถัน ทั้งยังต้องจ่ายทรัพยากรอย่างมหาศาลเป็นค่าตอบแทน... วิถีแห่งเซียนเมรัย และ วิถีแห่งสุราฟ้าดิน ขับขานหมุนวนอย่างรุนแรงก่อนที่เขาจะยกนิ้วชี้ตรงไป ทำให้เต้าสุรานี้ระเบิดออกมา


สุราทั้งหมดถูกชักนำเป็นสายธารสุราหลายสิบสิ้น จากนั้นก็พุ่งเข้ามากระแทกยังจุดชีพจรตำแหน่งต่าง ๆ ทั่วร่างกาย สุราออกฤทธิ์รุนแรงอย่างมาก ทำการเข้าสลายจุดตีบตันทั้งหมดบนชีพจรหลัก กรุยเส้นทางแห่งการฝ่าทะลุพร้อมกัน


ดวงตาของ ซุน เจิดจรัสขึ้น ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านเลยไป รีดเค้นพลังออกมาจนถึงขีดสุด ระเบิดทำลายกำแพงอันสูงใหญ่ของชั้นพลัง หลังการแตกสลายของกำแพงสีเหลืองอร่าม แสงสว่างสีส้มที่เจิดจรัสก็พลันขยายตัวออกมา...


บรรลุชนชั้นลมปราณสีส้มขั้นที่ 1


เสียงตูมตามดังขึ้นจากภายในร่างกาย ซึ่งมีเพียงแค่ ซุน เท่านั้นที่รับรู้และได้ยิน เส้นลมปราณทั้งหมดเปลี่ยนสีสันจากเหลืองกลายเป็นส้ม อีกทั้งยังโป่งขยายและหนาขึ้นมาอีกหลายเท่าจากเดิม หรือแม้แต่มวลกล้ามเนื้อ กระดูก และโลหิต ก็ถูกขัดเกลาให้ยกระดับ...


ซุน รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมา ราวกับหลุดออกจากขอบเขตบางอย่าง ร่างกายเบาขึ้นอีกหลายเท่า ลมปราณหมุนเวียนได้สะดวก พลังในการสู้รบทะยานพุ่งอย่างน่าตกใจ


“สำเร็จ! ความลำบากตลอดหลายวัน ความเสี่ยงที่ข้าแบกรับในสนามรบ เวลานี้ช่างรู้สึกว่ามันคุ้มค่ายิ่งนัก!!” ซุน หัวเราะเสียงยาวด้วยความสะใจ ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตน้อย ๆ ของตนเอง ปลอดภัยมากยิ่งไปกว่าเดิม


“ยินดีด้วยนายท่าน... สมแล้วที่เป็นนายเหนือเทพสวรรค์ของข้า ปฐพีใต้หล้านี้หามีผู้ใดเทียบเคียง ต่อหน้าท่าน แม้จะเป็นตระกูลเล้งยังต้องก้มหัว ตระกูลเหว่ยยังต้องสยบ ตระกูลกุ่ยพลันหมอบคลาน สูงส่งไร้เทียมทาน เกรียงไกรเหนือผู้ใด!!” กิ้งก่าน้อยขนาดเท่าฝ่ามือมีเกล็ดสีม่วงตลอดร่าง กำลังพรรณนาเอ่ยปากชมราวกับกลัวว่าน้ำลายตนเองจะบูด


แน่นอนว่าเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ ก็คือมังกรอัสนีม่วงที่มันแปลงกายลดขนาดตนเองลง จนเหลือเล็กจ้อยเพียงเท่านี้... ซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกายแท้จริง มีเพียงสัตว์อสูรระดับสูงชนชั้นลมปราณสีส้มที่มีสติปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้


ซุน ตั้งชื่อใหม่ให้กับเจ้านี่ว่า ‘จื่อซีอี้’ (กิ้งก่าม่วง)


“หึหึ... จื่อซีอี้ หากเป็นช่วงเวลาปกติข้าคงรำคาญการประจบประแจงที่ไร้สาระของเจ้า แต่เวลานี้ข้าอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ถือว่าเจ้าพูดเข้าหู เอารางวัลของเจ้าไป...” กล่าวจบ ซุน ก็พลันดีดเม็ดยาโปร่งแสงสีขุ่นเม็ดหนึ่งให้กับกิ้งก่าตนนี้


ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็น สุราลมปราณ ที่ถูกวิถีแห่งสุราฟ้าดินบีบอัดให้กลายเป็นรูปแบบของเม็ดยา... ซุน แสร้งบอกกับ จื่อซีอี้ ว่านี่เป็นสุราที่ใช้ในการถอนพิษของมัน หากกินครบหนึ่งร้อยเม็ดเมื่อไหร่จะทำให้พิษสุราในร่างของมันสลายไปจนหมด จึงทำให้กิ้งก่าม่วงที่รักตัวกลัวตายตนนี้ กระตือรือร้นเป็นอย่างมากในทุกครั้งที่มันได้รับรางวัล...


“ขอบคุณนายท่าน ความเมตตาของท่านช่างสูงเทียมฟ้า จิตใจกว้างขวางดุจดั่งมหาสมุทรสิบแห่งที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน...” จื่อซีอี้ ยังคงพร่ำพูดจนดูน่ารำคาญ หากแต่ ซุน กลับหัวเราะร่าเสียงยาว เริ่มที่จะชื่นชอบ ‘ศาสตร์แห่งการเยินยอ’ ของเจ้ากิ้งก่าตนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว


ศพที่ทำการหลอมมาตลอดหลายวัน แม้จะไปไม่ถึงระดับขั้นสูงสุดจากจำนวนที่ ณ ตอนนี้มีมากถึงหลายร้อยร่าง และทรัพยากรที่มีปริมาณจำกัด แต่ผลลัพธ์ก็เรียกได้ว่าน่าพึงพอใจมากแล้ว...


“ทรัพยากรจำเป็นที่เคยไหว้วานให้ห้าตระกูลใหญ่ในพรรคมังกรฟ้าช่วยเสาะหา ป่านนี้น่าจะถูกจัดเตรียมพร้อมไว้ให้ข้าแล้ว อีกทั้งคุณความดีความชอบของข้าก็ยังมากมายมหาศาล คงได้เวลาที่จะกลับแล้วสินะ...” ซุน รู้สึกดีทุกครั้งเมื่อนึกถึงทรัพยากรที่ตนครอบครอง เนื่องด้วยมันคือรากฐานความแข็งแกร่งของเขา


ซุน ได้ทำการเก็บของทั้งหมดออกจากตำหนัก เหลือเพียงสุราเต้าหนึ่งพร้อมข้อความทิ้งเอาไว้ ให้กับ ฟู่เหว่ยหลุน ที่กำลังรักษาตัว และคงอีกสักพักกว่าจะกลับมาที่ตำหนักแห่งนี้... ซึ่งสุราที่ทิ้งไว้นั้น ก็มิใช่สุราเลิศล้ำอะไร แต่เป็น ‘สุราแห่งแม่น้ำยมโลก’ ตามเงื่อนไขในการออกไปจากสถาบันฯ ที่ ซุน ได้เคยให้สัญญาเอาไว้...(ตอนที่ 368)


.................................................


ซุน เดินทางมาสมทบกับ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ที่พร้อมจะเริ่มออกเดินทางไปยังพรรคมังกรฟ้าแล้วเช่นเดียวกัน โดยมีสองชายชรา เนี่ยคุน และ ราชครูต้วน เฝ้ารออยู่ด้วย... สีหน้าของ ราชครูต้วน ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงไปมาก ทั้งยังนั่งรอด้วยการเข้าฌานตลอดเวลามีลมหายใจที่ราบเรียบมิต่างการจำศีล คล้ายว่าเป็นการรักษาสภาวะบางอย่างเอาไว้


ด้วยสายลมสีม่วงแห่งสัมผัส ทำให้ ซุน มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวันได้อย่างชัดเจน เขาถึงกับอึ้งงันไปเล็กน้อย... “นี่พวกเจ้า?!”


สหายทั้งสองคนในเวลานี้แน่นอนว่ายังไม่ได้ก้าวสู่ระดับชนชั้นลมปราณสีส้ม... ทว่า เล้งหยุนฟง นั้นได้เข้าสู่จุดสูงสุดของชนชั้นลมปราณสีเหลืองแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะทะลวงผ่านได้เป็นแน่ จากพลังแฝงเร้นบางอย่างที่ราวกับจะปะทุออกมาจากจุดตันเถียนเสียให้ได้


ทางด้านของ กังเฉิง นั้น... ซุน สัมผัสได้ถึงลมปราณบริสุทธิ์ที่หนาแน่นหมุนวนอยู่ภายในร่าง แม้จะมิได้ไต่ระดับพรวดพราดในคราเดียว แต่ก็ทำให้ กังเฉิง เพิ่มพูนความสามารถในการดูดซับลมปราณโดยรอบมากกว่าปกติเป็นสิบเท่า เชื่อว่าในระยะเวลาอันสั้นคงจะแตะย่างชนชั้นลมปราณสีส้มได้เช่นเดียวกัน...


“บ้าเอ้ย! พวกเจ้าสองคน ไปได้โชควาสนาอะไรที่น่าริษยามางั้นสินะ!!” ซุน แค่นเสียงเล็กน้อยพลางสวมกอดอก... ทว่าทั้ง เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง กลับถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีปลดปลง อีกทั้งยังชำเลืองมอง ซุน ด้วยความรู้สึกที่ล้ำลึกยิ่งกว่า


“ใครจะตำหนิข้าก็ได้ในเรื่องนี้... ยกเว้นก็แต่เจ้า!!”

“ชนชั้นลมปราณสีส้ม?! นี่เจ้าก้าวกระโดดทิ้งห่างพวกเราไปอีกแล้วงั้นหรือ”


เนี่ยคุน หดนัยน์แคบลงเล็กน้อยยามมองมา แม้แต่ราชครูต้วนก็ยังต้องลืมตาตื่นขึ้นชำเลือง...


“นี่สินะ... เหตุผลที่เจ้าไปเก็บเกี่ยวทรัพยากรในสงครามที่แนวหน้า” เนี่ยคุน กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้เขาจะไม่แตกฉานในวิธีการบ่มเพาะของ ซุน แต่ก็พอจะมองออกว่าได้รับพลังนี้ มาจากอณูวิญญาณจำนวนมากที่เก็บสะสมไป


หลังการเหน็บแนบชั่วครู่หนึ่ง คนทั้งห้าก็พลันออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงนภาไพศาลด้วยวิหคยักษ์พาหนะของสถาบันฯ เพื่อที่จะไปใช้ประตูมิติเคลื่อนย้ายของเมืองหลวงเดินทางข้ามทวีป ใช้เวลาเดินทางประมาณสองวันก็น่าจะไปถึงได้...


ขณะที่อยู่บนหลังวิหค ซุน สังเกตเห็นชัดเจนว่า ราชครูต้วน มีสภาพที่ย่ำแย่ลงไปมาก สุดท้ายจึงได้ทราบความจริงจาก กังเฉิง เรื่องที่อายุขัยของชายชราได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว หากบาดเจ็บก็ยังพอจะสามารถรักษาได้ แต่หากอายุขัยใกล้หมดลง ต่อให้เป็นเทพยดาก็มิอาจต่ออายุ มีเพียงต้องทำใจยอมรับเท่านั้น...


เนี่ยคุน ทอดสายตามองออกไปไกลบนเส้นทาง... ก่อนหน้านี้ เล้งหยางอี้ ได้นำศีรษะไร้ดวงตาของ เอี้ยเซียว มาวางทิ้งไว้หน้าประตูสถาบันฯ ถือเป็นการสิ้นสุดเงื่อนไขของสงคราม และปัดเป่าภัยคุกคามสำคัญของสถาบันฯ เป็นที่เรียบร้อย ม่านพลังสีดำก็ถูกสร้างใหม่อย่างสมบูรณ์ ชายชราจึงสามารถเดินทางได้อย่างไร้ห่วงกังวล


“ไม่ว่ายังไงพวกเจ้าทั้งสาม ก็คิดจะตอบรับการไปมหาสมุทรกิเลนอัสนีงั้นสินะ หน้าที่ของข้าทำได้เพียงแค่ตักเตือนชี้แนะ ไม่อาจกำหนดชีวิตและเส้นทางที่พวกเจ้าเลือกเดินได้...” เนี่ยคุน ส่งมอบป้ายรับรองตระกูลเล้งให้กับชายหนุ่มทั้งสามคน


“ข้าจะไปส่งพวกเจ้าที่พรรคมังกรฟ้า รวมไปถึงพาราชครูต้วนกลับไปราชวงศ์ไป๋หู่ตามคำร้องขอสุดท้าย ที่อยากจะสิ้นอายุขัยลงที่นั่น หลังจากนั้นข้าก็จะกลับมาสถาบันฯในทันที จึงอาจไม่มีโอกาสได้บอกลาพวกเจ้าอีกแล้ว...


ดังนั้นข้าจะบอกสิ่งที่ข้ารู้มาให้พวกเจ้ารับรู้ทั้งหมด เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัวยามเริ่มเดินทาง... เมื่อพวกเจ้าก้าวผ่านชนชั้นลมปราณสีส้มได้สำเร็จทั้งสามคน ก็ถือว่ามีความพร้อมในการปกป้องตนเองในระดับหนึ่งได้แล้ว


เขตมหาสมุทรกิเลนอัสนี มีสงครามสามฝ่ายที่ยาวนาน... ฝ่ายหนึ่งก็คือมนุษย์ที่นำโดยตระกูลเหว่ย และตระกูลเล้ง เป็นดั่งปราการสำคัญปกป้องดินแดน ฝ่ายที่สองคือเผ่าอสุรา ปีศาจร้ายในร่างของเผ่าอสูรแคระที่มีความแข็งแกร่งจากพื้นฐานที่น่ากลัว และฝ่ายสุดท้าย ถึงจะมีจำนวนที่น้อยกว่าหากเทียบกับสองฝ่ายก่อนหน้านี้ ทว่าก็คือเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นคือกลุ่มของคนธรรพ์...


สงครามสามฝ่ายนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อราว ๆ ร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งอันที่จริงก่อนหน้านี้เผ่าอสุรา และกลุ่มคนธรรพ์ มีพันธสัญญากับมนุษย์ในฐานะผู้อพยพ ว่าจะไม่รุกรานมนุษย์ หรือออกจากดินแดนของตนเองที่ถูกจำกัด...


ทว่า... พันธสัญญานั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน วันเวลาที่ผ่านเลยไปความคิดของคนรุ่นก่อนเกิดการต่อต้านจากคนรุ่นใหม่ภายในเผ่าของตนเอง... เผ่าอสุราเพิ่มปริมาณประชากรอย่างรวดเร็วจนมีจำนวนกว่าสิบล้านตนอาศัยอยู่บนเกาะ ความแออัดและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอทำให้เกิดการกบฏขึ้นภายในเผ่าอสุรา หัวหน้าเผ่าอสุราดั้งเดิมถูกสังหารและกบฏขึ้นมาเป็นใหญ่ จึงฉีกพันธสัญญาที่ให้ไว้กับมนุษย์


ส่วนทางด้านกลุ่มคนธรรพ์... ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลับแลใต้สมุทร เป็นสถานที่พิเศษซึ่งตั้งอยู่ใต้ทะเลในเขตความลึกที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจก้าวเข้าไปได้ พื้นเพของคนธรรพ์ได้อพยพมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เดินทีมีจำนวนแค่พันกว่าคน แต่หลังผ่านไปหมื่นปีก็ขยายจำนวนเป็นหลายหมื่นคน...


ซึ่งอันที่จริงแล้ว ‘คนธรรพ์’ ก็คือมนุษย์นั่นแหละ... แต่เป็นเผ่ามนุษย์จำนวนน้อยนิด ที่ได้ผ่านวิวัฒนาการทางสายเลือดไปแล้ว มีเรือนกายที่แข็งแกร่ง สามารถทนต่อแรงดันใต้มหาสมุทร ทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้อากาศเพื่อหายใจ อาศัยเพียงลมปราณที่สูงส่งคอยเกื้อหนุน จึงแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ และทำให้ถูกเรียกว่าเป็น ‘อมนุษย์’ ไปโดยปริยาย...


และสถานการณ์ภายในเมืองลับแลใต้สมุทรของพวกคนธรรพ์ ก็เหมือนกับ เผ่าอสุรา... ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดและการขยายจำนวนที่มากขึ้น ทำให้เกิดการกบฏภายใน ตระกูลที่เป็นราชาของคนธรรพ์ก็คือ ตระกูลเนี่ย ถูกฝ่ายกบฏเข้ากวาดล้างดับสังหารเกือบทั้งตระกูล หัวหน้ากบฏขึ้นครองราชเป็นราชาแทนที่ ตระกูลเนี่ย ฉีกพันธสัญญากับมนุษย์ที่เคยมีให้ต่อกัน...”


พากล่าวมาถึงจุดนี้ ทั้ง ซุน และ กังเฉิง ต่างหันมองหน้ากันโดยพลัน... มีเพียงแค่ เล้งหยุนฟง ที่ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว จึงก้มหน้าต่ำไม่พูดอะไร... ซึ่งเวลานั้นเองที่ เนี่ยคุน หันมองกลับมามอง ซุน และ กังเฉิง ด้วยรอยยิ้มชรา...


“พวกเจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว... ข้าเองก็คือหนึ่งในสมาชิกตระกูลเนี่ย ที่หลบหนีพวกกบฏออกมาจากเมืองลับแลใต้สมุทร และแฝงตัวอยู่ในยุทธภพตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อน... ข้าคือสายเลือดอดีตราชาของกลุ่มคนธรรพ์”


........................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว