“เฉียงตงฟาง ร่างสัมผัสถูกม่านพลัง... ตัดสิทธิ์ออกจากการแข่ง!!”
เสียงกรรมการตัดสินลั่นดังขึ้น...
เฉียงตงฟาง กำหมัดแนบแน่น ไหนเลยที่เจ้าตัวจะไม่เข้าใจในกติกาการประลอง ทว่าความพลุ่งพล่านจากการต่อสู้ยังคงแผ่ล้นยากที่จะเก็บงำลงไป ดวงตาเหี้ยมเกรียมแดงก่ำจดจ้องไปยัง ซุน ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เหล่ากรรมการ หดนัยน์ตาแคบลงยกมือให้สัญญาณระหว่างกัน หาก เฉียงตงฟาง คิดที่จะพุ่งเข้าใส่หรือโจมตี ซุน ครั้งนี้กรรมการก็พร้อมที่จะฉุดคว้าตัว และเข้าสกัดกั้นเต็มกำลัง ไม่ยอมให้ถูกครหาได้อีก หลังจากที่พลาดท่ามาหลายเหตุการณ์แล้ว ทั้งจากในเรื่องของ เกาเทียนฉี และ ลั่วชิงเหอ เมื่อวันก่อน...
ซุน เองก็มิได้เลี่ยงหลบสายตา ท่ายืนโอนเอนไม่มั่นคงเช่นเดียวกับ เฉียงตงฟาง... ที่กลางหน้าอกอาภรณ์ยังขาดวิ่น มีบาดแผลฉกรรจ์ไม่ต่างจากรอยกงเล็บของสัตว์ร้าย โลหิตเจิ่งนองอาบทั่วร่าง แต่ความแข็งกร้าวของดวงตาก็ยังไม่ถูกลดทอน
ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกัน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ทุกคนที่เห็นก็ล้วนตื่นเต้น... ทว่าสุดท้ายแล้ว เฉียงตงฟาง ก็เลือกที่จะสลายพลังของร่างสถิต กลับคืนสู่รูปลักษณ์ของผู้เยาว์ที่มีแววตาเย็นชา รอยช้ำที่หน้าอกดูจะสาหัสมาก แต่ใบหน้าของ เฉียงตงฟาง ก็มิได้เปลี่ยนแปลง ใช้ไอเย็นสะกดความเจ็บปวดทั่วร่าง...
“ในวันนี้ข้าพ่ายแพ้เพราะกติกา แม้จะน่าเจ็บใจ แต่ข้าก็จะขอยอมรับ... ครั้งหน้าหากเจอกันอีกครั้ง หวังว่าจะเป็นการประลองที่ยุติ ระหว่างเจ้ากับข้าเพียงสองคนเท่านั้น!!” เฉียงตงฟาง แค่นเสียงเย็น ใบหน้าหยิ่งทะนง ถลึงมองเจาะจงไปที่ร่างของ ซุน
ซุน มีใบหน้าที่นิ่งขรึมเช่นกัน มิได้เอ่ยตอบเป็นวาจา แต่พยักหน้าตอบรับเบา ๆ มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความองอาจ... ทว่าแท้จริงแล้วภายในใจกลับโหยไห้ คำรามดังก้องในห้วงสำนึกตนเอง ว่ากับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ใครเล่าจะอยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สอง!!
อย่างไรตนก็จะไม่ยอมขึ้นเวทีเดียวกับ เฉียงตงฟาง อีกแล้ว!!
ปัจจัยหลักที่ทำให้ ซุน เอาชนะได้ คือการเน้นจังหวะฉวยโอกาส ทั้งยังรุมเล่นงานถึงสามคนสลับผลัดเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง และอีกปัจจัยที่สำคัญก็คือ... เฉียงตงฟาง ประมาทการประลองครั้งนี้เกินไป จึงมิได้พกพาเอาศาสตราระดับสูงขึ้นมาใช้ด้วย มีเพียงแค่รัดเกล้าที่ใช้สะกดพลังของตนเองเท่านั้น...
หากนี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่มีกรอบกติกา โอกาสที่ ซุน จะเอาชนะ เฉียงตงฟาง ในเวลานี้อย่างยุติธรรมได้นั้น นับว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย...
เฉียงตงฟาง แม้จะบาดเจ็บหนัก แต่ยังสะบัดร่างก้าวเดินอย่างมั่นคงทะนงอาจ เดินกลับไปที่ห้องพักฟื้นด้วยตนเอง โดยปฏิเสธไม่ให้ผู้ใดเข้ามาประคอง... แม้จะเป็นผู้พ่ายแพ้บนเวทีนี้ แต่ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า ตำแหน่งผู้เยาว์อันดับ 1 ของทวีปพยัคฆ์ขาว ย่อมไม่มีใครสามารถแย่งชิงไปจากชายหนุ่มผู้นี้ได้...
และถึงแม้ว่า เฉียงตงฟาง จะพ่ายแพ้ไปแล้ว...
แต่การแข่งก็ใช่ว่าจะจบลง!!
เวลานี้ ไป๋หู่จิวหรง เจี่ยโย่วเทียน และ ซุน กลายเป็นผู้ท้าชิงระหว่างกันในการประลองครั้งนี้ ไม่มีอันดับ 2 ไม่มีอันดับ 3 มีเพียงตำแหน่งชนะเลิศเท่านั้น ที่จะได้รับเกียรติสูงสุดเป็นรางวัล!!
อาการบาดเจ็บของทั้งสามคนล้วนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก แต่หากถามว่าผู้ใดย่ำแย่ที่สุดจากภาพรวม เสียงเดียวกันที่จะกล่าวขึ้นก็ย่อมเป็น ซุน ที่เวลานี้ไม่เหลือพลังแม้แต่จะใช้ลมปราณปกปิดบาดแผล
สายตาของทั้งสามล้วนจดจ้อง ตามแผนการที่วางไว้เมื่อคืน ไม่มีแผนการหลังจากที่ เฉียงตงฟาง พ่ายแพ้ไปแล้ว ถูกยกขึ้นมาพูดคุย!! เพราะทั้งสามก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะสามารถล้มสัตว์ประหลาดตนนั้นได้จริง ๆ
ขณะที่ทั้งสามมองกันด้วยสีหน้าปั้นยาก... ทว่าไม่นานนัก ทั้งสามกลับแผดเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน...
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ใครจะคิดว่าจะเหลือแค่พวกเราสามคนเช่นนี้” ไป๋หู่จิวหรง กล่าวขึ้น
“นั่นสิ อย่าว่าแต่จะสู้กันเลย แค่จะเดินเข้าไปหากันก็ยังยากแล้ว” เจี่ยโย่วเทียน ถอนหายใจยาวออกมาเช่นกัน ไม่เหลือแม้แต่แรงจะลุกเดินด้วยซ้ำ
“แต่อย่างน้อย ความฝันของพวกท่านทั้งสองคนก็เป็นจริงแล้วนะ... เวทีประลองนี้ ผู้ชนะเลิศไม่ใช่ เฉียงตงฟาง อีกแล้ว แต่เป็นพวกเรา...” ซุน กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
ไป๋หู่จิวหรง และ เจี่ยโย่วเทียน ถึงกับใบหน้าด้านชา ทั้งสองไม่คิดว่า ซุน จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นความฝันของทั้งสองคน ยิ่งพอได้เห็นร่างที่บาดเจ็บหนักของ ซุน เช่นนี้แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าความทุ่มเทของ ซุน อาจจะมากยิ่งกว่าทั้งสองคนด้วยซ้ำ... ทั้งที่เดิมที ซุน ไม่ได้มีใจเป็นปรปักษ์กับ เฉียงตงฟาง สักนิดเดียว...
ไป๋หู่จิวหรง และ เจี่ยโย่วเทียน คิดได้เช่นนั้นก็หันมองกันด้วยสายตาล้ำลึก... ก่อนที่ทั้งสองคนจะขืนยิ้มออกมา ทั้งสองเข้าใจดีว่าหากไม่มี ซุน โอกาสที่จะชนะก็คงไม่มี... แต่ตรงกันข้ามหากไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจากพวกตนทั้งสองคน ซุน ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสชนะ...
ซุน ผู้ที่เปล่งประกายมากที่สุด แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ... ไป๋หู่จิงหรง และ เจี่ยโย่วเทียน ถอนหายใจยาวพรืดหนึ่ง ก่อนทั้งสองคนจะยกมือขึ้น และกล่าวเป็นประโยคเดียวกัน...
“ขอสละสิทธิ์การประลอง”
“!!!!!!!!!” สิ้นเสียงของสอง ซุน เบิกตากว้างขึ้นทันที ทั้งที่เจ้าตัวกำลังครุ่นคิดหาวิธีการตัดสินผู้ชนะเลิศอยู่แท้ ๆ แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะเอ่ยปากสละสิทธิ์ออกมาพร้อม ๆ กัน
“ทำไม พวกท่าน?!”
ไป๋หู่จิงหรง หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ...
“พอเพียงได้เหนือกว่า เฉียงตงฟาง สักครั้ง ตัวขอก็พอใจมากแล้ว ทั้งยังได้การยอมรับจากเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอีกด้วย อย่างน้อยก็ทำให้ข้าเข้าไปอยู่ในสายตาของเจ้านั่นบ้าง... สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าตำแหน่งชนะเลิศเสียอีก เท่านี้ข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว...”
เจี่ยโย่วเทียน ก็ขืนยิ้มออกมาเช่นกัน...
“ตัวข้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ว่าการประลองนี้ผู้ใดคือชิ้นส่วนสำคัญที่สุดในการเอาชนะ เฉียงตงฟาง และในฐานะศิษย์พี่ร่วมสำนัก หากข้าปล้นชิงตำแหน่งของเจ้า ทั้งที่รู้ว่าตนเองนั้นทำได้ด้อยกว่า วิถีแห่งการฝึกฝนของข้า มันจะยังหลงเหลืออะไร?!”
ซุน อึ้งงันไปในทันที... ทว่าในตอนนั้นเอง ที่กรรมการก็ขึ้นมาอยู่ข้างกายของ ซุน เสียแล้ว จับมือของเด็กหนุ่มยกชูขึ้นสูง พร้อมประกาศกล้า... “เฉียงตงฟาง ถูกตัดสิทธิ์... ไป๋หู่จิวหรง และ เจี่ยโย่วเทียน ขอสละสิทธิ์... ดังนั้นผู้ชนะเลิศการประลองในครั้งนี้ ได้แก่ ซุน!!”
สิ้นเสียงกรรมการประกาศผล เสียงผู้ชมโดยรอบพลันกระหึ่มขึ้นทันที แม้ทุกอย่างจะพลิกความคาดหมายไปหลายตลบ ม้ามืดที่พื้นฐานลมปราณอ่อนด้อยที่สุดในการแข่ง กลับกลายเป็นผู้ชนะเลิศ เรื่องนี้ย่อมกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปอีกยาวนานในทวีปพยัคฆ์ขาว
สามผู้นำสำนักสายลมประจิม หัวเราะคำรามออกมาเสียงก้องดัง... นี่เป็นครั้งแรกที่ศิษย์สำนักสายลมประจิม มีชัยเหนือ ราชวงศ์ไป๋หู่ และ พรรคมังกรฟ้า ไหนเลยจะมีเรื่องอะไรน่ายินดีมากไปกว่านี้...
ภาพของ ซุน ในเวลานี้ ได้ถูกสลักและกลายเป็นที่จดจำของชนชั้นยอดฝีมือแนวหน้าหลาย ๆ คนแล้ว แม้ว่าหากเทียบกับระดับของยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล เวทีประลองนี้ คงเปรียบได้กับเวทีประลองเล็ก ๆ ของผู้เยาว์ มิอาจสร้างระลอกคลื่นใด ๆ ให้กับความแปรปรวนในมหาสมุทรใหญ่ที่เรียกว่า ยุทธภพ นี้ได้
แต่ในอีกไม่กี่สิบปี หรืออาจจะแต่ไม่กี่ปี โอกาสที่ ซุน จะกลายเป็นคลื่นระลอกใหญ่ของยุทธภพ ก็ใช่ว่าจะเป็นศูนย์... ดังนั้นการสลักจดจำต้นกล้าอ่อนก่อนจะเติบโตนั้น จึงเป็นสิ่งที่บรรดายอดฝีมือทุกคน ล้วนมีทักษะเช่นนี้ติดตัว...
เล้งซิ่วอัน ยังเป็นอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ห่างไกล นางไม่กล้าเผยตัวและเข้าไปสุงสิงกับ ซุน อีกแล้ว หวั่นเกรงว่าหากนางแสดงตัวมากไปกว่านี้ อาจถูกจับจ้องในความผิดแปลก... นางมอง ซุน ด้วยความสลับซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว ๆ ครั้งหนึ่ง...
เฉียงตงฟาง ที่เฝ้ามองอยู่ในห้องพักฟื้น เผยแววตาล้ำลึก ซึ่งตัวของ เฉียงตงฟาง มิได้สนใจตำแหน่งชนะเลิศมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะตนนั้นชนะเลิศมาโดยตลอด... แต่สิ่งที่ เฉียงตงฟาง มีความปิติยินดี นั่นคือการได้พบเจอกับคู่แข่งในรุ่นเดียวกัน...
ซึ่งตัวของ เฉียงตงฟาง นั้น แท้ที่จริงได้ รู้สึกหมดสิ้นความหวังกับทวีปพยัคฆ์ขาวแห่งนี้ไปนานแล้ว และมีแผนจะไปยังทวีปมังกรฟ้า หมายมั่นที่จะเผชิญหน้ากับระดับที่สูงกว่าอย่าง มังกรรุ่นเยาว์ และ ราชันย์รุ่นเยาว์คนปัจจุบัน กลุ่มคนที่เป็นจุดสูงสุดของยุทธภพ ช่วงอายุต่ำกว่า 20 ปี ก่อนที่ตนจะหมดโอกาสเหล่านี้ในปีหน้า...
“อยากแก้มือกับเจ้าอีกสักครั้งจริง ๆ” เฉียงตงฟาง กล่าวขึ้นทั้งรอยยิ้ม
หลังจบศึกการประลอง แม้จะมีของรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ไม่ถือว่าน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ โดยมากผู้เข้าประลองครั้งนี้ ตั้งใจมาสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและเกียรติยศให้กับสำนักเสียมากกว่า…
ซุน จึงไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก เพราะตนถึงกับสูญเสีย กระบี่พันชั่ง ไปในการประลองครั้งนี้ แม้ว่า ซุน จะยังมีทั้ง กระบี่ทองไร้เอกลักษณ์ กระบี่ดำราชวงศ์ หรือแม้แต่ กระบี่สวรรค์โลหิตแสนบ้าคลั่ง ไว้ในครอบครอง ทว่าด้วยพื้นฐานที่ยากจนข้นแค้นเคยเป็นเด็กสลัมมาก่อน การสูญเสียสิ่งของมีค่าไป ก็ยังทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจอยู่ดี...
ทั้ง ไป๋หู่จิวหรง เจี่ยโย่วเทียน และ ซุน ต่างก็ถูกพามารักษาตัวโดยด่วนที่ ห้องพักฟื้น... แต่เมื่อทั้งสามคนมาถึง ตัวของ เฉียงตงฟาง ก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว คาดว่ากลับไปทำการรักษากับทางหน่วยแพทย์ของพรรคมังกรฟ้า ที่มีวิทยาการและทรัพยากรลึกล้ำยิ่งกว่า...
ทั้งสามคนพูดคุยอย่างสนิมสนมหลังผ่านการต่อสู้มาด้วยกัน... ไป๋หู่จิวหรง ยังออกปากชักชวน ซุน มาเข้าร่วมกับทางหน่วยมือปราบเทพพยัคฆ์ เน้นย้ำว่า ซุน แอบลักลอบไปฝึกเคล็ดวิชาระดับเฉพาะของหน่วย หากไม่ยอมเข้าร่วม ยังข่มขู่จะลงโทษ มู่เจี้ยน เสียด้วยซ้ำตามนิสัยนาง
ซุน ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แสร้งกระอักเลือดคำหนึ่ง และทิ้งร่างนอนสลบไป หลีกเลี่ยงที่จะไม่ตอบรับนาง... นางถึงกับหนังศีรษะด้านชา ใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้... เจี่ยโย่วเทียน ยังอดไม่ได้ที่จะมีท่าทีขบขันออกมา...
หลังจบการประลอง ก็ยังมีเรื่องประกาศสำคัญของทางสมาพันธ์ทำเนียบยุทธภพ... ซึ่งทุกคนก็พอที่จะคาดเดาได้บ้างแล้ว ว่าการประกาศครั้งนี้คงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ในทวีปพยัคฆ์ขาวแห่งนี้...
ทางสมาพันธ์ทำเนียบยุทธภพ เป็นขุมกำลังเดียวที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในความเป็นกลาง และความยุติธรรมที่เสมอภาค หน้าที่สำคัญในยุทธภพคือการเจรจาไกล่เกลี่ย ช่วยในการตัดสินคดีใหญ่ของยุทธภพ
และหน้าที่หลักอีกอย่างของสมาพันฯ ก็คือการจัดอันดับ... ทุกการจัดอันดับในยุทธภพ ล้วนต้องผ่านการพิจารณาอย่างถ้วนถี่ จากสมาพันฯทั้งสิ้น หากไม่มีตราประทับยืนยันจากสมาพันฯ ทุกการจัดอันดับจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ…
ตำแหน่ง เทพราชันย์ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ
ตำแหน่ง จอมราชันย์ ทั้ง 4 ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละทวีป
ตำแหน่ง เทพปรมาจารย์ ทวีปละ 3 คน แข็งแกร่งรองจากจอมราชันย์
รวมไปถึงตำแหน่ง ราชันย์รุ่นเยาว์... มังกรรุ่นเยาว์... และอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ในแต่ละทวีป ทั้งยังมีการจัดอันดับอีกมากมาย ทำเนียบร้อยศาสตรา สิบสุดยอดเทพศาสตราวิเศษ การแบ่งชนชั้นขุมกำลังในยุทธภพ และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนเป็นการจัดอันดับขึ้น โดยทาง สมาพันธ์ทำเนียบยุทธภพ ทั้งสิ้น...
ความน่าเชื่อถือของสมาพันธ์ทำเนียบยุทธภพ
ทุกขุมกำลังในยุทธภพ ล้วนไร้ข้อกังขา...
ผู้อาวุโสแต่งกายดุจนักพรตแก่กล้าผู้หนึ่ง ก้าวเดินออกมายังใจกลางเวทีประลอง... ทุกสายตาบนอัฒจันทร์ล้วนจับจ้องด้วยความตื้นเต้น มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตลมปราณอันล้ำลึกของชายชราผู้นี้... รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า เต็มไปด้วยมารยาทและความนอบน้อม ประสานมือให้กับทุกคนรอบด้านสี่ทิศ แม้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ยังไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งใด ๆ
“ตัวข้าผู้ชรา คือลำดับที่ 10 แห่งสมาพันฯ มาที่นี่ก็เพื่อขอประกาศ ตำแหน่งอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ถือเป็นการยืนยันที่ได้รับตราประทับจาก 1 ใน 9 ผู้เฒ่า แห่งสมาพันฯ เรียบร้อยแล้ว...” ชายชรา กล่าวขึ้นเนิบนาบไม่เร่งร้อน ก่อนจะสะบัดมือออกไปครั้งหนึ่ง
ตัวอักษรลมปราณที่ส่องสว่าง มีขนาดใหญ่มากพอที่คนบนอัฒจันทร์ทั้งหมดจะเห็นอย่างเด่นชัด ก็พลันปรากฏขึ้นมาบนความว่างเปล่า เกิดจากเรียงลำดับอัจฉริยะผู้เยาว์ขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยที่จำนวนรายนามนั้นมิใช่ 7 คน อีกต่อไป...
แต่ปรากฏรายนามขึ้น ถึง 9 คน!!
………………………………….
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว