กองกำลังที่กระหายในทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เมื่อมองกระบี่ดำในมือของ ซุน ด้วยตาที่เป็นประกาย แน่นอนว่าของชิ้นนี้มีราคาที่มิอาจประเมินได้... ซุน ใช้โอกาสนี้ดึงดูดความสนใจ เพื่อให้ในทิศทางอื่น ๆ เคลื่อนไหวได้ง่ายยิ่งขึ้น...
ทันทีที่ ซุน ระเบิดเจตนารมณ์แห่งการสู้รบออกมา ดวงวิญญาณนับร้อย ๆ ดวงจากป้ายสะกดวิญญาณ ก็แตกกระจายพวยพุ่งเป็นระลอกคลื่นความตายที่ซัดตลบ สามารถได้ยินเสียงโหยหวนคร่ำครวญที่เย็นเยือกปกคลุมไปทั่วชั้นบรรยากาศ อำนาจคุกคามที่มืดดำแผ่ซ่านจนทำให้ขนพองสยองเกล้า
แม้ว่ายอดฝีมือจ้างวานเหล่านี้ เกือบทั้งหมดจะไม่มีสัมผัสแห่งวิญญาณและมองไม่เห็นดวงวิญญาณอาฆาต หากแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ฝึกฝนวิชามารและศาสตร์แห่งความตายมาบ้าง กลุ่มคนเหล่านั้นพลันร่างกายสั่นเยือกขึ้น ใบหน้าหวาดผวาอย่างอดไม่อยู่ คนเหล่านี้หากฝึกฝนในระดับที่มากพอ จะจำแนกความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณอาฆาตได้
และบรรดาวิญญาณอาฆาตของ ซุน ได้ผ่านการสั่งสมตบะภายใต้การชี้นำมาอย่างถ้วนหน้า พลังตบะที่แผ่ซ่านออกมานั้น แทบจะเทียบเคียงได้กับระดับของ วิญญาณอสูรดำ! ทั้งดวงวิญญาณบางส่วนมีตบะแก่กล้าในชั้นบน ๆ ยังเหนือล้ำขึ้นไปกว่านั้น และเทียบเคียงได้กับ วิญญาณอสูรแดง!
จากนั้นแหวนมิติอีกหลายวงของ ซุน ก็พลันเปล่งวาบขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นเงาร่างของศพหลอมระดับ 2 ระดับ 3 หรือแม้แต่ระดับ 4 คละเคล้ากันไปอีกนับร้อยตน... อำนาจที่บงการดวงวิญญาณและซากศพของ ซุน แตะย่างเข้าสู่ระดับที่ผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งความตายยังต้องแหงนมอง
หลังผสานหลอมรวมของดวงวิญญาณและกองทัพศพหลอม นัยน์ตาของกองทัพศพหลอมนับร้อย ต่างก็ลืมตาตื่นขึ้นมา... และไม่ใช่เพียงเท่านั้น!! ซุน ยังหยิบเอาสุราไหใหญ่ยักษ์ออกหา กลิ่นสุรานั้นคละคลุ้งอย่างถึงที่สุด ดวงตาของชายหนุ่มเผยความไม่ลังเล ก่อนจะโยนไหสุรานี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า ระเบิดไหนี้ให้แตกออกด้วยพลังลมปราณ จนทำให้น้ำสุราสาดกระจายไปในความว่างเปล่า จากนั้น ซุน จึงชี้ปางมือออกไปด้วยท่ามุทรา แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวถึงขีดสุด...
“วิถีแห่งสุราฟ้าดิน... ร้อยศาสตราผลึกสุรา!!”
เพียงเคล็ดวิถีแห่งสุราฟ้าดินระเบิดอำนาจการควบคุม น้ำสุราที่สาดกระจายมากมายเหล่านั้นก็พลันแปรเปลี่ยนสภาวะจนแข็งตัวดุจดั่งผลึกน้ำแข็งรูปลักษณ์ต่าง ๆ จนก่อเกิดเป็น ‘ศาสตราผลึกแข็งจากสุรา’ ลักษณะแตกต่างกันออกไปจำนวนนับร้อยเล่ม ตกลงมาปักอยู่เบื้องหน้าของกองกำลังศพหลอมทั้งหมด ก่อนที่กองกำลังศพหลอมเหล่านั้นจะทยอยกันหยิบเอาศาสตราผลึกแข็งเหล่านี้ มาใช้เป็นอาวุธประจำกายตามความชำนาญในตอนที่ยังมีชีวิต...
ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นกล่าวเหมือนยาว หากแต่แท้จริงแล้ว ซุน ทำกระบวนการทั้งหมดอย่างชำนาญ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เวลานี้รอบกายของ ซุน ก็ถูกโอบล้อมด้วยกองทัพที่น่าสะพรึง แผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความตายที่ตลบอบอวลออกมา...
กองกำลังยอดฝีมือรับจ้าง ต่างก็เบิกตากว้างด้วยความสับสันงุนงง แม้จะมีบางคนที่เคยได้ยินเรื่องศาสตร์แห่งความตายและการใช้ศพหลอมมาบ้าง แต่ก็แทบจะไม่เคยเห็นผู้ใดสามารถนำออกมาใช้งานได้จริง เพราะศพหลอมนั้นไร้สติปัญญา เคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณเท่านั้น แตกต่างไปจากกองกำลังติดอาวุธที่อยู่ตรงหน้าอย่างเทียบกับไม่ได้...
แม้แต่ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง ที่มองอยู่ไกล ๆ ยังรู้สึกขนลุกชูชัน จนหนังศีรษะด้านชา... แม้ทั้งสองจะมั่นใจว่า ซุน คงมีแผนการรับมือ แต่ก็มิได้คิดฝันว่าจะถึงขั้นเรียกกองทัพแห่งความตายของตนเองขึ้นมาจากความว่างเปล่าเช่นนี้...
“สังหารพวกมัน ดับทำลายอย่าให้เหลือ!!” ซุน คำรามเสียงกังวานก้อง
ทันใดนั้นกองทัพศพหลอมเหล่านี้ก็ระเบิดพลังรบที่มหาศาลออกมา ก่อนจะแยกกำลังหันเข้าประหัตประหารฝ่ายตรงข้ามด้วยความบ้าคลั่ง... จิตวิญญาณของกองทัพนี้หลอมรวมเป็นหนึ่ง เพราะเป็นเพียงดวงวิญญาณข้ารับใช้ที่ยึดมั่นต่อผู้เป็นนาย ไร้ความโลภ ไร้ความรู้สึก...
ความโกลาหลเกิดขึ้นเล็กน้อยกับเหล่ายอดฝีมือจ้างวาน ทั้งหมดเกิดจากความไม่แน่ชัดในกองทัพปริศนาตรงหน้า ทว่าเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ คนเหล่านี้ต่างก็มีประสบการณ์ฆ่าฟันสูงล้ำ ไหนเลยจะยืนนิ่งให้ถูกสังหารจึงระเบิดพลังสู้ออกมา
กองทัพศพหลอมมีศักยภาพร่างกายที่ด้อยกว่าดังนั้นจึงถูกเสียบแทงร่าง ถูกฟันเป็นรอยยาว หรือแม้แต่ถูกตัดศีรษะในเวลาต่อ... หากแต่สิ่งเหล่านั้น ไหนเคยที่จะใช้หยุดยั้งกองทัพซากศพที่เป็นอมตะนี้ การกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งของซากศพ ได้สร้างความสะเทือนขวัญสั่นประสาทอย่างแท้จริง ให้กับกองกำลังยอดฝีมือจ้างวานจำนวนมาก
“บะ...บ้าน่า!! พวกมันไม่ใช่มนุษย์!!”
ความประมาททำให้ศาสตราผลึกสุรา ถูกกวัดแกว่งตามพื้นฐานที่ชำนาญ เสียบแทงและฟาดฟันเพื่อตอบโต้กลับไป ประหนึ่งว่าเป็นการล้างแค้นที่มาจากขุมนรก! เสียงโหยหวนครวญครางนั้นดังระงมไม่ขาดสาย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วบาดแผลจากศาสตราผลึกสุรานั้นมิได้เป็นบาดแผลร้ายแรงประการใด แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือศาสตราเหล่านี้เป็นสุราผลึกที่เกิดจาก ‘สุราแห่งหยิน’ ในวิถีแห่งเซียนเมรัย...
ดังนั้นศาสตราผลึกสุราเหล่านี้ ไม่ต่างอะไรกับอาวุธที่อาบยาพิษตลอดทั้งเล่ม ต่อให้ฟาดฟันจนเกิดบาดแผลแค่เพียงเล็กน้อย พิษจากสุราแห่งหยินก็จะทำให้คนผู้นั้นมีอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง!! บางคนหวาดกลัวจนคุกเข่าหมอบกราบ... บางคนหวาดผวาจนต้องทิ้งอาวุธวิ่งหนีไป... และบางคนวิกลจริตจนถึงขั้นลงมือสังหารพวกเดียวกันเอง ความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับกองกำลังยอดฝีมือรับจ้างกลุ่มนี้...
ซุน ยังอาศัยการแอบซ่อนตัวด้านหลังกองทัพศพหลอม จากนั้นก็ใช้การลอบสังหารด้วยการแทงกระบี่ดำให้ทะลุจากร่างศพหลอม เสียบเข้าจุดตายของศัตรูในแต่ละคน อาศัยความเร็วและความโกลาหล เพียงช่วงสั้น ๆ ก็สังหารยอดฝีมือไปนับสิบคน โดยไม่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเข้าปะทะ
อีกทั้งยังคอยเก็บเกี่ยวศพร่างของคนที่ตาย รวมไปถึงดวงวิญญาณที่ล่องลอยต่อเนื่อง ทุกอย่างมีค่าเพียงแค่ทรัพยากรสำหรับ ซุน เท่านั้น... ความรู้สึกของ ซุน อยู่ในระดับที่ด้านชาต่อการสังหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีความลังเลใจสักนิดยามที่ลงมือ ตระหนักถึงความเป็นจริงแห่งสงคราม...
เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง แม้จะแยกออกไปไกล แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่พอจะมองเห็นความโหดร้ายทารุณในครั้งนี้... ซุน ที่ถูกโอบล้อมโดยกองทัพซากศพ เปรียบเสมือนราชันย์แห่งสงครามที่ก้าวเดินอย่างไร้ความปราณี ไม่ว่าศัตรูคนใดจะพยายามเข้ามาเล่นงาน ล้วนแล้วแต่จะถูกฉุดยื้อไว้ด้วยกองทัพอมตะที่ฆ่าไม่ตาย จากนั้น ซุน ก็ทำเพียงแค่เสือกแทงกระบี่ดำออกไปตรง ๆ ลงมือสังหารปลิดชีพอย่างเฉียบคมในชั่วพริบตา และเก็บกลับศพนั้นเข้าไปในแหวนมิติประหนึ่งว่าเด็ดสมุนไพรข้างทาง
“ชิ! แหวนมิติระดับต่ำนี่ เก็บศพได้เพียงแค่ไม่กี่ร่างก็เต็มอีกแล้ว...” ความลำบากใจของ ซุน มีเพียงแค่กลัวแหวนมิติที่ตนพกติดตัวมา จะเก็บศพเหล่านี้กลับไปไม่หมดเท่านั้นเอง...
ในแง่ของความแข็งแกร่ง กองทัพศพหลอมนี้อาจจะมีไม่มากนัก... แต่ความน่ากลัวคือพลังชีวิตที่ไร้สิ้นสุด ต่อให้ถูกตัดแขน ตัดขา ตัดศีรษะ หรือผ่าแยกร่าง ตราบเท่าที่ยังไม่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกมันก็ยังขยับได้และตอบโต้ได้
ทั้งในหมู่กองกองทัพอมตะเหล่านี้ ผู้ที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นวิญญาณอารักษ์ผู้นำกองกำลังอย่าง โม่เหยา อดีตยอดฝีมือระดับสูงของพรรคเซียนประทาน(ตอนที่ 240) ร่างกายดั้งเดิมของ โม่เหยา ถูกหลอมจนอยู่ในระดับ 4 ผนวกกับที่ร่างกายนี้เคยเป็นสถิตหมีภูเขามาก่อน ทำให้มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตที่น่ากลัวอย่างมาก เมื่อรวมกับความเป็นอมตะที่ไม่รู้เจ็บไม่รู้ตายเข้าไป จึงกลายเป็นดั่งแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอมตะที่ห้าวหาญตามความตั้งใจของ ซุน...
ทหารเงาทั้งสี่(ตอนที่ 277) ศพหลอมที่ใบหน้าและรูปร่างคล้ายคลึงกับ ซุน ก็เปรียบดังขุนพลในกองทัพ ดวงวิญญาณที่ควบคุมทหารเงาก็เป็นยอดฝีมือในอดีตที่ไม่ธรรมดา ระเบิดพลังในการรบออกมาจนน่ากริ่งเกรง
ศาสตราผลึกสุรา ก็น่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน พิษหลอนประสาทของมันร้ายแรงมากเนื่องด้วยถูกพัฒนาขึ้นจากวิถีแห่งสุราสองสายที่หลอมรวมเป็นหนึ่ง ต่อให้เป็นระดับยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีส้มยังยากที่จะต่อต้านพิษสุราเหล่านี้
ภายใต้การแสดงพลังในการสู้รบทั้งหมดของกองทัพอมตะ ซุน แทบจะไม่ต้องลงมือด้วยตนเอง คอยเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ และศพร่างของผู้ตายเพียงเท่านั้น... ใบหน้ากองกำลังยอดฝีมือรับจ้างแต่ละคนในเวลานี้ล้วนเผยความหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน ทั้งที่จำนวนของพวกมันมีมากกว่ากองทัพศพหลอมหลายเท่า
และหากมีความตั้งใจในการสู้รบ พวกมันก็น่าจะสามารถต่อกรกับศพหลอมระดับต่ำได้โดยไม่ยากเย็น แต่เป็นเพราะความสับสนและความโกลาหล ผนวกกับความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จักได้เข้าครอบงำจิตใจไปแล้ว เวลานี้พวกมันจึงมิอาจต้านทานกำลังของกองทัพศพหลอมเหล่านี้ได้เลย
ทางด้าน เล้งหยุนฟง อาศัยความโกลาหลที่ ซุน สร้างขึ้นมา ตวัดปลายนิ้ววาดอักษรเพลิงอักขระสร้างมังกรเพลิงขนาดใหญ่เจ็ดตัว เปล่งเสียงคำรามพร้อมระเบิดเปลวเพลิงเป็นวงกว้าง กวาดทำลายเพื่อเปิดเส้นทาง ก่อนจะห้อทะยานจนเข้าถึงตำแหน่งของ ฟู่เหว่ยหลุน ได้ในที่สุด
“ผู้อาวุโสฟู่... ยังปลอดภัยดีงั้นสินะ”
ฟู่เหว่ยหลุน สำรอกโลหิตออกมาเล็กน้อย หากแต่แววตายังกระจ่างชัด... “ลำบากพวกเจ้าแล้ว ข้านั้นพลาดเองที่ถูกลอบโจมตีที่ขาเป็นอันดับแรก ทำให้การหลบหนีทำได้ยากขึ้น...”
กังเฉิง เองก็ฝ่าทะลวงเข้ามาด้วยความเหี้ยมหาญ เปล่งประกายรังสีศาสตราของเงาทวนเทพทมิฬกระจายรอบทิศ สังหารสามบาดเจ็บห้าในกระบวนท่าเดียว ความดุดันนั้นเกินขอบเขตของผู้เยาว์ไปไกลจน จนในที่สุดก็เข้ามาสมทบกับ เล้งหยุนฟง และ ฟู่เหว่ยหลุน...
คนทั้งสามชำเลืองมองไปยังด้านของ ซุน เล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่ดุจดั่งเทพสงครามที่นำกองทัพอมตะ กระทั่ง เล้งหยุนฟง ยังอดที่จะเผยใบหน้าเลื่อมใสออกมามิได้... “ว่าแล้วเชียว เจ้ามีอะไรที่มากยิ่งกว่าความแข็งแกร่งบนเวทีประลองจริง ๆ ด้วย”
“น้องซุน... เจ้าช่างปิดบังตนเองได้เก่งกาจยิ่งนัก” ฟู่เหว่ยหลุน เอ่ยแผ่วเบาทั้งรอยยิ้ม
ทั้ง เล้งหยุนฟง และ ฟู่เหว่ยหลุน มีประสบการณ์มากพอจะมองออก ว่ากองทัพเหล่านั้นเป็นวิชาต้องห้ามในศาสตร์แห่งความตายบางอย่าง ที่มิอาจนำออกมาใช้ได้บนเวทีประลอง ทั้งยังเป็นวิชาลับที่จำเป็นต้องปกปิดไม่อาจเปิดเผยในที่สาธารณะ มิเช่นนั้นอาจไม่ได้รับการยอมรับจากยุทธภพ... ส่วน กังเฉิง แม้จะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ก็สัมผัสได้ถึงไอความตายที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้นเช่นกัน
ภายใต้การระเบิดพลังเพื่อเปิดทางของ เล้งหยุนฟง และ กังเฉิง อีกทั้งยังอาศัยความชุลมุนโกลาหลที่ ซุน สร้างขึ้นมา ท้ายที่สุดก็สามารถหอบหิ้วร่างที่บาดเจ็บของ ฟู่เหว่ยหลุน มาถึงริมทะเลสาบจนได้ คนทั้งสองชำเลืองมองไปยัง ซุน อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
จังหวะนั้น ซุน ได้สั่งการกองทัพให้ถอยมาปักหลักที่ริมชายฝั่ง...
“พวกเจ้ารีบกลับไปที่สถาบันฯ!! ข้าจะต้านเอาไว้ให้!!”
ซุน สร้างปราการสายลมสีครามขนาดใหญ่ขึ้นขว้างกัน มิปล่อยให้ยอดฝีมือจ้างวานคนใดสามารถไปยังริมชายฝั่ง... ทำให้สหายทั้งสามสามารถห้อทะยานไปบนผิวน้ำได้อย่างสะดวก ทุกคนล้วนเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของ ซุน ว่าจะเอาตัวรอดกลับมาได้...
“เท่านี้พวกเราก็รอดแล้วสินะ...” กังเฉิง กล่าวขึ้นหลังจากที่ห่างออกมาจากชายฝั่งสักระยะ แต่ก็ไม่เห็นศัตรูติดตามมา จึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความปลดปลง
ทว่า ฟู่เหว่ยหลุน กลับแสดงสีหน้ามืดดำยิ่งไปกว่าเดิม “ยังหรอก... หากศัตรูมีเพียงแต่กองกำลังพวกนั้น อาศัยความเร็วและทักษะของข้าคงหลบหนีได้ไม่ยากเย็นนัก ทว่ายังมีศัตรูอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้นำกองกำลัง ข้าเองก็พลาดท่าบาดเจ็บเพราะเจ้านั่นแหละ...”
จากนั้น ฟู่เหว่ยหลุน ก็หันมองมายัง เล้งหยุนฟง ด้วยสีหน้าลำบากใจจะเอ่ย... “ซึ่งคน ๆ ก็คือ พี่ชายของเจ้า เล้งหมิงเช่อ ดังนั้นระวังตัวเอาไว้ด้วย เจ้านั่นมาพร้อมกับมังกรเกล็ดสีม่วง ที่มีความเร็วในการบินที่สูงมาก ตัวข้าเองก็ไม่อาจหนีพ้น...”
“!!!!!!!!!!!” เล้งหยุนฟง เบิกตากว้างขึ้นทันที
“อะไรนะ!! ท่านพี่ ก็มาที่นี่ด้วยงั้นหรือ!!”
...............................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว