เจ้าเกี๊ยววิศวะ -ธีย์สถาปัต

โดย  S.SU

เจ้าเกี๊ยววิศวะ

ธีย์สถาปัต

เรื่อง : ซ้อนกลรัก

ตอนที่ 18 #การสารภาพรักของบทมี (2)

โดย : Kwitch (เขียนเป็นภาษาไทยว่า กวิชญ์ (อ่านว่า กะ-วิช))

วันต่อมากันตภัทร์ไปรับบทมีที่บ้านเพื่อไปเที่ยวสวนสนุกตามที่ได้สัญญาไว้กับบทมี โดยกันตภัทร์ได้พาน้องกายมาด้วย เพราะเหตุผลสองประการ คือหนึ่งชายหนุ่มอยากพาน้องชายสุดที่รักมาเที่ยวเล่นสนุกบ้างตามวัยเด็กของเขา ส่วนอีกเหตุผลที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่สะดวกใจนักในการที่จะอยู่กับบทมีสองต่อสองในที่สาธารณะ ด้วยเหตุผลเดิม ๆ กับสมญานามที่เขาได้รับในเวลานี้ “เจ้าชายแห่งวงการบันเทิง” จึงทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวมากกว่าคนปกติทั่วไปหลายเท่านัก

‘ใบบัว...นี่น้องกาย น้องชายของเรา’ กันตภัทร์ส่งยิ้มละมุนให้บทมี จากนั้นจึงหันไปทางน้องชายตัวน้อยของเขาเพื่อเป็นการแนะนำตัวให้ครบทุกฝ่าย ‘น้องกาย...นี่พี่ใบบัว...เพื่อนของพี่กันต์เอง’

เด็กชายยกมือสวัสดีบทมีอย่างนอบน้อมตามที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ‘สวัสดีครับพี่ใบบัว วันนี้พี่ใบบัวจะไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกันใช่มั้ยครับ’ แววตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นทอประกายอยู่ในดวงตากลมโตคู่นั้น

‘ใช่แล้วค่ะ วันนี้พี่ใบบัวขอไปเที่ยวกับน้องกายด้วยนะคะ’ หญิงสาวตอบยิ้มระรื่น

จากนั้นเด็กชายขมวดคิ้วน้อย ๆ ทำหน้าฉงนก่อนที่จะหันไปถามกันตภัทร์ด้วยน้ำเสียงใสซื่อ ‘แล้วพี่คีไม่ไปด้วยหรือครับ’

เมื่อวินาทีที่ผ่านมาใบหน้าของบทมียังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มสว่างเจิดจ้า แต่หลังจากที่ได้ยินเด็กชายเอ่ยถึงคีตาแล้วนั้นภายในใจของเธอกลับมีความเศร้าหมองเข้ามาเกาะกุมหัวใจของเธออย่างไม่อาจบรรยายได้ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงฝืนฉีกยิ้มเพื่อไม่ให้กันตภัทร์นั้นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเธอ

ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววหม่นหมองขึ้นมาจาง ๆ เมื่อได้ยินคำว่า “คีตา” ชายหนุ่มอดที่จะนึกจินตนาการถึงหญิงสาวไม่ได้ว่าในขณะนี้เธอคงกำลังจะใช้เวลาที่มีอยู่กับทีรภณซึ่งมันคงเป็นห้วงเวลาที่แสนสุขสันต์ระหว่างคนทั้งสองโดยปราศจากเขาร่วมอยู่ในนั้น จากนั้นชายหนุ่มจึงหันไปส่งยิ้มบางให้น้องชายสุดที่รัก ราวกับว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเอื้อนเอ่ยถึงหญิงสาวคนอื่นนอกไปจากบทมีที่อยู่ตรงหน้าชายทั้งสองในเวลานี้ ‘วันนี้เราจะไปสนุกกับพี่ใบบัวทั้งวันเลยนะครับน้องกาย’ รอยยิ้มที่มุมปากแผ่ลามไปถึงดวงตาขณะเอ่ยเรียบ ๆ ‘เอ!...แล้วน้องกายจะต้องทำอย่างไรกับพี่ใบบัวดีนะ’

ใบหน้าละมุนเผยรอยยิ้มเจิดจ้าลานตา ก่อนที่จะเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน ‘น้องกายก็จะต้องดูแลพี่ใบบัวด้วยความเป็นสุภาพบุรุษครับ’

กันตภัทร์หัวเราะในลำคอด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่งแช่มชื่นขึ้น เขายื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กชายด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงหันไปเผยรอยยิ้มอ่อนโยนให้บทมีอย่างตั้งใจ แล้วบทมีจึงโน้มกายลงไปที่เด็กชายพร้อมระบายยิ้มที่ริมฝีปาก แล้วใช้ฝ่ามืออันบอบบางของเธอนั้นลูบไปที่แก้มเนียนของเด็กชายอย่างอ่อนโยน ‘ถ้าอย่างนั้น พี่ใบบัวก็ฝากตัวกับน้องกายด้วยนะคะ’

‘ครับ’ เด็กชายยิ้มกว้างจนตาหยีแทนคำตอบที่เป็นดั่งคำมั่นสัญญา

เมื่อทั้งสามคนมาถึงสวนสนุก กันตภัทร์และบทมีต่างพยายามเลือกเครื่องเล่นที่ดูจะไม่เป็นอันตรายและตื่นเต้นโลดโผนมากนักเพื่อให้เหมาะสมกับเด็กชายวัยหกขวบ เมื่อเล่นเครื่องเล่นกันอย่างสนุกสนานพอสมควร หญิงสาวจึงชวนชายหนุ่มและเด็กชายนั่งพักสักครู่ เนื่องจากหญิงสาวไม่ได้ใช้พลังงานในเรื่องนี้มานานแสนนาน จึงทำให้หญิงสาวค่อนข้างเหนื่อยล้าพอสมควรกับการวิ่งขึ้นวิ่งลงจากเครื่องเล่นนั้นไปยังเครื่องเล่นนี้ ในขณะที่พลังงานของเด็กชายนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้สักนิด กันตภัทร์ส่ายหน้ามองหญิงสาวเจืออมยิ้มด้วยความเอ็นดู ชายหนุ่มนึกในใจ ‘เหนื่อยขนาดนี้แล้วก็ยังจะฝืนอีก

‘เดี๋ยวเราจะไปซื้อน้ำดื่มมาให้นะ...ใบบัวอยากได้อะไรเพิ่มมั้ย’

‘ดีเลย!...ตอนนี้เรากระหายมาก’ หญิงสาวหยิบพัดลมขนาดเล็กสำหรับพกพาขึ้นมาเปิดเพื่อให้ความเย็นผ่านใบหน้าของตน แต่เมื่อหญิงสาวหันไปเห็นเด็กชายที่ดูเหมือนว่าจะมีเหงื่อออกไม่น้อยไปกว่าเธอ เธอจึงหันทิศทางของพัดลมไปจ่อที่เด็กชายแทน

กันตภัทร์แอบยิ้มที่มุมปากในความการกระทำของบทมี บทมีก็ยังคงเป็นบทมีคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก...ยังคงอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยนแปลง ‘แล้วน้องกายอยากได้อะไรเพิ่มมั้ยครับ’ ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้เด็กชายที่กำลังยิ้มพริ้มกับลมจากพัดลมที่กำลังพัดผ่านใบหน้า

‘น้องกายอยากได้ไอศกรีมรสช็อกโกแลตครับ’

‘โอเค! งั้นรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา’

หญิงสาวมองหน้าเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะเอ่ยถามเสียงใส ‘รู้สึกเย็นขึ้นหรือยังครับน้องกาย’

เด็กชายลืมตากลมโตขึ้นมา แล้วฉีกยิ้มจนแก้มปริเป็นคำตอบให้กับหญิงสาว ‘เย็นขึ้นมากแล้วครับ แต่ถ้ามีพัดลมขนาดเทอร์โบมันจะดีกว่านี้มากเลยครับ’ เด็กชายหมายถึงพัดลมขนาดใหญ่แรงดันสูงที่สามารถกระจายความเย็นได้มากกว่าพัดลมขนาดปกติทั่วไป

เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็หัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่พลันลูบศีรษะเด็กชายด้วยความเอ็นดูอีกเช่นเคย เด็กชายกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา ก่อนที่จะเอ่ยคำถามอย่างใสซื่อ ‘พี่ใบบัวกับพี่กันต์เป็นเพื่อนกันจริง ๆ เหรอครับ’

รอยยิ้มที่เกิดจากการหัวเราะลั่นเมื่อสักครู่นั้นเริ่มจางหายไป หญิงสาวนิ่งคิดกับคำถามที่เพิ่งจะได้รับมาจากเด็กชาย เธอหันไปมองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ยังเดินห่างออกไปไม่ไกลนัก หญิงสาวนึกสะท้านอยู่ในหัวใจ แค่ได้เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มความรู้สึกของเธอยังสั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ แล้วความรู้สึกแบบนี้ มันจะเรียกว่า “เพื่อน” ได้เต็มปากจริง ๆ น่ะหรือ

แววตาสะท้อนความปวดใจ มองไปยังเด็กชาย ก่อนที่จะคลี่ยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ‘ครับ...ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันอยู่’

จากนั้นไม่นาน กันตภัทร์ก็กลับมาพร้อมกับขวดน้ำเย็นขนาดหกร้อยมิลลิลิตรจำนวน 2 ขวดและไอศกรีมรสช็อกโกแล็ตตามคำเรียกร้องของเด็กชาย ชายหนุ่มยื่นขวดน้ำ 1 ขวดให้กับบทมี แล้วยื่นไอศกรีมให้กับเด็กชายตามลำดับ เมื่อเด็กชายได้รับไอศกรีมไปแล้วก็เปิดซองทานแถมยิ้มหน้าพริ้มอย่างเอร็ดอร่อย จนทำให้ชายหนุ่มอดที่จะยิ้มตามในความเดียงสาของเด็กชายไม่ได้

แต่เมื่อหันไปยังบทมี ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดฝาขวดน้ำเปล่าอยู่ แต่ดูแล้วก็ยังไม่สามารถเปิดได้เสียที เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงยื่นมือแบไปที่หญิงสาวเป็นการเสนอความช่วยเหลือ ‘มา! เดี๋ยวเราเปิดให้’

หญิงสาวส่งขวดน้ำให้กับชายหนุ่มโดยไม่ลังเล เพราะนั่นเป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ เธอแสร้งทำเป็นเปิดขวดน้ำไม่ได้ เพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่ม ซึ่งมันก็สำเร็จเสียด้วย เมื่อชายหนุ่มรับขวดน้ำไปแล้วเปิดขวดน้ำออกอย่างง่ายดาย จึงได้ส่งขวดน้ำกลับให้หญิงสาว หญิงสาวส่งยิ้มเฉิดฉายให้กับชายหนุ่ม ราวกับว่าสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้กับหญิงสาวนั้นมันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ‘ขอบคุณนะกันต์’

‘ไม่เป็นไรครับ...นี่มันหน้าที่ผู้ชายที่หน้าตาดีแบบเราอยู่แล้ว’ ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่มทำหน้าล้อเลียนหญิงสาว

ในขณะที่พูดล้อเลียนหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอยู่นั้น หยดเหงื่อก็ไหลมาเป็นทางจากหน้าผากลงมาที่แก้มเนียนของชายหนุ่ม อาจเป็นเพราะอากาศในวันนั้นค่อนข้างร้อนแรงเป็นพิเศษ พระอาทิตย์สาดแสงเต็มที่ราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าการเที่ยวเล่นในครั้งนี้จะไม่เกิดลมฟ้าลมฝนโดยที่ไม่คาดคิดอย่างแน่นอน เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้น จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีครีมที่เก็บไว้อยู่ในกระเป๋าถือออกมา แล้วค่อย ๆ ซับไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน

ชายหนุ่มชะงักและทำตัวเก้กังในการกระทำของหญิงสาว เขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองหญิงสาวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าจะปฏิเสธก็เกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ถ้าจะให้หญิงสาวซับหน้าของเขาต่อไป ก็เกรงว่าเหตุการณ์นี้อาจจะเกิดเป็นข่าวซุบซิบเช่นเดียวกับเหตุการณ์ของคีตาเมื่อครั้งที่ไปเลือกแหวนหมั้นก็เป็นได้

ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเล ก่อนที่จะตัดสินใจเอ่ยกับหญิงสาวอย่างสุภาพ ‘ขอบคุณมากใบบัว เดี๋ยวเราเช็ดเองก็ได้’

หญิงสาวไม่ปฏิเสธ แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับชายหนุ่มแต่โดยดี ‘โอเค’

หลังจากที่ชายหนุ่มซับเหงื่อที่หลงเหลืออยู่ จนใบหน้านั้นกลับมาหล่อเหลาเหมือนเดิม เขามองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น แล้วครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนที่จะนำมันใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ‘เดี๋ยวเราเอาไปซักให้ แล้วจะมาคืนทีหลังนะ’

‘ไม่เป็นไรหรอกกันต์ เอาคืนเรามาตอนนี้เลย แค่นี้เอง’ จากนั้นหญิงสาวเอื้อมมืออ้อมไปด้านหลังของชายหนุ่มเพื่อจะหยิบผ้าเช็ดหน้ากลับคืนมา เหมือนว่าชายหนุ่มจะรู้ทันถึงความประสงค์ของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงก้าวถอยหลังออกไปเพื่อไม่ให้หญิงสาวสามารถที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าไปได้

หญิงสาวแสร้งมองค้อนตำหนิชายหนุ่ม ‘อะไรเนี่ยกันต์! เอาคืนมาเลยนะ!’

หญิงสาวไม่ยอมลดละ เธอรุกเข้าใกล้ชายหนุ่มขึ้นไปอีก เธอพยายามเอื้อมมือคว้าผ้าเช็ดหน้าที่ยังคงอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังของเขา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะชายหนุ่มเอาแต่เดินถอยหลังเพื่อไม่ให้หญิงสาวเข้าถึงตัวได้ ในขณะที่หญิงสาวพยายามที่จะให้ได้ผ้าเช็ดหน้ากลับคืนมานั้น เธอไม่ทันได้สังเกตว่าพื้นที่ปูด้วยบล็อกตัวหนอนตัวหนึ่งนั้นปูไม่สนิท โดยบล็อกตัวหนอนแผ่นนั้นเงยสูงขึ้นมาจากระดับพื้นปกติจึงทำให้หญิงสาวสะดุดล้มเพราะบล็อกตัวหนอนนั้น

‘โอ๊ย!’ หญิงสาวร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

กันตภัทร์เบิกตาโต แล้วรีบวิ่งเข้ามาหาบทมีซึ่งกำลังพยายามที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากการล้มขมำเมื่อสักครู่

‘ใบบัว! อย่าเพิ่งขยับ! ขอเราดูแผลก่อน’

เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเข่าทั้งสองข้าง รวมทั้งฝ่ามือทั้งของหญิงสาวนั้นถลอกปอกเปิกเต็มไปด้วยบาดแผล และเลือดไหลซิบ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มหญิงสาวในท่าเจ้าหญิง โดยไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว หญิงสาวเบิกตาโต มองหน้าชายหนุ่มอย่างตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าเธอจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มได้ถึงขนาดนี้ จากนั้นชายหนุ่มค่อย ๆ วางตัวหญิงสาวให้นั่งลงที่โต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธอหกล้มมากนัก

‘รอเราอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราไปซื้อยามาทำแผลให้’ สีหน้าเลิ่กลั่ก แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มมีความกังวลและเป็นห่วงหญิงสาวอยู่ไม่น้อย จากนั้นจึงหันไปสั่งเสียเด็กชายอย่างใจเย็น ‘น้องกายก็ดูแลพี่ใบบัวด้วยนะครับ’

น้ำเสียงตอบรับนั้นฟังดูหนักแน่นเข้มแข็ง ราวกับว่าจะทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยปกป้องเจ้าหญิงเป็นอย่างดี ‘ครับ’

หลังจากที่ชายหนุ่มกลับมาแล้วทำแผลให้หญิงสาวเรียบร้อยแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงมีความรู้สึกผิดติดอยู่ในความรู้สึกอยู่ไม่น้อย ถ้าชายหนุ่มไม่ถอยหนีหญิงสาว ก็คงไม่ทำให้หญิงสาวหกล้มจนบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนที่จะเอ่ยกับหญิงสาวด้วยเสียงทุ้มต่ำ ‘เราขอโทษนะ’

หญิงสาวเลิกคิ้ว เพราะความไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงเอ่ยขอโทษหญิงสาว ‘ขอโทษเรื่องอะไรเหรอกันต์’

‘ก็เราทำให้ใบบัวหกล้มจนเป็นแผลถึงขนาดนี้’

หญิงสาวเผยยิ้มหวานให้ชายหนุ่มอย่างตั้งใจ ก่อนที่จะเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน ‘มันไม่ใช่ความผิดของกันต์เลย อย่าคิดมากนะ เราซุ่มซ่ามเองต่างหาก’

‘ใบบัวนี่!...โทษตัวเองตลอด’

‘เราว่ามันก็ดีนะ...อย่างน้อยกันต์ก็จะได้ดูแลเรา’ หญิงสาวแสร้งทำทีเป็นพูดล้อเล่นเพื่อสังเกตปฏิกิริยาการตอบกลับของชายหนุ่ม แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มนิ่งเงียบไป หญิงสาวจึงเปลี่ยนท่าทีเพื่อให้บรรยากาศระหว่างสองคนนั้นไม่ตึงเครียดเกินไปนัก ‘ก็กันต์เป็นถึงซุปตาร์อันดับหนึ่ง จะมีใครที่ไหนได้รับโอกาสนี้ล่ะ...ใช่มั้ย!’

‘ใบบัวก็พูดเกินไป’ ชายหนุ่มส่งยิ้มเขินให้หญิงสาว

‘พี่ใบบัวหายเจ็บแผลรึยังครับ’ เด็กชายถามด้วยแววตาใสซื่อ

คำถามนี้ทำให้ทั้งกันตภัทร์และบทมีรู้ถึงความปรารถนาของเด็กชายในทันที ว่าเด็กชายนั้นต้องการที่จะเล่นเครื่องเล่นต่อ บทมีทำหน้าอ้ำอึ้งลำบากใจ เพราะเธอรู้อาการตัวเองดีว่าไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ส่วนกันตภัทร์นั้นเมื่อหันซ้ายแลขวา ชายหนุ่มก็หันไปเจอะกับสิ่งที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในวันนี้

‘น้องกาย!...นั่นไง...ตรงโน้น’ กันตภัทร์ชี้นิ้วไปที่สวนน้ำที่มีแต่เด็ก ๆ เล่นกันอยู่เต็มไปหมด ซึ่งเมื่อกันตภัทร์ประเมินจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ชายหนุ่มคิดว่า เด็กชายต้องไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน

เมื่อเด็กชายหันมองไปตามทิศทางที่ชายหนุ่มชี้ไป แววตาก็สดใสเปล่งประกายขึ้นมาฉับพลันทันใด ‘สวนน้ำ!...น้องกายอยากเล่นครับ’

‘เดี๋ยวพี่กันต์จะพาน้องกายไปเล่นที่สวนน้ำ แล้วก็จะเฝ้ามองน้องกันต์อยู่ใกล้ ๆ นะครับ...โอเคมั้ย’

‘ได้เลยครับ’ น้ำเสียงสดใสแต่หนักแน่นยิ่งนัก

ในระหว่างที่ทั้งสองนั่งรอเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นสวนน้ำอย่างสนุกสนานอยู่นั้น หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มอยู่นาน ก่อนที่จะก้มลงไปหยิบกระเป๋าใส่เครื่องเขียนขนาดเล็กที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของเธอ หญิงสาวรูดซิบเปิดกระเป๋าเครื่องเขียนออก แล้วหยิบดินสอสีดำแท่งหนึ่งขึ้นมา

‘กันต์จำดินสอดราฟแท่งนี้ได้มั้ย’ หญิงสาวหมายถึงดินสอเขียนแบบสำหรับสถาปนิก ซึ่งลักษณะพิเศษคือมีไส้หลากหลายแบบ โดยลักษณะของไส้จะหนากว่าดินสอกดทั่วไป เนื่องจากเส้นแบบที่ต้องเขียนมีลักษณะความหนาที่ไม่เท่ากัน ทำให้จำเป็นต้องใช้ไส้ดินสอกับตัวหัวดินสอที่หนาและแข็งแรง*

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แววตาที่มองไปที่ดินสอแท่งดังกล่าวแฝงด้วยความฉงน เนื่องจากเขายังคงนึกภาพสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ออกนั่นเอง ‘ทำไมเหรอใบบัว’

‘นั่นไง...กันต์จำไม่ได้จริง ๆ ด้วย’ น้ำเสียงแฝงความตัดพ้อเจืออยู่ในนั้น

‘เราขอโทษนะ...แต่เราจำไม่ได้จริง ๆ’ นัยน์ตาเจือไปด้วยความรู้สึกผิดส่งผ่านมายังบทมี

หญิงสาวฉีกยิ้มอ่อนโยนให้ชายหนุ่ม ราวกับไม่ถือโทษโกรธเขา เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรื่องนี้มันอาจจะเลือนรางไปจากความทรงจำของเขา แต่วันนี้เธอจะรื้อฟื้นความรู้สึกในอดีตของเขาให้มันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...แม้เพียงสักนิดก็ยังดี

‘กันต์เคยซื้อดินสอดราฟแท่งนี้ให้เราตอนเรียนอยู่ไง...จำได้รึยัง’

สายตาทอประกายแสดงถึงการระลึกได้ของชายหนุ่มฉายแววระยิบระยับ พร้อมกันนั้นยังฉีกยิ้มพิฆาตที่อาจฆ่าหญิงสาวให้สลายไปตรงนั้นได้ในพริบตา ‘อ๋อ! เราจำได้แล้ว ที่เราซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดให้ใบบัวใช่มั้ย’

รอยยิ้มเจิดจ้าเปล่งออกมาจากใบหน้างามสะคราญ ‘ใช่แล้วจ้ะ’

‘นี่ใบบัวยังเก็บไว้อยู่อีกเหรอ...มันนานมากแล้วนะเนี่ย’

แววตาลึกซึ้งถูกส่งไปที่ชายหนุ่ม ก่อนที่จะเอ่ยคำตอบที่ดูจะแฝงความในใจบางอย่างอยู่ในนั้น ‘ยังเก็บรักษาไว้อย่างดีเลยแหละ’

ชายหนุ่มมองดวงหน้าพริ้มเพราของเธอ มุมปากพลันยกโค้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ‘ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย’

ดวงตาดำล้ำลึกมองชายหนุ่มเป็นประกาย แถมมุมปากยังประดับรอยยิ้ม ยิ่งทำให้ใบหน้างดงามนั้นทวีความอ่อนโยนมากขึ้น ‘ก็มีหลายเรื่องแหละ...ที่เราไม่เคยบอกกันต์ให้รู้’

‘ไหน...เรื่องอะไรบ้าง...เล่ามา...เราพร้อมฟังสุด ๆ เลย’ สายตาเขาเป็นประกายระยิบระยับจับจ้องเธอเขม็งแสดงถึงความตั้งอกตั้งใจที่จะรับฟังเรื่องราวของหญิงสาวอย่างเต็มที่

บทมียังคงสบตากับกันตภัทร์อย่างแน่วแน่มั่นคง ดวงตาคู่งามคู่นั้นไม่เคยสุกสว่างสดใสและเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่นไม่หวั่นไหวเช่นนี้มาก่อน หญิงสาวตัดสินใจที่จะบอกความในใจทั้งหมดที่มีต่อชายหนุ่มโดยไม่คิดที่จะหลบหลีกอีกต่อไป ความรู้สึกที่เธอเคยกดเก็บมันไว้มาตลอด วันนี้เธอจะต้องถ่ายทอดมันออกไปให้ชายหนุ่มได้รับรู้เสียที แม้ว่าอีกนัยหนึ่งกาลเวลาที่ผ่านมาอาจจะลบเลือนความทรงจำหรือความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อเธอให้จางหายไป แต่ในวันนี้เธอจะทวงคืนสิทธิ์ในวันนั้นคืน เพราะเธอรู้หัวใจตัวเองแล้วว่าไม่อาจที่จะสูญเสียชายหนุ่มไปได้อีกครั้ง

‘กันต์...หัวใจของเรายังคงเป็นของกันต์เสมอ ตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้วจนตอนนี้ก็ยังคงไม่เคยเปลี่ยนไป เรารู้ว่ามันอาจจะสายเกินไปที่จะมาบอกความรู้สึกของเราในตอนนี้ เราก็แค่ไม่อยากที่จะเก็บมันเอาไว้อีกต่อไป เราแค่อยากให้กันต์รับรู้ว่าในวันนั้น วันที่กันต์บอกว่าชอบเรา...เราก็รู้สึกแบบเดียวกับกันต์...เพียงแต่เราไม่กล้าที่จะตอบตกลง เพราะในตอนนั้นสำหรับเราแล้วกันต์ดูจะห่างไกลจากเรามาก เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะคู่ควรกับกันต์ได้เลย เราจึงตัดใจที่จะปฏิเสธทั้ง ๆ ที่เราอยากจะบอกกันต์ใจจะขาดว่าความรู้สึกของเราสองคนนั้นตรงกัน’

หญิงสาวจงใจเว้นวรรคช่วงระยะเวลาไว้ แล้วลอบมองดูปฏิกิริยาการตอบรับของชายหนุ่ม ชายหนุ่มเบิกตาโต นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจสุดขีดทันทีที่ได้ยินถ้อยคำที่อาจจะอุปมาได้ว่าเป็นการสารภาพรักจากหญิงสาว คำพูดอึกอักตีบตันอยู่ในลำคอ เขาไม่รู้ว่าในสถานการณ์นี้ควรจะทำอย่างไรต่อไป เขาควรที่จะตอบรับ หรือควรที่จะปฏิเสธ หรือมีวิธีไหนที่มันจะเหมาะสมและดีที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งรับมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ อีกทั้งชายหนุ่มก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยสักนิดว่าหญิงสาวนั้นเคยมีใจให้กับเขา ไม่สิ...ถึงตอนนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกนั้นให้กับเขาอยู่ ชายหนุ่มพยายามทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเขากับหญิงสาว และดูเหมือนว่าเธอกำลังรอฟังคำตอบอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเวลานี้ ชายหนุ่มก็คงไม่มีคำตอบอะไรที่หญิงสาวต้องการไปมากกว่าความเงียบงัน เพราะสิ่งที่พัวพันกับชายหนุ่มอยู่ตอนนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่บทมี แต่ยังมีคีตา...ว่าที่คู่หมั้นของเขา...ซึ่งเธอคือกุญแจหลักสำหรับการรับมรดกของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นไปจับท้ายทอย เพราะแม้ว่าความตกใจจะเกิดขึ้นอยู่มาก แต่เมื่อมีหญิงสาวที่นับได้ว่าเป็นคนสนิทนั้นมาสารภาพรักกะทันหันโดยที่ไม่คาดคิดแบบนี้ เขาก็ยังคงมีความเขินอายเฉกเช่นปุถุชนทั่วไปเช่นเดียวกัน ‘เอ่อ...’

‘กันต์ไม่ต้องลำบากใจนะ กันต์ยังไม่ต้องตอบตกลงก็ได้ แต่เราอยากให้กันต์กลับไปคิดทบทวนเรื่องระหว่างเรา เรามั่นใจว่า เราสองคนจะสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามไปพร้อมกันได้’ หญิงสาวรีบตัดบทเพราะเธอเดาไม่ออกว่ากันตภัทร์นั้นคิดอะไรอยู่ ทางหนึ่งเธอก็กังวลว่ากันตภัทร์จะปฏิเสธเธอในทันที ไม่ว่าจะเหตุผลด้วยเรื่องคีตา หรืออาจจะเป็นความรู้สึกของเขาที่ไม่มีหลงเหลือให้กับเธอแล้วก็ตาม แต่เธอจะยอมให้มันจบลงดื้อ ๆ เช่นเดียวกับในอดีตไม่ได้อีกต่อไป การให้เวลาโดยไม่เร่งรัดเขาจึงเป็นกลวิธีที่ดีที่เธอคิดได้ในตอนนี้

แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสับสนฉงนงงงวย แต่ชายหนุ่มก็พยักหน้ารับ ‘ครับ’

หลังจากที่วันแห่งการใช้สิทธิ์ผู้ชนะของบทมีสิ้นสุดลง กันตภัทร์กับน้องกายจึงขับรถไปส่งบทมีที่บ้านของเธอ เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงห้องรับแขก เธอวางตัวลงบนโซฟาตัวกลางด้วยความเหนื่อยล้าเจือความผิดหวังนิด ๆ ที่ไม่ได้รับคำตอบจากชายหนุ่ม ซึ่งอันที่จริงเธอก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบนี้ แต่กระนั้นเธอก็ยังแอบมีความหวังอยู่ลึก ๆ ว่าชายหนุ่มอาจจะยังมีใจและตอบตกลง ในทางกลับกัน ชายหนุ่มกลับไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับเธอ เธอจึงได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจทำลงไปแล้วและเฝ้ารอผลลัพธ์ที่จะตามมาของสิ่งนั้น

หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วต่อสายไปยังเพื่อนสาวคนสนิท โดยประสงค์ที่จะให้เพื่อนสาวรับรู้ถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันนี้ระหว่างเธอกับกันตภัทร์ เธออยากตอกย้ำให้เพื่อนสาวรับรู้ว่าเธอยังคงไม่ย่อท้อในเรื่องของกันตภัทร์ ซึ่งเธอรู้ดีว่าเพื่อนสาวนั้นจะต้องสนับสนุนเธออย่างแน่นอน แต่เพื่อความแน่ใจ เธอจึงจำเป็นต้องแจ้งให้เพื่อนสาวรับรู้อย่างชัดเจนในความตั้งใจของเธอ ส่วนอีกจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเพื่อนสาวยังคงไม่รู้เรื่องบทสนทนาระหว่างเธอและทีรภณ เพราะแม้ว่าเธอจะอยู่เบื้องหลังในความเข้าใจผิดทั้งหมดนี้ระหว่างคีตาและทีรภณ แต่เธอมั่นใจว่า สำหรับความสัมพันธ์เรื่องอื่น ๆ ระหว่างเธอกับคีตานั้น เธอได้มอบความจริงใจให้คีตาอย่างแท้จริงโดยไม่เคยเสแสร้งแต่ประการใด

เมื่อคีตารับโทรศัพท์ บทสนทนาระหว่างบทมีและคีตาเป็นไปตามปกติของการทักทายกัน แต่น้ำเสียงทางปลายสายนั้นดูเหมือนว่าจะเจือไปด้วยความอ่อนล้า บทมีจึงอดถามด้วยความห่วงใยไม่ได้

‘นี่คีทำอะไรอยู่เนี่ย ทำไมฟังดูเหนื่อย ๆ’

‘เราขับรถมาบ้านที่ชลบุรีของพี่ทีอะ พอดีแม่บ้านโทรมาบอกพี่ทีว่าเกิดรอยร้าวที่กลางตัวบ้าน เราก็เลยมาดูให้’

บทมีเลิกคิ้ว ‘แล้วทำไมพี่ทีไม่ไปเองอะ’

‘พี่ทีไม่ว่าง ต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ เราเลยอาสามาจัดการให้เบื้องต้นก่อน’

‘แล้วตอนนี้คีอยู่ที่ไหน’

‘กำลังขับรถกลับจ้ะ ไม่ต้องห่วงนะ’

‘ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถระวัง ๆ ล่ะ...เราไม่กวนละ…ถ้าถึงบ้านแล้วบอกเราด้วยนะ’

‘จ้ะ’

หลังจากที่วางสายไป บทมีถอนหายใจเบา ๆ เนื่องจากเธอภารกิจของเธอที่จะบอกเรื่องในวันนี้ระหวางเธอและกันตภัทร์กับคีตานั้นไม่อาจสำเร็จได้ เพราะเธอคิดว่าน่าจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะบอกคีตาในตอนนั้น ตอนที่คีตากำลังเหน็ดเหนื่อยและขับรถอยู่ หญิงสาวจึงคิดว่าจะหาจังหวะที่ดีกว่านี้ แล้วค่อยบอกคีตาก็คงยังไม่สาย เพราะไม่ว่าอย่างไร คีตาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับกันตภัทร์อยู่แล้ว ในทางกลับกัน หญิงสาวกลับเป็นห่วงคีตาที่จะต้องขับรถกลับมาคนเดียวในเวลานี้ต่างหาก เพราะเมื่อเธอได้มองดูนาฬิกา ก็เห็นว่าเป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ซึ่งในเวลานี้ท้องฟ้าความมืดก็ได้เข้ามาปกคลุมท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คีตาก็มีทีรภณแล้ว ซึ่งก็คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะถึงอย่างไรทีรภณก็คงที่จะเป็นคนที่จะต้องไปช่วยคีตาเป็นอันดับแรก หากเกิดเหตุผิดปกติขึ้น หญิงสาวเชื่อว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้ ความกังวลที่มีต่อคีตาจึงคลายลงไป เหลือเพียงแต่ความล้าใจที่มีต่อกันตภัทร์ที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในหัวใจของเธออยู่ในเวลานี้

ในขณะที่คีตากำลังขับรถอยู่ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะต้องรีบกลับไปเจอกับทีรภณนั้น จู่ ๆ รถยนต์ที่เธอขับอยู่ก็กระตุกเป็นระยะ ๆ เมื่อเธอก้มตาต่ำลงไปมองที่แผงหน้าปัด จึงได้เห็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนเป็นภาษาอังกฤษสีแดงรูปตัว “H” ปรากฏขึ้น หญิงสาวตกใจมาก เธอรู้ได้เลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุอยู่ดี ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เธอจึงยังคงฝืนขับรถต่อไป จนเครื่องยนต์สั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกระทั่งเครื่องยนต์ก็ดับไปในท้ายที่สุด รถยนต์ของเธอหยุดแน่นิ่งอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หญิงสาวเดินลงมาตรวจดูสภาพภายนอกของรถยนต์ก็พบว่ามีของเหลวสีเขียวไหลอยู่ใต้รถ หญิงสาวจึงตัดสินใจเปิดฝากระโปรงรถยนต์ขึ้นมา เพื่อตรวจดูภายในห้องเครื่องยนต์เผื่อว่าของเหลวสีเขียวดังกล่าวอาจจะเกี่ยวกับกับอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งในนี้ก็เป็นได้ เมื่อหญิงสาวมองดูรอบ ๆ ห้องเครื่อง เธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกยาว เพราะไม่ว่าจะดูอย่างไร เธอก็ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ได้เลยสักนิดว่าสาเหตุของเครื่องยนต์ที่ดับในครั้งนี้เป็นเพราะอะไร แน่นอนว่าเธอไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการซ่อมเครื่องยนต์ หรือการดูความผิดปกติของเครื่องยนต์มาก่อน เธอได้แต่ขับรถยนต์อย่างเดียว โดยไม่เคยสนใจใยดีในสิ่งพวกนี้เลย เพราะโดยปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของคนขับรถที่บ้านที่จะต้องมาดูแลในส่วนของที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงทั้งหลายแหล่ มันจึงไม่แปลกนักที่เธอจะไม่มีทางรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงได้เลย เธอส่ายหัวให้กับความซื่อของเธอเบา ๆ ‘เปิดดูไปก็เท่านั้นคีตา เธอจะไปรู้อะไร...เฮ้อ!’ เธอบ่นกับตัวเองในใจ

คีตาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อกดหาคนที่เธอคิดถึงเป็นคนแรกอย่างไม่รีรอ โดยเธอมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าบุคคลคนนี้จะต้องเป็นที่พึ่งให้เธอได้อย่างแน่นอน ‘พี่ทีคะ...สะดวกคุยมั้ยคะ’

‘คุยได้ค่ะ...ว่าไงคะ’

‘คือรถของคีเสีย จู่ ๆ ก็ดับไป คีไม่รู้ว่าเป็นอะไรอะค่ะ’

‘อ้าวเหรอ! อาการมันเป็นยังไงคะ’

‘ก่อนที่จะดับ รถเริ่มกระตุกแล้วแผงหน้าปัดก็ขึ้นสัญลักษณ์ตัว H ด้วยค่ะ’

‘อ๋อ! แสดงว่ามันโอเวอร์ฮีทนะคะ’ ชายหนุ่มหมายถึงการที่เครื่องยนต์ร้อนจัดขึ้นเกินขีดจำกัด ‘คีของโทรหาอู่ซ่อมรถแถวนั้นรึยังคะ’

‘ยังเลยค่ะ’

‘แถวนั้นมีอู่ซ่อมรถเยอะอยู่เหมือนกัน คีลองหาอู่ที่อยู่ใกล้ ๆ ดูนะคะ’

น้ำเสียงแผ่วเบาเจือความผิดหวังได้ถูกส่งต่อเป็นคำตอบให้กับทีรภณก่อนที่จะวางสายไป ‘ค่ะ’

ในระหว่างที่เธอกำลังค้นหาอู่ซ่อมรถบริเวณที่ใกล้เคียงที่สุดไปนั้น อีกมุมหนึ่งความหวั่นไหวน้อยใจก็ได้ก่อตัวขึ้นในหัวใจเป็นระยะ ๆ แม้เธอจะรู้ดีว่าทีรภณนั้นกำลังทำงานอย่างวุ่นวายอยู่ แต่เธอก็ยังมีความหวังอยู่ลึก ๆ ว่าชายหนุ่มอาจจะมีความห่วงใยเธออยู่บ้าง เธอไม่ได้หวังถึงขนาดให้ชายหนุ่มเดินทางมาหาเธอถึงที่นี่ แต่มันก็ไม่แปลกถ้าเธอจะแอบคิดว่ามันควรจะเป็นเยี่ยงนั้น เพราะสถานการณ์ที่เธอเผชิญอยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ นอกจากนี้เรื่องนี้ยังเกิดขึ้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งไม่ใช่ถิ่นที่เธอคุ้นเคยเลยสักนิด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หญิงสาวก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะต้องให้ผู้ชายนั้นคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เธอถูกสอนให้พึ่งพาตัวเองก่อนเสมอแทนที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมาตั้งแต่เธอจำความได้ ดังนั้นเธอจึงตัดเอาความน้อยใจนี้ออกไป จากนั้นจึงกดเบอร์โทรศัพท์ของอู่ซ่อมรถที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่เธอค้นเจอในตอนนี้

หลังจากที่อู่ซ่อมรถมาตรวจสอบอาการเบื้องต้น จึงได้แจ้งกับหญิงสาวว่าหม้อน้ำรถยนต์ของเธอนั้นรั่ว จำเป็นที่จะต้องนำรถกลับไปซ่อมต่อที่อู่ก่อน จากนั้นอู่จึงนำรถยกเพื่อนำรถของหญิงสาวไปที่อู่ เพราะในตอนนี้รถยนต์ของหญิงสาวไม่สามารถที่จะขับต่อไปได้ หญิงสาวจึงจำเป็นที่จะต้องไปที่อู่พร้อมกับรถยนต์ของเธอ

เมื่อช่างยนต์ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าหม้อน้ำนั้นเกิดการรั่วมากเกินกว่าที่จะซ่อมให้เสร็จภายในวันเดียวได้ ทางเลือกที่ดีคือควรจะเปลี่ยนหม้อน้ำไปเลย แต่ในขณะนี้ทางอู่ยังไม่มีอะไหล่หม้อน้ำสำรองไว้ จึงต้องสั่งหม้อน้ำจากร้านของคู่ค้า ซึ่งกว่าจะได้ก็จะต้องรอนานประมาณสองถึงสามวัน

‘หูย! นานขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ หญิงสาวเบิกตาโต เพราะตกใจกับระยะเวลาการซ่อมรถที่เธอเพิ่งได้ยินเมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา

‘ครับ...อาการหนักพอควร’

‘แล้วเราจะกลับยังไงเนี่ย’ หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

‘สวัสดีครับ...มีอะไรที่ผมพอจะช่วยได้มั้ยครับ’

หญิงสาวหันไปยังทิศทางของเสียงนั้น ก็ได้พบว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดูมีวุฒิภาวะ ซึ่งเธอเดาว่าน่าจะมีอายุมากกว่าเธอไม่เกินห้าปี นอกจากวุฒิภาวะที่ดูสุขุมแล้ว เขาก็ยังมีหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการ ใบหน้าเรียวได้รูป จมูกโด่งคมสัน รูปปากรับกับใบหน้าและจมูก ดวงตาเรียวคม ผมรองทรงสีน้ำตาลเข้ม ส่งให้ผิวที่ค่อนข้างไปในทางขาวเหลืองนั้นดูสว่างขึ้นเล็กน้อย ส่วนสูงนั้นถ้าประเมินดูแล้วก็ใกล้เคียงกับกันตภัทร์เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกันอย่างเป็นธรรมแล้ว เขาดูดีแทบจะเทียบเท่ากันตภัทร์ได้เลย แต่ด้วยความที่กันตภัทร์เป็นซุปตาร์อันดับหนึ่ง จึงทำให้กันตภัทร์นั้นต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นผิวพรรณของกันตภัทร์จึงดูมีออร่าสว่างไสวกว่าชายหนุ่มผู้นี้เล็กน้อย หญิงสาวส่ายหัวไปมากับความคิดที่กำลังเข้ามาในหัวเธอในตอนนี้...เธอสงสัยว่า...เหตุใดเธอจึงเอาชายหนุ่มคนนี้ไปเปรียบเทียบกับกันตภัทร์ได้

‘ผม “ชลากร” เรียกว่า “กร” ก็ได้ครับ’ ชายหนุ่มมองหน้าพร้อมส่งยิ้มอ่อนให้หญิงสาว

‘ค...คีตา...คี ค่ะ’ หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนคืนให้ชายหนุ่มตามมารยาท ‘คือหม้อน้ำรั่วน่ะค่ะ รู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยน แล้วต้องรออะไหล่ประมาณสองถึงสามวัน’ หญิงสาวรีบตอบคำถามที่ชายหนุ่มเพิ่งจะถามเธอเมื่อสักครู่

ชายหนุ่มเดินไปถามรายละเอียดช่างยนต์ที่เพิ่งตรวจสอบรถให้กับหญิงสาว จึงได้เข้าใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงหันมาพูดกับหญิงสาวอย่างสุภาพ ‘ต้องขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะต้องทำให้คุณรอนาน ผมเป็นเจ้าของอู่นี้เองครับ ตอนนี้ทางอู่ของเราไม่ได้สำรองหม้อน้ำเอาไว้ จึงต้องสั่งของจากคู่ค้าครับ เลยอาจต้องใช้เวลาสักนิด’

‘ไม่เป็นไรค่ะ...ฉันพอจะเข้าใจ’ หญิงสาวถอนหายใจยาว เพราะยังคงกังวลเรื่องการเดินทางกลับของเธอ ‘คุณกรพอจะแนะนำวิธีที่จะกลับกรุงเทพได้มั้ยคะ คือฉันไม่ได้อยู่แถวนี้’

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบไปอย่างทันควัน ‘คุณคีกำลังจะกลับกรุงเทพเหรอครับ’

‘ค่ะ’

‘ถ้าไม่รังเกียจ ไปกับผมมั้ยครับ...ผมกำลังจะเข้ากรุงเทพตอนนี้พอดีเลย’ แววตาทอประกายด้วยความหวังว่าเธอจะตอบรับคำเสนอของเขาส่งไปที่หญิงสาว

หญิงสาวกลอกตาไปมาอย่างลังเล นี่เธอเพิ่งเคยพบชายหนุ่มเป็นครั้งแรก เขาเป็นคนอย่างไร เธอก็ไม่อาจที่จะรู้ได้เลย แล้วถ้าจะเดินทางไปกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันในวันนี้ มันจะเหมาะสมหรือไม่ แต่ถ้าไม่ไป แล้วเธอจะกลับอย่างไร เพราะในวินาทีนี้ เธออยากรีบกลับไปหาทีรภณใจจะขาด ถ้าจะขึ้นรถตู้โดยสาร หรือรถโดยสารขนส่งมวลชน ก็อาจจะต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเวลานาน แต่ถ้าเป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็น่าจะใช้เวลาไม่นานนัก เธอคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในเมื่อชายหนุ่มก็เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์แห่งนี้ ซึ่งดูแล้วอู่นี้ก็ใหญ่โตน่าเชื่อถือ จึงไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร หรือถ้าเธอเกิดโชคร้ายขึ้นมาจริง ๆ ชายหนุ่ม...ชลากร...ผู้นี้ก็น่าจะถูกหาตัวได้ไม่ยาก เพราะเขาก็ไม่ใช่คนลึกลับที่หาตัวจับยากแต่ประการใด เมื่อประมวลผลได้เรียบร้อยแล้ว เธอจึงตัดสินใจที่จะตอบตกลงเดินทางไปกับชายหนุ่มด้วยความลังเลเล็กน้อย แต่เธอก็ปลอบใจตัวเองว่า คนดีอย่างเธอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงคุ้มครองไม่ให้เป็นอะไรไปได้...เธอให้กำลังใจตัวเองอย่างนั้น

‘ค่ะ...ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนด้วยนะคะ’

สีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์พึงพอใจส่งมาที่หญิงสาว จนทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน หญิงสาวไม่แน่ใจว่านี่คือนิสัยของชายหนุ่มที่มีความเป็นมิตรมอบให้กับคนทั่วไปอยู่เสมอ หรือนี่คือความพิเศษที่มากเกินกว่าคำว่าเป็นมิตร เนื่องจากหญิงสาวไม่เคยสนใจผู้ชายคนอื่นมากนัก เธอจึงไม่ค่อยสันทัดกับอาการแบบนี้ แต่ท้ายที่สุด เธอตัดสินใจว่า นี่น่าจะเป็นนิสัยที่แสดงความเป็นมิตรของชายหนุ่มมากกว่า เพราะเขาดูเป็นคนใจดี มีน้ำใจและเป็นกันเอง ดังนั้นมันคงไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น

ระหว่างการเดินทาง ชายหนุ่มพยายามชวนหญิงสาวคุยเพื่อลดช่องว่างระหว่างเขากับเธอ จนทำให้เธอนั้นค่อย ๆ ลดกำแพงที่ตั้งขึ้นไว้สูงตั้งแต่แรก ทั้งสองคนเริ่มคุยกันอย่างถูกคอจนหญิงสาวเริ่มคุ้นเคยและไว้ใจชายหนุ่มอย่างไม่รู้ตัว แม้ว่าระหว่างการสนทนานั้น หญิงสาวจะคอยสังเกตดูโทรศัพท์มือถือของเธอว่าทีรภณนั้นจะติดต่อมาบ้างหรือไม่ เธอหมั่นเปิดเข้าไปดูในแอพพลิเคชั่นส่งข้อความที่มักจะเป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างเขากับเธอ แต่ก็ไม่ปรากฏแม้ข้อความใด ๆ จากเขา แต่อย่างไรก็ตามความสนุกสนานในการสนทนาระหว่างชลากรและคีตาก็ทำให้หญิงสาวนั้นให้ความสนใจกับบทสนทนานั้นมากขึ้น จนทำให้ความสนใจที่มีต่อการติดต่อมาของทีรภณนั้นลดน้อยลง เมื่อรถยนต์ของชายหนุ่มมาจอดยังจุดหมายปลายทางที่หญิงสาวประสงค์ที่จะมาตั้งแต่แรก ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองจะต้องร่ำลากันอย่างเป็นทางการ

‘คุณคีอยู่ที่นี่เหรอครับ’

‘เปล่าค่ะ...แฟนของคีอยู่ที่นี่ค่ะ’ หญิงสาวตอบไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันได้สังเกตว่านัยน์ตาของชายหนุ่มนั้นหม่นลงในทันทีหลังจากได้ยินคำว่า “แฟน” ออกมาจากคำตอบของหญิงสาว

‘อ้อ! ครับ’

‘ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่มาส่ง...เอาไว้วันที่คีไปรับรถ จะขออนุญาตเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นการตอบแทนนะคะ’ หญิงสาวเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกตนเอง จาก “ฉัน” เป็น “คี” เพราะรู้สึกว่าเริ่มคุ้นเคยกับชายหนุ่มอย่างแปลกประหลาด

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง นัยน์ตาสาดส่องความยินดีอย่างปิดไม่มิด ‘ยินดีเลยครับ’

เมื่อรถยนต์ของชายหนุ่มขับออกจนลับตาไป หญิงสาวจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อจะแจ้งให้ทีรภณทราบว่าเธออยู่ที่นี่แล้ว แต่เมื่อกำลังจะกดเบอร์โทรศัพท์ของทีรภณ หญิงสาวก็เปลี่ยนใจ โดยคิดว่า การไปเซอร์ไพรส์ไม่ให้ชายหนุ่มรู้ตัว ซึ่งหมายถึงการทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจนั้น น่าจะเป็นการดีกว่าที่จะแจ้งให้รู้ตัวก่อน เพราะหญิงสาวอยากให้ความรักระหว่างเธอกับเขานั้นดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว เธอจึงรีบเดินเข้าไปในคอนโดแล้วกดลิฟท์โดยสารชั้นที่ชายหนุ่มพักอยู่ เมื่อลิฟท์โดยสารเปิดออก หญิงสาวรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็ว เพราะความคิดถึงที่มีต่อเขานั้นมันมากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่จะมัวเดินอ้อยอิ่งเดินชมนกชมไม้เฉกเช่นที่เธอเป็นอยู่เสมอ

เมื่อหยุดยืนอยู่หน้าห้องของชายหนุ่ม หญิงสาวกำลังจะกดกริ่ง เพื่อเป็นสัญญาณให้ชายหนุ่มรู้ว่ามีบุคคลมาอยู่ด้านหน้าห้อง แต่แล้วหญิงสาวก็เปลี่ยนใจ จากนั้นเธอก็กดรหัสเข้าห้องของชายหนุ่ม ซึ่งชายหนุ่มเคยบอกเธอไว้ตั้งแต่ที่คบกัน เมื่อประตูเปิดออก หญิงสาวผลักประตูเข้าไป ก็เห็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดว่าสถานการณ์มันจะเป็นแบบนี้ ระหว่างที่เธอกำลังตกระกำลำบากอยู่ที่ต่างจังหวัด ซึ่งความลำบากนั้นเกิดจากการเธอไปจัดการธุระนั้นให้กับเขา เธอแอบหวังว่าเขาคงจะกำลังเฝ้ารอเธออย่างใจจดใจจ่อ แต่ภาพที่ปรากกฎอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ มันช่างห่างไกลจากจินตนาการที่เธอวาดฝันเอาไว้มากมายหลายปีแสงเหลือเกิน


---------------------------------------------------------------

*ที่มา : 10 เครื่องเขียนที่เด็ก (อยากเรียน) ถาปัตต้องรู้จักพร้อมราคาเบื้องต้น, https://www.dek-d.com/board/view/3628452/

---------------------------------------------------------------


#ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจนะคะ

#โปรดติดตามความเข้มข้นของซ้อนกลรักตอนต่อไปด้วยนะคะ


#ด้วยรัก...Kwitch

#ซ้อนกลรัก #ดราม่า, #น่ารัก, #นิยายรัก, #นิยายโรแมนติก, #หวาน, #ความรัก, #นิยายโรมานซ์, #แอบรัก, #แต่งงาน




รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว