เจ้าเกี๊ยววิศวะ -อินโทร๊....อินโทร

โดย  S.SU

เจ้าเกี๊ยววิศวะ

อินโทร๊....อินโทร

เรื่อง : ซ้อนกลรัก

ตอนที่ 1 #จุดเริ่มต้นของการจากลา

โดย : Kwitch (เขียนเป็นภาษาไทยว่า กวิชญ์ (อ่านว่า กะ-วิช))

พันธนาการของอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจระโยงระยายอยู่รอบร่างกายของเธอเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้การหายใจของเธอนั้นราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น ลมหายใจของเธอยังคงรวยริน สังเกตได้จากหน้าจอเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สัญญาณชีพนั้นดูอ่อนแรงลงทุกที แม้ว่าเธอจะดูล้าซึ่งกำลังสักเพียงไหน แต่เธอก็ยังพยายามที่จะสื่อสารกับเขาโดยการดึงเครื่องช่วยหายใจซึ่งครอบอยู่ที่จมูกและปากของเธอออก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาวของเธอ จากนั้นเธอจึงหยิบไดอารี่สีขาวเล่มหนาขึ้นมาเพื่อที่จะส่งให้ชายหนุ่ม

“ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งจะให้พี่ที แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นวันนี้ ขอบคุณที่อุตส่าห์มานะคะ”

ทีรภณยื่นมือไปรับไดอารี่ พร้อมกับกุมมือเธอเอาไว้ ชายหนุ่มพยักหน้าและน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของเขา ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะเอื้อนเอ่ยกับเธอ อาจเป็นเพราะความเสียใจมันเกาะกุมความรู้สึกทั้งหมดของเขาในตอนนี้

ตัวเลขบนหน้าจอเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ ลดลง จาก 80 เป็น 60 เป็น 40 เป็น 25 จนกระทั่ง

‘ติ๊ด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’ สัญญาณเสียงนั้นดังยาวโดยไม่มีจังหวะคั่น มือของเธอแน่นิ่ง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ชายหนุ่มได้ยินแต่เสียงร้องของเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ดังเป็นสัญญาณเตือนด้วยเสียงสูง และเมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจกลายเป็นเส้นตรงแนวนอนแน่นิ่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างเช่นเคย

ทีรภณเขย่าตัวเธอ พร้อมกับตะโกนสุดเสียงเท่าที่เคยมี “คี ๆ ตื่นมาคุยกับพี่ก่อน พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”

ร่างสูงโปร่งเข่าอ่อนทรุดลงไปอยู่กับพื้น และคิดในใจว่านี่หรือคืออาการล้มทั้งยืนอย่างที่เคยได้ยินมา ชายหนุ่มเข้าใจได้ถึงอาการของมันได้ทันทีแม้ว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้นกับเขาเป็นครั้งแรกก็ตาม นั่นอาจเป็นเพราะขาทั้งสองนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่กำลังที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

นายแพทย์และนางพยาบาลต่างรีบวิ่งเข้ามา เพื่อช่วยยื้อชีวิตคีตาเอาไว้ “ญาติคนไข้ เชิญออกไปก่อนนะคะ คุณหมอต้องช่วยชีวิตคนไข้” พยาบาลนางหนึ่งกล่าวกับทีรภณ

นายแพทย์โน้มตัวลงไปจับหัวไหล่ของคีตาและเขย่าเบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่าคีตายังมีสติอยู่หรือไม่ “คนไข้ครับ ได้ยินผมไหมครับ คนไข้ครับ”

เมื่อไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ จากคีตา นายแพทย์จึงปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพให้หญิงสาวด้วยการปั๊มหัวใจโดยใช้มือทั้งสองประสานกันและกดไปที่บริเวณหน้าอกของเธออย่างต่อเนื่อง ร่างบางยังคงสงบนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นเคย

นายแพทย์จึงตัดสินใจที่จะทำซีพีอาร์โดยใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า “หนึ่งร้อยห้าสิบจูลครับ”

“หนึ่ง สอง สาม เคลียร์” ตัวปั๊มถูกวางไว้บริเวณหน้าอกของหญิงสาวเพื่อกระตุ้นคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

แต่คลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ “เพิ่มเป็นสองร้อยจูลครับ”

“สองร้อยจูลค่ะ” นางพยาบาลหมุนปุ่มของเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าเพื่อเพิ่มกำลังตามคำสั่งของแพทย์

“หนึ่ง สอง สาม เคลียร์”

ถึงกระนั้นคลื่นไฟฟ้าหัวใจยังคงแน่นิ่ง คีตา...ยังคงหลับใหล ไม่มีแม้แต่การโต้ตอบใด ๆ

.....

ทีรภณเดินออกมายืนที่ระเบียงหน้าห้องนอน ซึ่งอยู่ในคอนโดหรูสูงตระหง่านห้าสิบชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าในคืนนี้ช่างมืดสนิท ไร้ซึ่งแสงประกายระยิบระยับจากดวงดาวเฉกเช่นเคย ในเวลานี้หากมีเครื่องมือวัดระดับอัตราความมืดมิด ก็ไม่อาจตอบได้อย่างแน่ชัดนักว่า ท้องฟ้า หรือหัวใจของเขากันแน่ ที่มันมืดมิดมากกว่ากัน

สายลมพัดโชยผ่านใบหน้าคม ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันช่างเย็นยะเยือก ไม่สดชื่นอย่างที่เคย เขาก้มหน้าลงมองไปยังมือที่ถือไดอารี่อยู่ แล้วบรรจงเปิดมันอ่านอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือดูจะค่อย ๆ เลือนราง และสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวทีละนิด อาจเป็นเพราะม่านน้ำตามาบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นก็เป็นได้ เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจอันยิ่งใหญ่ของเธอ “คีตา สัตยธนะวงศ์” หัวใจที่เขาไม่อาจรักษาให้มันกลับคืนมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไป ความพยายามอย่างต่อเนื่องถึงสิบหกปีของเธอ ชายหนุ่มก็เพิ่งรับรู้ได้ในวันนี้ ว่าความยาวนานและการเดินทางของเวลาสำหรับคนที่รอคอยเพียงข้างเดียวนั้นมันช่างยาวนานเกินกว่าที่อีกคนจะเข้าใจ อย่างนี้สินะ ถึงได้มีคำพูดที่ว่า “เวลาของเราไม่เท่ากัน”

ทีรภณถอนหายใจยาว มองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ชายหนุ่มไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นเขายิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงไม่รักคีตา ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอจมอยู่กับความเจ็บปวดตลอดมา เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขารักเธอตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องก็คงไม่จบลง...แบบในวันนี้

.....

หนึ่งปีก่อนหน้านี้

‘อะไรนะคะ หมั้นเหรอคะ’ หญิงสาวขึ้นเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืน เนื่องจากร้อนรนจนไม่สามารถที่จะนั่งนิ่งเฉยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

หญิงชราพยักหน้าหนึ่งครั้ง ‘ใช่จ้ะ...หมั้น’

‘กับใครหรือคะ’ ใบหน้าพริ้มเพราหันไปถามหญิงชรา พร้อมกับถลึงตาใส่ราวกับจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ในบัดนั้น

‘เดี๋ยววันนี้คีก็เจอเขา เพราะเขาจะมารับคีไปทานข้าว เพื่อทำความรู้จักกัน’ หญิงชรายังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

‘แต่...คุณย่าคะ นี่มันยุคสมัยไหนแล้วคะ หมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะคะ’ คีตายังคงพูดเสียงสูงใส่หญิงชรา

หญิงชรานั่งนิ่ง ไม่มีแม้แต่คำอธิบายที่เหมาะสมให้กับคีตา ผู้ที่ยืนรอคอยสิ่งที่เธออยากจะได้ยินอย่างใจจดใจจ่อ

เมื่อคาดการณ์ได้ด้วยตนเองว่า หญิงชราไม่น่าจะมีคำพูดเอื้อนเอ่ยไปมากกว่านี้ เธอจึงตัดสินใจที่จะพูดในสิ่งที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็น ‘หนูน่าจะมีสิทธิเลือกคนที่หนูรักด้วยตัวเองนะคะ’

หญิงชราหันไปมองใบหน้างาม พร้อมกับยิ้มเยาะเล็ก ๆ ให้กับเธอ ‘เลือกเองแล้วเป็นยังไงล่ะ...มีความสุขดีใช่มั้ย’

คีตานิ่งอึ้งกับคำพูดที่ทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ จนระบบการตอบโต้นั้นเสียศูนย์ลงชั่วคราว

‘เขาเป็นคนที่เหมาะสมกับคี และดูแลคีได้ ย่ามั่นใจ’ แม้น้ำเสียงนั้นจะยังคงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น

‘แต่...’ ระบบการตอบโต้ของคีตาเริ่มทำงานอีกครั้ง

‘ไม่มี “แต่”...รีบไปแต่งตัวได้แล้ว ประมาณสิบเอ็ดโมง ว่าที่คู่หมั้นจะมารับคีจ้ะ’

หญิงสาวจำต้องนิ่ง แต่ในใจนั้นกำลังไตร่ตรองเพื่อหาทางจบเรื่องนี้ให้ได้อย่างสวยงาม

‘ค่ะ’

คีตาวางตัวลงบนเตียงนอนอย่างช้า ๆ แต่ทว่าเรื่องว่าที่คู่หมั้นบ้าบอนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับการกดปุ่มรีพีทเครื่องเล่นแผ่นซีดีเพื่อให้เล่นเพลงนั้นซ้ำไปซ้ำมา ‘ทำไมคุณย่าจะต้องให้ฉันหมั้นกับคนที่ไม่รู้จักด้วยนะ ปกติคุณย่าก็เป็นคนที่มีเหตุผลมากกว่าคนปกติทั่วไป แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้ทำอะไรที่ดูย้อนแย้งกับนิสัยของตัวเอง’ เธอกล่าวถึงหญิงชราในใจ

ใบหน้าสะคราญคิดถึงหญิงชราวัยเจ็ดสิบห้าปี บุคคลที่อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอดตั้งแต่เธอจำความได้ หญิงชราที่แม้ในเวลานี้กาลเวลาจะทำให้รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามประสบการณ์ แต่ความรอบคอบ ละเอียดลออ ความแม่นยำ ความมีเหตุมีผล รวมไปถึงความเฉียบคมทางความคิดไม่เคยที่จะลดน้อยถอยลงไปเลย การตัดสินใจของหญิงชรามักจะถูกต้องเสมอ เนื่องจากการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างแยบยล ทำให้ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดก็ตาม หญิงชรามักจะเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นด้วยความสงบเยือกเย็น ไม่มีทีท่าร้อนรนเหมือนคนอื่น ๆ และในท้ายที่สุดปัญหานั้นก็จะได้รับการแก้ไขและจบลงอย่างสวยงาม แต่การตัดสินใจของหญิงชราในวันนี้ สร้างความฉงนให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก เรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างราบเรียบอย่างที่หญิงชราได้กล่าวกับเธอจริงหรือ นั่นคือคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนี้

ว่าแล้วหญิงสาวก็หวนกลับมาคิดถึงชายหนุ่มนิรนามว่าที่คู่หมั้นอีกครั้ง ‘แล้วอีตานั่นเป็นใครที่ไหนกัน ที่สำคัญไปกว่านั้น ฉันจะต้องหมั้นจริง ๆ หรือนี่ แล้วชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรต่อไป ฉันจะต้องหมั้นกับคนที่ฉันไม่ได้รักเนี่ยนะ...ไม่!...ไม่มีทางเด็ดขาด!..ยังไงฉันก็ไม่มีทางให้การหมั้นหมายนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน’ เธอบอกกับตัวเองว่าจะต้องค่อย ๆ คิดวิธีการที่จะหลุดพ้นออกมาจากเรื่องนี้ให้ได้อย่างแยบยล โดยที่ไม่สร้างปัญหาให้ทุกฝ่าย...แต่...วิธีการที่เหมาะสมนี่สิ มันคืออะไร ดูแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิด

ร่างอรชรเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือและนั่งลงที่เก้าอี้ หญิงสาวมองไปที่ไดอารี่เล่มสีขาว แล้วค่อยๆ หยิบมาวางไว้ข้างหน้า เธอถอนหายใจยาว จากนั้นจึงเปิดไดอารี่ขึ้นมาแล้วบรรจงเขียน พรรณนา ความในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ลงไป เธอหวังแต่เพียงว่า การเขียนบรรยายความรู้สึกจะช่วยบรรเทาความทุกข์ที่มีอยู่ในใจของเธอไม่มากก็น้อย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ปลอบประโลมหญิงสาวอยู่เรื่อยมา ว่าปัญหาทุกสิ่งนั้นล้วนแล้วย่อมมีทางออกและสามารถแก้ไขได้ แม้ว่าบางเรื่องอาจมีการเดินทางอันแสนยาวไกลกว่าจะเจอทางออก แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องเจอแสงสว่างที่ปลายทางอย่างแน่นอน หญิงสาวเชื่อมั่นอย่างนั้น และมันก็ต้องเป็นเช่นนั้น เธอย้ำกับตัวเองเสมอ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีบุคคลอยู่อีกฝั่งของประตู หญิงสาววางปากกาลงบนโต๊ะ และรีบปิดไดอารี่ลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะส่งเสียงตอบคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูห้อง ‘เข้ามาได้ค่ะ’

หญิงสาวแม่บ้านในวัยรุ่นราวคราวเดียวกับคีตาเปิดประตูเข้ามา

‘คุณคีคะ...คุณย่าให้แอ๋มขึ้นมาบอกคุณคีว่า ว่าที่คู่หมั้นมารับแล้วค่ะ’

คีตาถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนที่จะตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ‘ค่ะ...เดี๋ยวคีลงไป’

ร่างระหงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และมองหาชุดที่มีอยู่อย่างตั้งใจ แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ได้ชอบอีตาว่าที่คู่หมั้น แต่เธอก็ต้องดูดีต่อหน้าคนอื่นไว้ก่อน เพราะเธอถูกสอนมาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ว่า ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร กับใครก็ตาม และไม่ว่าเธอจะชอบคน ๆ นั้น หรือสิ่งนั้นหรือไม่ แต่เธอจะต้องวางตัว แต่งตัวให้สุภาพและถูกกาลเทศะอยู่เสมอ เพราะภาพลักษณ์ภายนอกนั้นสำคัญมากสำหรับการดำรงอยู่ในสังคมนี้ เนื่องจากความประทับใจแรกนั้น ส่วนใหญ่จะถูกตัดสินภายในครั้งเดียวจากการพบเจอกันในครั้งแรก และถ้าความประทับใจแรกนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เมื่อได้ถูกฝังลงในความรู้สึกแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นได้ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องสร้างศัตรู หรือสร้างภาพที่ไม่ใช่ตัวเธอให้กับอีกฝ่ายเข้าใจผิด เธอเชื่อว่า เธอสามารถสร้างมิตรภาพและเจรจาเพื่อจบเรื่องนี้กับอีกฝ่ายได้อย่างสวยงาม

ในขณะที่ร่างบางเดินลงบันไดวนสไตล์คลาสสิคมา เธอก็มองเห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟารับแขก ซึ่งกำลังคุยกับหญิงชรา คุณย่าของเธออยู่ เดาไม่ยากว่าน่าจะเป็นอีตาว่าที่คู่หมั้นของเธอคนนั้น เธอหยุดเดินพร้อมกับถอนหายใจยาวอีกครั้ง เธอยกมือซ้ายขึ้นไปจับราวบันไดซึ่งประดิษฐ์ด้วยไม้สักเงางาม เหมือนกับจะดูดพลังงานพลังความคิดจากมัน เธอเดินลงมาอย่างช้า ๆ แต่ก็ยังคงจับราวบันไดอยู่ โดยในระหว่างนั้นก็คิดว่าจะต้องทักทายอีตานี่ว่าอย่างไรดี ความกังวลใจเริ่มเกาะกุมในความรู้สึกของเธออีกครั้ง

‘มาแล้วเหรอคี’ หญิงชรายิ้มให้กับคีตา เมื่อเห็นเธอปรากฏตัวอยู่ด้านหน้า

‘ค่ะ’

ชายหนุ่มว่าที่คู่หมั้นของคีตา ค่อย ๆ หันมา พร้อมกับส่งยิ้มให้กับเธอ ‘สวัสดีครับคุณคี’

คีตายืนอึ้งกับใบหน้าที่หันมา ระบบการเคลื่อนไหวของเธอหยุดชะงักฉับพลัน นี่มันเรื่องอะไรกัน อย่าบอกนะว่าอีตานี่เป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอ ไม่จริงใช่มั้ย! ไม่ใช่ใช่มั้ย! ใครก็ได้ช่วยหลอกหญิงสาวทีว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ผู้ชายมีเป็นล้านคน แล้วทำไมจะต้องเป็นอีตานี่ด้วย วินาทีนี้ เธออยากจะละลายหายไปจากโลกนี้จริง ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอกับเรื่องที่มันซับซ้อนขนาดนี้ ถ้าเธอจะต้องหมั้นกับอีตานี่ โลกจะต้องแตกก่อนที่อุกกาบาตจะมาชนแน่นอน ไม่นะไม่! เธอยังอยากอยู่บนโลกใบนี้อย่างสงบสุข ความดีที่เธอเคยสั่งสมมา ได้โปรดส่งผลให้เธอหลุดพ้นจากจุด ๆ นี้ทีเถิด ตอนนี้ระบบความคิดของเธอสับสนไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะเริ่มจากการหยุดเวลาก่อนได้มั้ย ‘ได้มั้ย!...ได้โปรด!’ หญิงสาวพร่ำเพ้ออยู่ในใจ

‘คี...เป็นอะไรลูก ทำไมยืนนิ่งอย่างนั้นล่ะ’

‘ค...คะ’ ระบบคำพูดติดขัดแปรปรวน

‘นี่กันต์...จะมารับหนูไปทานข้าวจ้ะ’ หญิงชราส่งยิ้มให้กับคีตาอีกครั้ง

‘สวัสดีครับคุณคี’ ชายหนุ่มกล่าวทักทายหญิงสาวอีกรอบ

‘สวัสดีค่ะ’ ใบหน้างามมองไปที่ชายหนุ่มแล้วส่งยิ้มเฝื่อนให้

ร่างอรชรเดินไปนั่งใกล้กับหญิงชรา แล้วกระซิบกับหญิงชราเบา ๆ ‘ทำไมถึงเป็นตานี่ล่ะคะ’

หญิงชราเลิกคิ้วแล้วหันมามองใบหน้าใส แต่ยังคงไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น

‘ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปทานข้าวเลยดีมั้ยจ๊ะ…นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว’ หญิงชราหันไปพูดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม

‘ครับ’ ชายหนุ่มยิ้มให้กับหญิงชรา

‘ไปกันค่ะคุณย่า’ คีตาพยายามจะประคองหญิงชราเพื่อให้ยืนขึ้น แต่หญิงชราดึงแขนคีตาไว้ แล้วหันมาพูดกับเธอ ในสิ่งที่เธอไม่ได้อยากจะได้ยินนัก ‘ย่าไม่ได้ไปด้วยจ้ะ’

หญิงสาวเบิกตาโต ‘ทำไมไม่ไปล่ะคะ’

ย่ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัว...อยากจะพักผ่อนสักหน่อย’

‘ถ้าอย่างนั้น...เรารอให้คุณย่าหายดีแล้วค่อยไปด้วยกันดีมั้ยคะ’ หญิงสาวลนลานรีบเสนอความคิดเห็น เพื่อที่จะบ่ายเบี่ยงนัดในครั้งนี้

‘ย่าบอกกันต์เค้าไว้แล้ว...ไม่เป็นไรหรอก’ หญิงชราหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน

คีตามองหน้าชายหนุ่มอย่างกระอักกระอ่วน เพราะเธอรู้สึกอึดอัดถ้าจะต้องไปกับเขาสองต่อสองในการพบกันครั้งแรกเช่นนี้

‘คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...ผมจะดูแลคุณคีเป็นอย่างดีครับ’ ชายหนุ่มยิ้มหวานให้หญิงชรา จากนั้นจึงหันมาส่งยิ้มให้คีตาอย่างสุภาพ

หญิงสาวพยักหน้า และโค้งให้ชายหนุ่มเล็กน้อย เป็นการรับทราบ

หญิงชรานั่งมองหลานสาวอันเป็นสุดที่รักและชายหนุ่มเดินออกจากบ้านไปด้วยกันจนลับตาไป เธอเลี้ยงดูหญิงสาวตั้งแต่วันแรกที่เธอลืมตาดูโลกจนถึงปัจจุบัน ในวัยที่ย่างเข้าสู่การใช้ชีวิตคู่ตามเวลาที่เหมาะสม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หญิงชราพยายามให้หลานสาวดำเนินชีวิตตามครรลองที่ถูกต้องดีงาม เพราะเธอต้องการเห็นคีตาเติบโตมาเป็นหญิงสาวที่งามพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ให้สมกับเป็นทายาทของตระกูลสัตยธนะวงศ์ ไม่เพียงแต่คีตาจะต้องมีความอ่อนโยนอันอบอุ่นเท่านั้น แต่เธอยังจะต้องมีความเข้มแข็งพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคบนโลกใบนี้ที่จะต้องพบเจอบนหนทางข้างหน้าให้ได้ ถ้าในวันหนึ่งหญิงชราไม่ได้อยู่ตรงนี้เพื่อคอยปกป้องใบหน้าใส...หลานที่เธอรักยิ่งกว่าดวงใจ เธอก็มั่นใจได้ว่าหญิงสาวจะต้องต่อสู้และเอาชนะสิ่งเหล่านั้นได้ในที่สุด แต่เมื่อหญิงชราหวนมานึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคีตาในเวลานี้ เธอกลับกังวลใจว่ามันจะจริงตามที่เธอได้พูดกับคีตาหรือ ‘เขาเป็นคนที่เหมาะสมกับคี และดูแลคีได้ ย่ามั่นใจ’ หญิงชรานึกย้อนถึงสิ่งที่เธอพูดกับหลานสาวเพียงเพื่อให้ผู้เป็นหลานสาวรู้สึกเชื่อมั่นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ คำถามและความกังวลก็ยังเกิดขึ้นในใจของหญิงชรา ‘เธอทำถูกแล้วใช่มั้ย ณปภัช’ หญิงชราทบทวนคำถามนั้นในใจ

ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถสปอร์ตสีขาวคันหรูของชายหนุ่ม ความเงียบงันกลายเป็นเพื่อนของร่างสูงโปร่งและร่างอรชร จนเขาตัดสินใจที่จะเป็นคนทำลายบรรยากาศนั้น

‘คุณคีชอบทานอาหารแบบไหนหรือครับ’

‘ยังไงก็ได้นะคะ…ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ’ หญิงสาวตอบเสียงเรียบ

‘แล้วมีสิ่งที่ไม่ชอบทานมั้ยครับ’

‘อืม!...ไม่ทานเนื้อค่ะ’

‘ถ้าอย่างนั้น เราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันมั้ยครับ’

‘ค่ะ’

ใบหน้างามหันไปมองหน้าชายหนุ่มอย่างตั้งใจ และกำลังคิดทบทวนคำพูดที่จะพูดกับเขาในวันนี้ เธอพยายามเรียบเรียงประโยคให้สวยงามน่าฟัง เพราะมันอาจโน้มน้าวให้อีกฝ่ายทำตามความประสงค์ของเธอ เธอคิด คิด และคิด จนตัดสินใจพูดออกมา

‘คุณกันต์คงจะงานเยอะมากเลยนะคะช่วงนี้ ขอบคุณที่อุตส่าห์เสียสละเวลามานะคะ’ หญิงสาวส่งยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะยิ้มได้ให้กับชายหนุ่ม

‘ครับ...งานเยอะครับ...แต่ผมก็ตั้งใจมาครับ’ ชายหนุ่มหันมายิ้มหวานตอบให้กับเธอ

‘อืม!...คุณกันต์กำลังโด่งดังมากเลยค่ะ ทั้งงานละคร งานอีเวนต์ ฉันก็เป็นเอฟซี คุณกันต์นะคะ’ เจ้าหล่อนหมายถึงการเป็นสาวก หรือกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจและชื่นชอบบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งก็คือชายหนุ่มนั่นเอง

‘ดีใจจังครับ...ขอบคุณครับ’ ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มให้หญิงสาวอีกครั้ง

‘ตอนนี้คุณกันต์กำลังเป็นซุปตาร์อันดับหนึ่งเลยนี่คะ แล้วถ้ารีบหมั้นเนี่ย เรทติ้งจะไม่ตกเหรอคะ เสียดายแย่เลยนะคะ’ หญิงสาวหมายถึงการที่ชายหนุ่มเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังอันดับหนึ่งในวงการบันเทิง ซึ่งการหมั้นในครั้งนี้อาจจะกระทบต่อกระแสความนิยมของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว และหันมามองหญิงสาวอย่างพิจารณา ก่อนที่จะตัดสินใจพูด

‘คุณไม่อยากหมั้นกับผมเหรอครับ’

‘ฉันคิดว่า คุณก็คงไม่อยากจะหมั้นคนที่ไม่เคยรู้จักกันหรอกใช่มั้ยคะ’

‘ก็ไม่เชิงนะครับ’ ชายหนุ่มเปลี่ยนมายิ้มหวานให้กับหญิงสาวอีกครั้ง

ใบหน้าสะคราญนึกหงุดหงิดอยู่ในใจ ‘นี่อีตานี่ยิ้มเป็นอย่างเดียวรึไงกันนะ

‘นี่คุณหมายความว่ายังไงคะ’ หญิงสาวขึ้นเสียงสูงใส่ชายหนุ่ม

‘ก็หมายความตามนั้นแหละครับ’ ใบหน้าคมยิ้มที่มุมปาก

‘นี่...’ หญิงสาวกำลังจะพูดต่อ แต่ก็ต้องหยุดเพราะคิดได้ว่า เธอต้องมีทีท่าประนีประนอมให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในเกมครั้งนี้ เธอนั่งนิ่งเงียบ แต่ภายในใจนั้นกำลังคิดทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำอีก

เฮ้อ!...นี่มันอะไรกันนะ ดูแล้วก็ไม่น่าที่จะพูดยากนี่นา แต่ทำไมถึงกลับรู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด แล้วอีตากันต์นี่เป็นบ้าอะไร ถึงอยากจะหมั้นกับฉัน ดูแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะพิศวาสฉันสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ฉันงงไปหมดแล้ว’ ใบหน้าไฉไลมองไปข้างหน้าพร้อมกับความคิดที่กำลังสับสนใจตอนนี้

ชายหนุ่มหันมายิ้มหวานให้หญิงสาว ‘ถึงแล้วครับ’

นี่สมกับเป็นนักแสดงจริง ๆ เลยนะนาย ยิ้มเก่งจริง ๆ วัน ๆ เอาแต่ยิ้ม เฮ้อ!...บ้าไปแล้ว’ คีตานึกตำหนิชายหนุ่มในใจ แต่ก็จำต้องพยักตอบเขาอย่างสุภาพ ‘ค่ะ’

คีตาเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องในวันนี้ดี และแล้ว ความคิดอันบรรเจิดก็ผุดขึ้นมาในหัวของเจ้าหล่อน เธอยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วแอบชมตัวเองอยู่เล็ก ๆ ‘ผู้หญิงอะไร...หน้าตาดีแล้วยังแถมฉลาดอีกต่างหาก...คริคริ

หลังจากที่คิดไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้ว หญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดแอพพลิเคชั่นบทสนทนา เพื่อที่จะพิมพ์ส่งบทสนทนาไปหาใครคนหนึ่ง เนื่องจากเธอมัวแต่พิมพ์บทสนทนาในโทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้มองทางข้างหน้า จนกระทั่ง

‘ว้าย!’ ร่างบางสะดุดที่พื้นต่างระดับแล้วกำลังจะล้มลง แต่โชคดีที่มีแขนหนึ่งมาโอบเธอไว้ได้ทันเพื่อช่วยเธอไว้ได้ทัน เมื่อรู้ตัวอีกที เธอก็อยู่ในอ้อมกอดนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘เป็นอะไรมั้ยครับ’ หญิงสาวเบิกตาโตพร้อมกับหายใจถี่ด้วยความรู้สึกที่ว่าเกือบล้มหัวขมำไปแล้วมั้ยล่ะ ในขณะที่ยังอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม คนที่เธอควรจะอยู่ให้ห่างไกลที่สุดในตอนนี้ เมื่อความตกใจค่อย ๆ จางหายไป เธอจึงพยุงตัวขึ้นเพื่อให้ออกจากอ้อมแขนของชายหนุ่มโดยเร็ว ความคิดในหัวแล่นเข้ามาอีกครั้ง ‘โธ่เอ๊ย! ถ้าเป็นในละครล่ะก็ ฉากนี้คงจะหวานซึ้งและโรแมนติกน่าดู แต่ทว่า พระเอกของฉัน ต้องไม่ใช่ตาบ้านี่อย่างแน่นอน กรรมอะไรของฉันที่จะต้องมาเจอตานี่ด้วยนะ

‘ไม่เป็นไรค่ะ...ขอบคุณนะคะ’ น้ำเสียงในการตอบนั้นช่างสุภาพ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับความหยาบกระด้างในความคิดของเธอในตอนนี้เสียยิ่งนัก

‘ถึงร้านรึยังคะ’ เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพื่อที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกอายในความซุ่มซ่ามของเธอ

‘ถึงพอดีครับ’ เมื่อพูดเสร็จ ร่างสูงโปร่งก็เดินนำหญิงสาวเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งหรูหรา ดูมีระดับ อาหารแต่ละชนิดก็มีราคาที่ไม่ธรรมดาเลย เธอยืนมองอยู่สักครู่ และยิ้มที่มุมปาก ‘วันนี้ฉันจะกินจนนายกระเป๋าแห้งเลย...คอยดูสิ

ชายหนุ่มเดินนำหญิงสาว เพื่อไปยังห้องอาหารที่จัดไว้เป็นพื้นที่สำหรับส่วนตัว ทั้งสองถอดรองเท้าออก แล้วค่อย ๆ เลื่อนประตูเข้าไป บรรยากาศภายในนั้นช่างดูดี แสงไฟสลัวสีส้มอ่อน ภายในห้องมีกลิ่นหอมอโรม่าจาง ๆ หญิงสาวเผลอสูดหายใจเข้าไปอย่างเต็มปอด จนเธอรู้สึกสดชื่น โล่งเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อรู้ตัวอีกที เธอก็เห็นชายหนุ่มยืนมองเธออยู่แล้วอมยิ้มเล็ก ๆ เธอชะงักเล็กน้อย และกลับมาทำตัวตามปกติ แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นในใจ ‘ตายแล้ว! นี่ฉันทำตัวเปิ่นอีกแล้วเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ

ใบหน้าหล่อเหลายิ้มหวานให้หญิงสาว ‘ชอบมั้ยครับ’

‘ช...ชอบค่ะ’ เธอพยักหน้า

‘ชอบ...ผมน่ะเหรอครับ’ ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม

หญิงสาวหันไปเบิกตาโตเชิงตวาดใส่ชายหนุ่ม ‘ชอบร้านสิคะ’ พูดเสร็จ เธอก็นั่งลงบนเบาะที่รองนั่งบนพื้นที่จัดไว้ให้ตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่นอย่างไม่สนใจใยดีคู่สนทนาที่แอบหัวเราะเธออยู่เบา ๆ

‘สั่งอาหารเลยมั้ยครับ’

คีตาเปิดรายการอาหารเพื่อพิจารณาและมองหาอาหารที่ราคาแพงที่สุด และในที่สุดเธอก็เจอสิ่งที่ตามหา เธอหันไปมองพนักงานบริการชายที่นั่งถือแท็บเล็ตขนาดครึ่งกระดาษเอสี่ ซึ่งแท็บเล็ตนี้เป็นเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถพกติดตัวได้ โดยวัตถุประสงค์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ใช้เพื่อทดแทนสมุดหรือกระดาษ* โดยในแท็บเล็ตของร้านนี้นั้นจะมีรายการอาหารที่สามารถกดสั่งได้เลย แล้วคำสั่งนั้นจะไปปรากฏที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารตามคำสั่งที่ได้รับต่อไป ‘สเต๊กเนื้อโกเบ 1 ค่ะ’

หลังจากที่คีตาสั่งอาหารเมนูแรกไป เธอก็ลอบแอบมองชายหนุ่มเพื่อตรวจสอบอาการของชายหนุ่มว่าจะเป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเลิกคิ้ว เธอก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ราวกับเธอนั้นเป็นผู้กำชัยชนะ ‘ตกใจล่ะสิ ที่ฉันสั่งอาหารราคาแพง นี่ยังไม่พอแค่นี้นะ แล้วนายจะหนาว

‘คุณไม่ทานเนื้อไม่ใช่เหรอครับ’

หญิงสาวชะงักกับคำถามของชายหนุ่ม ‘เออ!...จริงด้วย ฉันไม่กินเนื้อนี่นา เอาไงดี

‘ก็ฉันสั่งให้คุณไงคะ...ฉันเห็นว่ามันน่าทานดี...คุณโอเคมั้ยคะ’

‘อ้อ!...ครับ...ขอบคุณนะครับ’ แม้ว่าชายหนุ่มจะยังคงรู้สึกฉงน แต่ก็ยังคงยิ้มตอบให้หญิงสาว

‘ซาชิมิ 4, เทมปุระกุ้ง 2, โอโคโนมิยากิ 1, ทงคัตสึ 2, โคร็อกเกะ 2, ทาโกยากิ 2, ดงบุริ 1, ยากิโทริ 2 ค่ะ’ ใบหน้าเพริศพริ้งสั่งอาหารรัวจนแทบไม่มีจังหวะหยุดหายใจ จนทำให้ใบหน้าคมมองหน้าเธออย่างไม่ละสายตา ‘คุณทานหมดเหรอครับ’

หญิงสาวพยักหน้า ‘หมดสิคะ...ของโปรดทั้งนั้นเลย’

คีตาสำรวจรายการอาหารต่อ แต่ก็เหมือนจะคิดเรื่องหนึ่งได้ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมาหาชายหนุ่ม ‘คุณไม่สั่งอะไรเหรอคะ’

เขาส่ายหน้า ‘ที่คุณสั่งก็น่าจะพอแล้วนะครับ’

‘เหรอคะ’ หญิงสาวแสร้งยิ้มหวานให้กับเขา

สัญญาณเตือนจากโทรศัพท์มือถือขึ้นของคีตาดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นเสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นบทสนทนาเนื่องจากมีบุคคลส่งข้อความให้กับเธอ เธอจึงเปิดแอพพลิเคชั่นนั้นเพื่อพิมพ์ข้อความตอบกลับคู่สนทนาของเธอ

จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หลังจากที่เธอตอบกลับข้อความไปไม่ถึงหนึ่งนาที แล้วประตูก็ถูกเลื่อนเปิดออก

‘อ้าว...มาพอดีเลย...เข้ามาก่อนสิใบบัว’ คีตาโบกมือให้หญิงสาวผู้ที่เปิดประตูเข้ามา

หญิงสาวรีบเดินเข้ามา และกล่าวทักทายคีตาอย่างคุ้นเคย โดยที่ยังไม่ได้สังเกตว่ามีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ ‘โทษทีที่มาช้า...รถติดน่ะ’

หลังจากพูดจบประโยค หญิงสาวก็หันไปเห็นชายหนุ่มและสบสายตากัน ทั้งคู่ต่างเบิกตาโต และมีอาการตกใจจนเห็นได้ชัด วินาทีนั้น เหมือนเวลาถูกหยุดไว้ชั่วคราว คีตามองทั้งสองคนแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม ‘นี่แหละ…แผนการขั้นสุดยอดที่ฉันไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วว่ามันจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับเราทุกคน

คีตากลอกตาไปมาสังเกตอาการของทั้งสองคน และรอดูว่าใครจะเป็นคนที่ได้สติก่อนกัน

‘อ้าว...สวัสดีใบบัว’ ชายหนุ่มยิ้มหวานและกล่าวทักทายหญิงสาวที่ทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ

‘สะ...สวัสดีกันต์’ น้ำเสียงตะกุกตะกัก ดูไม่เป็นตัวของตัวเองนัก

‘คุณคีกับใบบัวเป็นเพื่อนกันเหรอครับ’ ชายหนุ่มหันมายิ้มหวานให้คีตา

คงจะฝึกยิ้มท่านี้จนชินสินะ’ คีตานึกประชดเขาในใจ

‘ค่ะ...เป็นเพื่อนสนิทกัน’ แต่คีตาก็ยังคงแสร้งยิ้มตอบเขา

คีตามองเพื่อนสาวที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดจา อาจเป็นเพราะเธอยังคงไม่หายอึ้งจากสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน แถมดูแล้วในเวลานี้ก็ยังคงไม่สามารถที่จะเรียกสติกลับมาได้ ‘นี่เธอน่าจะไปเรียนการแสดงกับนายกันต์นะ ดูท่าตานั่นจะช่ำชองในเรื่องการตบตาคนเอาเสียมาก ๆ’ คีตาประชดในใจอีกครั้ง

‘แล้วคุณกันต์กับใบบัวรู้จักกันด้วยเหรอคะ...เห็นทักทายกัน’

‘ครับ’

นัยน์ตาของคีตาเป็นประกายด้วยรอยยิ้ม ‘โลกกลมจังเลยนะคะ’

‘ใบบัว...สั่งอะไรหน่อยมั้ย’ คีตายื่นรายการอาหารไปให้เพื่อนสาว แต่ไม่มีการตอบสนองใด ๆ จากเธอ คีตาจึงใช้มือที่อยู่ใต้โต๊ะสะกิดไปที่ขาของเพื่อนสาว โดยหวังว่ามันจะเป็นการเรียกสติที่ล่องลอยให้กลับคืนมาเข้าร่างได้เสียที

‘ใบบัว’ คีตาเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น

‘ฮะ! อะไรนะ’ เพื่อนสาวสะดุ้งเฮือก ราวกับหลุดออกจากภวังค์

คีตายื่นรายการอาหารไปให้เพื่อนสาวอีกครั้ง ‘สั่งอะไรหน่อยมั้ย’

เพื่อนสาวส่ายหน้า ‘ไม่ล่ะ’

‘ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนนะคะว่าใบบัวจะมาด้วย...ฉันคิดว่ามากันหลาย ๆ คน...น่าจะสนุกกว่า’

‘ไม่เป็นไรครับ...ผมก็เห็นด้วยกับคุณ’ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแถมดวงตาที่เพ่งมองไปยังเพื่อนสาวของคีตานั้นปรากฏแววฉงนสนเท่ห์ไม่น้อย

‘ว่าแต่สองคนนี้รู้จักกันได้ยังไงคะเนี่ย’

หลังจากที่คีตาเอ่ยถามคำถามดังกล่าว เพื่อนสาวก็หันมามองเธอตาเขม็งเป็นเชิงย้อนถาม ราวกับว่ารู้แล้วยังจะมาแกล้งถามอีก

ชายหนุ่มกับเพื่อนสาวหันมามองหน้ากัน แล้วสุดท้าย เพื่อนสาวก็ตัดสินใจที่จะเป็นคนคุมเกมนี้ ‘ก็เป็นเพื่อนกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ’

ชายหนุ่มพยักหน้าสมทบ ‘ครับ’

‘เรียนคณะเดียวกันเหรอคะ’ คีตาแสร้งถามต่อ

คราวนี้ชายหนุ่มเป็นคนตอบ ‘เปล่าครับ...เพื่อนของผม รู้จักกับเพื่อนของใบบัว เราก็เลยรู้จักกัน’

‘ใช่ ๆ ประมาณนั้นแหละ’ เพื่อนสาวตอบเสริม

‘เสียดายจังเลยนะคะ...ฉันกับใบบัวเรียนกันคนละมหาวิทยาลัย...ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็คงจะได้รู้จักกันนานแล้ว’

‘ครับ’ ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน

บรรยากาศในช่วงเวลาที่ทานอาหารระหว่างสามคนนั้นดูไม่ค่อยจะรื่นเริงสักเท่าไหร่ นั่นอาจเป็นเพราะเพื่อนสาวของคีตาได้แต่นั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ถามคำตอบคำ ส่วนชายหนุ่มว่าที่คู่หมั้นจากในตอนแรกที่มีท่าทียียวนกวนประสาท แต่พอได้เจอเพื่อนสาวของคีตาก็กลับกลายเป็นคนละคน งานนี้คีตาเลยต้องกลายเป็นคนกลางชวนคนทั้งสองคุยตลอดงาน แต่การนัดหมายในวันนี้ ทำให้คีตาสามารถสัมผัสได้สิ่งหนึ่งคือ ทั้งเพื่อนสาวและชายหนุ่มนั้นยังคงไม่ลืมกัน แถมน่าจะยังมีความรู้สึกพิเศษหลงเหลือให้กันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่คีตายังไม่แน่ใจคือ ความรู้สึกพิเศษที่ว่านั้น มันจะพิเศษในรูปแบบไหน เพราะนี่ก็เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นหลังจากที่มันได้จบลงมานานมากแล้ว

‘อ้อ! ใบบัว...เอารถมารึเปล่า’ คีตาแสร้งถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนสาวไม่ได้ขับรถยนต์ส่วนตัวมา เนื่องจากเธอเป็นคนบอกเพื่อนสาวผ่านแอพพลิเคชั่นบทสนทนาว่าไม่ต้องนำมา...ตามแผนที่หญิงสาวได้วางเอาไว้

‘ก็...คีบอกว่า’ เพื่อนสาวยังไม่ทันพูดจบ คีตาก็พูดตัดบทขึ้นมา ‘ใช่ ๆ ใบบัวไม่ได้เอามา...เพราะรถมันติด’

คีตาหันไปมองกันตภัทร์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ‘รบกวนคุณกันต์ไปส่งใบบัวได้มั้ยคะ’

เพื่อนสาวสะดุ้งเฮือก ดวงตาที่มองคีตานั้นลุกโชนราวกับจะพ่นไฟได้ ‘ไม่เป็นไร ๆ เรากลับเองได้’ เพื่อนสาวหันไปส่ายมือให้ชายหนุ่มเป็นเชิงปฏิเสธ

‘เดี๋ยวเราไปส่งใบบัวเอง ไม่ต้องเกรงใจ’ ชายหนุ่มส่งยิ้มหวานให้เธอผู้ที่เพิ่งปฏิเสธเขา

คีตาแสร้งปรบมือหนึ่งครั้ง เป็นการแสดงความโล่งใจ ‘ดีเลย...ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ เผอิญว่ามีธุระต่อ’

เพื่อนสาวหันมาส่งดวงตาแผ่รังสีสังหารให้คีตาอีกครั้ง แถมยังเอามือมาหยิกที่ขาของคีตาเพื่อเป็นการลงโทษ ‘โอ๊ย!’ คีตาร้องเสียงดัง

‘เป็นอะไรครับคุณคี’

‘ยะ...ยุงกัดค่ะ...เจ็บมาก’ คีตาหันไปมองเพื่อนสาวแล้วยิ้มเฝือน

‘เหรอครับ...’ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนลังเลแต่ก็ตัดสินใจพูด ‘ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปส่งคุณคีก่อนดีมั้ยครับ’

คีตาส่ายหน้า ‘ไม่เป็นไรเลยค่ะ ธุระของฉัน กับบ้านของใบบัว อยู่กันคนละทางเลยค่ะ...ขับรถกลับไปมา เสียเวลาเปล่า...ขอบคุณนะคะ’

‘ครับ’ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

ในช่วงระหว่างเดินมาที่รถหรูของชายหนุ่ม เพื่อนสาวของคีตาจ้องหน้าคีตาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ คีตารับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น จึงแอบรู้สึกผิดและทำได้แต่ปลอบประโลมตัวเองอยู่ในใจ ‘ฉันก็เข้าใจความรู้สึกเธออยู่หรอกนะ แต่ให้อภัยฉันด้วยเถอะ ฉันทำเพื่อเราทุกคนอยู่นะเนี่ย

‘ยัยคี! กลับไปเธอได้เจอดีแน่’ เพื่อนสาวกระซิบข้างใบหูของคีตา

‘เราก็ว่างั้น...เรื่องระหว่างใบบัวกับกันต์...มันก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่เราจะต้องเจอแหละ...ใช่มั้ย’ คีตาอดไม่ได้ที่จะกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนสาว

เมื่อเดินมาถึงลานจอดรถยนต์ ชายหนุ่มก็เดินมาเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้กับเพื่อนสาวของคีตาอย่างสุภาพ

‘เชิญครับ’ ชายหนุ่มยิ้มหวานให้เพื่อนสาวของคีตาอีกเช่นเคย ‘เฮ้อ! ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมใบบัวถึงเป็นแบบนี้’ คีตานึกบ่นพฤติกรรมของกันตภัทร์ในใจ

คีตาโบกมืออำลาให้ทั้งสองคน และเดินออกมาจากลานจอดรถ พลันคิดว่าจะไปที่ไหนต่อ เพราะหลังจากนี้เธอยังไม่ได้วางแผนต่อ เมื่อตัดสินใจได้ เธอจึงจะไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเพื่อฆ่าเวลาสักพักแล้วหลังจากนั้นจึงกลับบ้าน

.....

เพื่อนสาวของคีตามองหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างซึ่งกำลังตั้งใจขับรถอยู่ หญิงสาวพิจารณาใบหน้าที่หล่อเหลาขาวใส ไร้รอยสิวของเขา แม้กระทั่งรูขุมขนก็แทบจะมองไม่เห็น ใบหน้าที่เรียวได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน แต่ก็ไม่โด่งมากจนเกินพอดี ดวงตาสองชั้นแต่ก็ไม่ชัดมากนัก ยิ้มแต่ละทีตาก็จะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว คิ้วที่ดก แต่ไม่รก ปากเป็นรูปกระจับ แถมยังสูงยาวหุ่นดีอย่างกับเดินออกมาจากเทพนิยาย ‘คนอะไรจะดูดีได้ขนาดนี้ อยากจะกรี๊ด! จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เอ๊ะ! แต่ก็เปลี่ยนไปนิดนึงนะ คือเขาดูมีความภูมิฐานมากขึ้นกว่าเดิมอีก แต่มันก็คงไม่แปลกที่เขาจะเป็นแบบนี้ ก็ในตอนนี้ เขาเป็นดาราดังแล้วนี่’ หล่อนนึกชื่นชมเขาในใจ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะย้อนไปคิดถึงอดีตของทั้งสอง ที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

‘เอ่อ...ใบบัว...เรามีอะไรจะบอก’ ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาว พร้อมยิ้มเขินเล็กน้อย

‘อะไรเหรอ’ หญิงสาวถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

‘คือเรา...เรา...ช...ชอบใบบัวนะ’ ใบหน้าหล่อเหลายกมือขวาขึ้นมาจับท้ายทอยด้านหลัง พร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างขวยเขิน

หญิงสาวยืนอึ้งตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากชายหนุ่ม ณ วินาทีนั้น สำหรับหญิงสาว โลกเหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ หัวสมองของเธอมันอื้ออึงและเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนนี่ฉันจะทำอย่างไรดีนะ เราคิดตรงกันนี่ ฉันก็ชอบเขา เขาก็ชอบฉัน ฉันตอบตกลงไปเลยดีมั้ยนะ เอาอย่างไรดี’ หัวใจของเธอสั่นระรัว สมองก็เบลอ แต่ความไม่มั่นใจในตัวของเธอกลับกระซิบบอกเธอว่าฉันไม่เหมาะสมกับเขาหรอก เขาเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย เขาออกจะโด่งดังมีชื่อเสียง มีแต่คนมาห้อมล้อมสนใจเขา ส่วนฉัน เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ฉันดูไม่คู่ควรกับเขาเสียเลย ถ้าฉันคบกับเขาไป ก็คงจะมีแต่คนดูถูก ว่าคู่นี้ดูไม่เหมาะสมกันเอาเสียเลย คนแบบเขา มาชอบคนอย่างฉันได้อย่างไร’ คิดมาได้แค่นี้หัวใจของเธอก็เจ็บปวดเหลือจะทนทาน และแล้ว เธอก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธออย่างเป็นที่สุด

‘เราคิดว่า…เราสองคนเป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้วนะกันต์’ ใบหน้างามก้มหน้า ไม่กล้าสบตาใบหน้าคม

‘ทำไมมันช่างทรมานใจแบบนี้นะ ทำไมเราถึงไม่ได้ลงเอยกันนะ’ เธอคิดทบทวนวนเวียนอยู่ในหัว

‘อ้อ!…เหรอ!…อืม!…ได้สิ’ ชายหนุ่มหน้าเสีย แต่ก็ยังคงส่งยิ้มอ่อนให้หญิงสาว

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เธอกับชายหนุ่มก็ห่างกันไป ไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน ส่วนหญิงสาวก็ไม่กล้าติดต่อไปหาชายหนุ่ม ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอนั้นกลัวอะไร ทั้ง ๆ ที่เธอก็คิดถึงเขาจนจะเป็นบ้า แต่สุดท้าย เธอก็ทำได้แค่คิดถึงเขาอยู่ข้างเดียว ‘ตอนนี้เขาคงมีความสุขอยู่กับชีวิตที่เลิศหรู ท่ามกลางผู้คนมากมาย จะโทษเขาก็ไม่ได้หรอก ก็ฉันเองนี่นา ที่ทำให้มันจบแบบนี้’ เธอตัดพ้อและโทษตัวเองอยู่ในใจ

---------------------------------------------------------------

ที่มา

* แท็บเล็ต(Tablet)คืออะไร, https://guru.sanook.com/7184/

---------------------------------------------------------------

#ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจนะคะ

# โปรดติดตามความเข้มข้นของซ้อนกลรักตอนต่อไปด้วยนะคะ

#ด้วยรัก...Kwitch

#ซ้อนกลรัก #ดราม่า, #น่ารัก, #นิยายรัก, #นิยายโรแมนติก, #หวาน, #ความรัก, #นิยายโรมานซ์, #แอบรัก, #แต่งงาน


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว