วาจาหลินอี้เสียงกลายเป็นเรื่องขำขันเมื่อตกกระทบใบหูเซี่ยเหยา “ตระกูลเซี่ยของข้าติดค้างเจ้า?” เซี่ยเหยาย้อนถามหลินอี้เสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำ ตะโกนถามเสียงดังกลับไปว่า “องค์ชายเจ็ด! ตระกูลเซี่ยของพวกเราไม่ว่ายามเดินหรือยามนั่งล้วนซื่อสัตย์เที่ยงตรง ไม่มีทางติดค้างเจ้าแน่!”
เซี่ยเหยากล่าวคำว่าองค์ชายเจ็ดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางคิดไม่ถึงว่าหลินอี้เสียงจะมีพละกำลังมหาศาลเช่นนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะรับการโต้กลับของนางได้โดยไม่เปลืองแรงสักนิด
“เจ้าเป็นวรยุทธ์?!” เซี่ยเหยาตกตะลึงพรึงเพริด ถามด้วยความปวดใจ “หลินอี้เสียง ที่แท้เจ้ามีสิ่งใด...ที่เป็นเรื่องจริงบ้าง?”
ใบหน้าสงบเรียบเฉยของหลินอี้เสียงฉายความหงุดหงิดรำคาญเพราะคำถามของเซี่ยเหยา เขากวาดตาผ่านใบหน้านางโดยปราศจากทีท่าว่าจะตอบคำถามแม้แต่น้อย เพียงกล่าวพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ขุนพลผู้หนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ย่อมเหยียบย่ำโครงกระดูกนับหมื่น ตระกูลเซี่ยของพวกเจ้าเดินเหยียบย่ำโครงกระดูกมากมายเพียงนั้น คราวนี้ขอข้าเหยียบย่ำพวกเจ้าขึ้นไปก็แล้วกัน”
หลินอี้เสียงพูดจบก็ฉุดเซี่ยเหยาลงจากเตียง เซี่ยเหยาพยายามโต้ตอบอย่างสุดกำลัง ทำให้หลินอี้เสียงใช้วิธีหยาบกระด้างกับนางมากขึ้น เขาวางนางลงบนโต๊ะที่อยู่กลางห้อง การต่อสู้ของคนทั้งสองส่งผลให้เทียนแดง รวมถึงเม็ดบัวกับถั่วลิสงที่จัดเตรียมไว้บนโต๊ะหล่นกระจายลงบนพื้น
เซี่ยเหยาถูกหลินอี้เสียงสกัดจุดชีพจร แผ่นหลังแนบชิดกับผนังอันเย็นเฉียบ นางพะวงถึงคนในครอบครัว แม้ไม่อยากเชื่อถ้อยคำของหลินอี้เสียง แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี เดิมทีนางขัดคำสั่งของครอบครัวเพื่องานอภิเษกสมรสครั้งนี้ บัดนี้คำเตือนของพี่ใหญ่และท่านพ่อกำลังดังกึกก้องข้างใบหูอย่างแจ่มชัด คราแรกนางต้องการเพียงอยู่เคียงข้างบุรุษผู้อ่อนโยนตราบชั่วชีวิตเท่านั้น แต่บัดนี้คิดไม่ถึงว่าบุรุษซึ่งเคยร่วมชมอาทิตย์อัสดง ร่วมรอคอยให้บุปผาโรยราและกลับมาบานสะพรั่งพร้อมกับนางจะตีสองหน้าเช่นนี้!
เซี่ยเหยายืนโดยปราศจากเสื้อผ้าอาภรณ์ปกคลุมร่าง จ้องดวงตาหลินอี้เสียงอย่างแข็งกร้าวอยู่ตรงนั้น ส่วนหลินอี้เสียงก็มองนางด้วยอาการเรียบเฉย รอยยิ้มแปลกประหลาดผุดขึ้นบนริมฝีปาก ออกแรงฉุดกระชากให้นางเดินออกมานอกห้อง
“นายท่าน นี่...” บุรุษผู้หนึ่งรออยู่นอกประตูตั้งแต่แรก ครั้นเห็นเซี่ยเหยาซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังหลินอี้เสียงสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อย จากนั้นก็หวนคืนสู่ความสงเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว
เมื่อชายแปลกหน้ามองเห็นเรือนร่างของนางเช่นนี้ เซี่ยเหยากัดฟันกรอด หลับตาแน่นพร้อมกล้ำกลืนความอัปยศลงไป ถึงกระนั้นก็ไม่อาจสะกดกลั้นหยาดน้ำตาร้อนผ่าวที่ไหลรินออกมาจากดวงตาได้
“ส่งตัวไปที่คุกใต้ดิน ให้โจรป่าเถื่อนพวกนั้นได้ลิ้มรสเสียหน่อย”
คำพูดประโยคนี้ของหลินอี้เสียงทำให้เซี่ยเหยาร่วงหล่นจากขอบเหวของห้วงแห่งความเป็นความตายและจมดิ่งลงสู่ขุมนรกทันที นางเบิกตาโพลง หยาดน้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลอาบแก้มมาจนถึงริมฝีปาก ให้รสชาติเค็มระคนขม
“หลินอี้เสียง” เซี่ยเหยาร่างสั่นระริกท่ามกลางสายลมหนาว เปล่งวาจาชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีวันละเว้นเจ้าเด็ดขาด”
“เช่นนั้นก็ดี” หลินอี้เสียงมองนางด้วยแววตาเปล่งประกายพร้อมกล่าวระคนยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ข้าจะรอเจ้า”
ความอับอายระคนความสิ้นหวังทำให้เซี่ยเหยาไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ชายที่ได้รับคำสั่งจากหลินอี้เสียงให้พาตัวเซี่ยเหยาไปที่คุกใต้ดินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกเพื่อห่อหุ้มกายเซี่ยเหยา เพียงแต่...จะมีประโยชน์อันใดเล่า
เครื่องประทินโฉมบนใบหน้ายังมิได้ลบออก มงกุฎหงส์อันสวยสดงดงาม กอปรด้วยความสิริมงคลแห่งการเฉลิมฉลองยังคงประดับอยู่บนศีรษะ
ภายในคุกใต้ดินซึ่งเต็มไปด้วยอาชญากร เซี่ยเหยาทำได้เพียงปล่อยให้คนเข่นฆ่าตามใจชอบดั่งลูกแกะน้อยที่เข้าสู่ถ้ำหมาป่า ร่างกายถูกหลินอี้เสียงสกัดจุดชีพจร เซี่ยเหยานอนอยู่บนกองฟาง เปล่งเสียงตะโกนด่าทอเหล่าบุรุษซึ่งกำลังยืนรายล้อมนางด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ไสหัวไป!!! พวกเจ้าไสหัวไปนะ!!!”
เสียงหัวเราะของเหล่าบุรุษกลบเสียงร่ำไห้และบริภาษด่าทอของเซี่ยเหยาจนหมดสิ้น เสื้อบางบนร่างถูกคนฉีกทึ้ง เรือนร่างปรากฏตรงหน้าคนเหล่านั้นโดยไร้สิ่งปกปิด กระตุ้นความร้อนรุ่มกระสับกระส่ายภายในกายของพวกมัน
แต่ละคนต่างกระหายใคร่ถอดกางเกงเพื่อครอบครองนาง คำพูดหยาบโลนอนาจารแว่วเข้าหูประโยคแล้วประโยคเล่า ทำให้เซี่ยเหยาหัวสมองพองโต
อย่าทำเช่นนี้! ต่อให้นางต้องตายก็อย่าทำเช่นนี้!!
ประกายสิ้นหวังฉายวาบออกมาจากดวงตา นางใช้สายตาคมกริบมองบุรุษที่นางพอจะมองเห็นได้เหล่านั้นแล้วจดจำฝังใจทีละคน
หากชาติหน้ามีจริง ไม่ว่าอย่างไรนางต้องล้างแค้นให้กับความอัปยศที่เกิดขึ้นวันนี้ให้จงได้!
หากชาติหน้ามีจริง ต่อให้นางต้องสละชีวิตก็ต้องบดขยี้หลินอี้เสียงให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น!
“มารดามัน ทำไมไม่ขยับแล้วล่ะ?”
ชายคนแรกที่พบความผิดปกติของเซี่ยเหยาขมวดคิ้วพลางผลักร่างนาง ทุกคนต่างสูดลมหายใจหนาวเหน็บเมื่อเห็นโลหิตสีแดงเข้มไหลออกมาจากปาก ส่วนชายซึ่งกำลังจะกระทำชำเราร่างกายเซี่ยเหยาผู้นั้นก็ยิ่งล้มถอยหลังตึง ส่งเสียงบริภาษออกมาทันที “นางคนนี้นี่ ซวยมารดามันจริง ๆ!”
ดวงวิญญาณเดียวดายหลุดพ้นจากโลกนี้ ถึงกระนั้นกลับมิรู้เลยว่าภายภาคหน้ายังต้องเผชิญความทุกข์ทรมานเช่นไรบ้าง
นางไม่ต้องการจบชีวิตไปเช่นนี้...เจ็บใจเสียเหลือเกิน...
***
เซี่ยเหยาลืมตาด้วยอาการมึนงง หลังจากวิงเวียนไปชั่วขณะก็ค่อย ๆ มองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างแจ่มชัด
เจ็บ
แส้ที่หวดฟาดลงบนร่างนางอย่างกะทันหัน ทำให้เซี่ยเหยาอดแค่นเสียงทึบ ๆ ออกมาคราหนึ่งไม่ได้ นางขยับกายเล็กน้อย ปล่อยให้แส้นั้นหวดฟาดอยู่บนร่างตน ความเจ็บปวดที่ชำแรกถึงจิตใจแผ่ขยายไปทั่วสรรพางค์กาย หัวสมองขาวโพลนไปหมด
ที่นี่...คือที่ไหน นางควรตายไปแล้วไม่ใช่หรือ
“นังคนไร้ยางอาย! เจ้าทำให้ตระกูลลู่อับอายขายหน้า! ดูสิว่าวันนี้ข้าจะฟาดเจ้าให้ตายหรือไม่!”
เสียงของสตรีแปลกหน้าแว่วเข้าใบหู ทำให้นางเกิดปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อย นางกำลังนอนอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ สิ่งที่อยู่บนร่างคือเสื้อผ้าขาดวิ่นสภาพดูไม่ได้ซึ่งถูกน้ำเย็นราดรดจนชุ่มโชก นางเคลื่อนสายตาไปยังสตรีที่ยืนอยู่ด้านข้าง ซึ่งกำลังถือแส้หวดฟาดนางด้วยความเคียดแค้นชิงชัง หลังจากรวบรวมเรี่ยวแรงได้เล็กน้อยจึงค่อย ๆ ตะกายร่างขึ้นจากพื้น
การเคลื่อนไหวของเซี่ยเหยามิได้ทำให้สตรีผู้นั้นหยุดการกระทำ นางมองเซี่ยเหยาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว ส่งเสียงด่าทอไปพลาง ออกแรงกวัดแกว่งหวดแส้ที่อยู่ในมือไปพลาง
เซี่ยเหยายกมือคว้าแส้ที่ฟาดใส่ร่างตน มองสำรวจสถานที่ที่ตนอยู่โดยรอบด้วยความงุนงงระคนสงสัย จากนั้นจึงทอดสายตามองสตรีซึ่งมีสีหน้าประหลาดใจตรงหน้า ความทรงจำสุดท้ายภายในสมองย้ำเตือนเซี่ยเหยาว่ายามนี้หาใช่เวลาที่นางควรเหม่อลอย นางอ้าปากถามผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยเสียงที่แหบพร่าอย่างร้อนรนกระวนกระวาย “เกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยหรือไม่?!”
ทว่าเมื่อคำถามหลุดออกจากปาก เซี่ยเหยากลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งเสียเอง เนื่องจากสิ่งที่เปล่งออกมาจากลำคอนั้นมิใช่เสียงของนาง
“ตระกูลเซี่ย?” เย่เหลียนหรงมองลู่จือเหยาด้วยความกังขา ไม่เข้าใจว่านางถามเช่นนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด “เจ้าสนใจเรื่องอื่นเยอะเกินไปแล้วนะ ถ้ามีเวลาสนใจเรื่องชาวบ้าน ไม่สู้สนใจเรื่องตัวเองดีกว่า! ลู่จือเหยา คราวนี้ข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่ และอย่าหวังว่าบิดาเจ้าจะช่วยพูดแทนเจ้าเลย! กล้าทำเรื่องเสื่อมเสียศีลธรรมเช่นนี้ เจ้าทำให้ครอบครัวเราอับอายขายหน้าแล้วจริง ๆ!”
ลู่จือเหยา?!
เซี่ยเหยาหรี่ดวงตาด้วยความงุนงงสงสัย เพราะชื่อที่หลุดออกมาจากปากสตรีผู้นี้ นางเคยได้ยินชื่อนี้ แต่ไยสตรีผู้นี้เห็นนางเป็นลู่จือเหยา อีกทั้งตนมาอยู่สถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
เย่เหลียนหรงเห็นลู่จือเหยายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น จึงคิดออกแรงกระชากแส้กลับมาจากมือนาง คิดไม่ถึงว่าลู่จือเหยากลับขัดขืน
เพลิงโทสะพวยพุ่งออกมาจากดวงตาเซี่ยเหยา นางพันแส้หนังอยู่บนข้อมือตนหลายรอบอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงดึงร่างเย่เหลียนหรงเข้ามาโดยใช้แรงเพียงน้อยนิด
เซี่ยเหยาไม่สนใจสิ่งอื่นใด ยามนี้นางเพียงต้องการรู้ว่าพวกท่านพ่อท่านแม่เป็นเช่นไร และสิ่งที่หลินอี้เสียงบอกตนนั้นคือเรื่องจริงหรือไม่
“ข้าขอถามเจ้า เกิดเรื่องกับตระกูลเซี่ยหรือไม่?” เซี่ยเหยากดเสียงต่ำ เอ่ยถามเย่เหลียนหรงที่อยู่ตรงหน้า ถึงกระนั้นหารู้ไม่ว่าไอสังหารและกระแสเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างจะทำให้เย่เหลียนหรงตื่นตระหนกจนไม่อาจเปล่งวาจา
นางคงไม่ได้ถูกตนเฆี่ยนจนเพี้ยนไปแล้วหรอกนะ เย่เหลียนหรงคิด นางพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ประสบผล ดังนั้นตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจ ขณะที่กำลังสงสัยว่าลู่จือเหยาไปเอาเรี่ยวแรงมหาศาลเช่นนี้มาจากที่ใด “ตายแล้ว ตายแล้ว ตายหมดแล้ว!”
ทันทีที่เย่เหลียนหรงกล่าวจบก็สังเกตเห็นลู่จือเหยาสีหน้าแปรเปลี่ยนจนน่าสะพรึงกลัว เย่เหลียนหรงตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าลู่จือเหยากำลังจะเสียสติจริงหรือไม่ นางพยายามออกแรงกระชากคอเสื้อซึ่งถูกลู่จือเหยายึดอยู่ในมือ เพื่อออกห่างจากนางคนชั้นต่ำผู้นี้
วาจาของเย่เหลียนหรงดังกึกก้องอยู่ในโสตเซี่ยเหยาไม่หยุด ร่างกายสูญเสียเรี่ยวแรงในบัดดล นางนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้
เพียงแต่ขณะที่นางยังไม่อาจเรียบเรียงความรู้สึกนึกคิด เหตุการณ์ต่อจากนั้นทำให้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดปลาสนาการไปสิ้น
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ?” ลู่จือฉิงเดินกรีดกรายเข้ามา มือถือคันฉ่องพลางส่องชื่นชมดวงหน้าอันงดงามที่ปรากฏอยู่ในนั้นของตน ถึงกระนั้นกลับพบเย่เหลียนหรงซึ่งกำลังแสดงสีหน้าประหวั่นลนลานเข้าพอดี ครั้นนางเห็นเย่เหลียนหรงแสดงสีหน้าผิดปกติ ดวงตาก็กระจ่างวูบ ถามด้วยน้ำเสียงแฝงความดีอกดีใจเล็กน้อย “ลู่จือเหยาตายแล้วหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ตาย แต่ดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว” เย่เหลียนหรงกดเสียงต่ำ จากนั้นจึงพูดสรุปใจความสั้น ๆ ให้นางฟัง “เรี่ยวแรงมหาศาลเสียเหลือเกิน มิหนำซ้ำยังเกือบทำร้ายข้าอีกด้วย! พยายามถามเรื่องตระกูลเซี่ยกับข้าอยู่ได้ เจ้าว่านางถูกผีเข้าหรือเปล่า?”
“นางกล้าทำร้ายท่านหรือเจ้าคะ?!” ลู่จือฉิงไม่สนใจประโยคหลังของเย่เหลียนหรง นางแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด มองลู่จือเหยาซึ่งกำลังอยู่ในเรือนพร้อมเดินสาวเท้าเข้าหานาง
“นังคนแพศยาไร้ยางอาย ผู้ใดใช้ให้เจ้าทำร้ายท่านแม่ของข้า!” ลู่จือฉิงไม่พูดพล่ามทำเพลง เงื้อฝ่ามือฟาดใบหน้าลู่จือเหยาทันที
ลู่จือเหยารับฝ่ามือลู่จือฉิงโดยมิได้หลบหลีก ขณะที่ลู่จือฉิงคิดจะตบนางอีกครั้ง ลู่จือเหยาก็ยกมือขึ้นยึดข้อมือลู่จือฉิง พริบตาต่อมาร่างของลู่จือฉิงก็ถูกนางจับโยนออกไป
“โอ๊ย!” ลู่จือฉิงล้มกระแทกพื้นจนเจ็บ อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้ นางเห็นลู่จือเหยามองตนด้วยสายตาคมกริบพลางย่างเท้าเข้ามา ลู่จือฉิงยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกเย่เหลียนหรงซึ่งมีใบหน้าซีดเผือดฉุดกระชากให้วิ่งหนีจากไปเสียแล้ว
เซี่ยเหยามองแผ่นหลังของคนทั้งสอง กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด ความเคียดแค้นชิงชังครอบงำจนขาดสติ นางสาวเท้าเดินออกไปนอกเรือน คิดกลับจวนตระกูลเซี่ยเพื่อสืบหาคำตอบ
เซี่ยเหยาเหยียบคันฉ่องซึ่งลู่จือฉิงทำตกไว้โดยบังเอิญ นางก้มหน้าลงไปตามสัญชาติญาณ ทว่าภาพสะท้อนที่นางเห็นกลับทำให้นางตกตะลึง
นาง...เป็นใคร?!
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว