บทที่ 1
กำเนิดสงคราม
‘สงครามนำมาซึ่งความสูญเสีย’
สงครามนำความพลัดพรากลาจาก น้ำตาและความตายมาเยือน ทำลายรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมลายหาย เมื่อสงครามกำเนิดทุกหย่อมหญ้าบังเกิดความเดือดร้อน กองซากศพ ธาราโลหิต กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งสะอิดสะเอียนชวนอาเจียนอบอวลท้องนภา
แม้ว่าสงครามจะโหดร้ายมากเพียงใดแต่สรรพสิ่งใดล้วนมีสมดุลในตนเอง ยิ่งเงาดำมืดมากเท่าใดแสงที่สาดส่องก็ยิ่งแรงกล้าเจิดจ้า เช่นยอดปทุมที่ถือกำเนิดจากโคลนตมก็ไม่แปดเปื้อนสาบดินโคลน
...ในสงครามก็ยังพอมองเห็นสิ่งดีงาม
ใช่มองข้ามความโหดร้ายป่าเถื่อน มนุษย์ใช้ความหวังในการเอาตัวรอดแม้จะเป็นเส้นฟางเส้นหนึ่งก็คว้าจับไว้มั่น แล้วนับประสาอะไรกับ ‘สัตว์อสูร’ กันเล่า
แดนอสูรเป็นหนึ่งในสามภพที่ยังมีเขตแดนใกล้ชิดกับแดนมารมากที่สุด แดนอสูรอันกว้างใหญ่แบ่งพื้นที่ทั้งหมดออกเป็นสามเขต เขตที่เจริญรุ่งเรืองมีอารยะที่สุดเป็นเขตของพนาอสูร รองลงมาเป็นเขตคีรีอสูรและสุดท้าย...
ถูกเรียกขานว่าราบอสูร
ราบอสูรนี้แตกต่างจากสองเขตก่อนหน้า พนาอสูรมีเซียนมากตบะคอยดูแลคุ้มครองทำให้อสูรในเขตบรรลุมีร่างมนุษย์มากมาย ส่วนคีรีอสูรว่ากันว่าผู้ปกครองนั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายทั้งดุดันอำมหิตไม่ต่างจากมาร มีเสียงเล่าลือว่าที่คนผู้นั้นสามารถขึ้นเป็นประมุขได้ก็เพราะมีมารคอยสนับสนุนอยู่ในที่ลับ ดังนั้นอสูรในเขตคีรีอสูรเมื่อมีร่างมนุษย์จึงมักมีอารมณ์ดุร้ายรุนแรง
ส่วนเขตที่สาม...ราบอสูร
ราบอสูรไร้ประมุข ไร้ผู้ปกครองดูแล จึงทำให้เขตนี้ไร้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ไร้ความสามัคคี เผ่าพันธุ์ต่างๆ แก่งแย่งชิงตำแหน่งประมุขอย่างไม่ลดละ ทั้งเผ่าต่างๆ ก็มีพลังทัดเทียมไม่มีเผ่าใดเหนือกว่าเผ่าใดจึงทำให้เขตราบอสูรไร้ความสงบสุข พากันจับอาวุธมุ่งเข้าหาเข่นฆ่าสังหารกันเองวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า วนเวียนไร้สิ้นสุด
ทว่าศึกที่ราบอสูรระหว่างแต่ละเผ่าที่เผชิญมารุ่นแล้วรุ่นเล่า กลับไม่ต่างจากการละเล่นของเด็กน้อยที่ใช้ดาบไม้ฟาดฟันกันอย่างเงอะงะ เมื่อทัพมารเข้าโจมตีเปรียบกับบทเรียนที่ให้อสูรน้อยใหญ่รวมถึงเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในราบอสูรถ่องแท้ถึงคำว่า ‘สงคราม’ อย่างแท้จริง
ทัพมารบุกโถมนับพันหมื่น อสูรตัวเดียวไหนเลยสามารถต้านทานแต่หากเป็นอสูรทั้งหมดในราบอสูรร่วมด้วยก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ศัตรูของศัตรูนั้นคือมิตร แม้ว่าอสูรส่วนมากในราบอสูรจะด้อยปัญญาแต่คำกล่าวนี้พวกมันย่อมพอเข้าใจ
ดังนั้นเมื่อมี ‘ศัตรูอย่างแท้จริง’ โผล่หัวออกมาจากอริก็กลายเป็นสหายร่วมศึก จากศัตรูก็กลายเป็นพวกพ้องที่สำคัญเช่นแขนขา จากจิ้งจอกได้กลิ่นกระต่ายมักกระโจนเข้าหาก็แปรเปลี่ยน เก็บเขี้ยวเก็บกรงเล็บกดสัญชาตญาณสัตว์ป่าไว้ชีวิตกระต่ายตัวน้อยด้วยเหตุผล
หลังจากมารบุกโจมตีอสูรทั้งหมดในราบอสูรก็คล้ายเข้าใจความสำคัญ จัดลำดับเรียงได้อย่างดี ละวางตำแหน่งประมุข หันคมดาบและกรงเล็บที่พุ่งเข้าหากันเบี่ยงไปหาศัตรูที่ควรได้รับ
สัตว์อสูรในราบอสูรไม่ว่าจะหนอนไหมตัวเล็กเท่านิ้วมือหรืออสูรที่ตัวใหญ่โตเช่นภูผาล้วนสำคัญเท่ากัน หนอนไหมเร่งกินใบไม้เผื่อผลิตเกราะป้องกันและเสื้อผ้า กระต่ายตัวน้อยปราดเปรียวมีหน้าที่ขนส่งเสบียงต่างๆ ทั้งจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ก็มีหน้าที่เช่นกุนซือคอยวางแผน อสูรต่างเผ่าพันธุ์ล้วนจัดการและรับหน้าที่ที่ถนัดไปทำอย่างขะมักเขม้นเคร่งครัด
...สงครามอย่างแท้จริงถึงได้เริ่มต้นขึ้น
เสียงผู้คนด้านนอกดังขึ้นเอะอะเสียงโห่ร้องกระหึ่มก้องบดอากาศให้สั่นไหวเสียง ดังจนทำให้คนที่อยู่ลึกสุดในหมู่บ้านได้ยิน เสียงนี้ทำให้คู่แมวคู่น้อยขยับไปมาตามเสียง นางรีบวางตะกร้าสมุนไพรในมือลงลุกพรวดขึ้นด้วยความรีบร้อน ทว่าเพียงแค่ก้าวขากระโดดไปเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นสะท้อนไปทั่วถ้ำหิน
“มาวมาวข้ากลับมา...”
“เจ้าแมวโง่!”
มาวมาวสะดุ้งโหยงกระโดดถอยกรูดออกไปเมื่อเห็นใบหน้าดุดันของไป๋หู่ เกินกว่าที่นางจะได้อ้าปากพูดอะไรมือหนาของเขาก็คว้าหมับจับเข้ากับหูแมวสีส้มขนปุย ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ตะโกนกร้าวใส่หูนาง
“ไยไม่มารับข้า หา!”
มาวมาวอึกอักเลิ่กลั่กอ้าปากพะงาบๆ อยู่นานก็ไม่อาจค้นหาเสียงของตนเองเจอเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขาที่บึ้งตึงดุดันก็กลัวจนฉี่แทบราด...
...ไม่มองดีกว่า
มาวมาวหันขวับเบี่ยงหน้าหนี ดวงตาคู่โตเหลือบมองไปด้านข้างของไป๋หู่ กะพริบตาปริบๆ มองต้าสงดังขอความช่วยเหลือ
ต้าสงยิ้มบางๆ ก่อนยื่นมือเข้าช่วยนางทันที
“ตะโกนใส่หูนางเช่นนั้นหากกลายเป็นแมวหูหนวกก็ย่ำแย่แล้ว”
ไป๋หู่มองมือของต้าสงที่แตะอยู่บนแขนตนจึงได้ถอนใจออกมายอมปล่อยหูปุกปุยสีส้มแต่โดยดี สองมือกอดอกจ้องมองเจ้าแมวโง่ที่กำลังเหงื่อแตกพลั่กๆ พลันอ่อนใจ อยู่กันมานานเพียงนี้ไยถึงยังกลัวตนจนฉี่แทบราดอยู่ทุกวันกัน
“เจ้าเป็นพยัคฆ์ทั้งยังเป็นพยัคฆ์ขาว ส่วนนางเป็นแมวส้มตัวหนึ่ง เป็นแมวธรรมดาไม่ใช่แมวป่าเสียหน่อย หากนางจะกลัวก็ไม่แปลกหรอก” ต้าสงยิ้มกว้างจนตาหยี มองมาวมาวที่เขยิบตัวหลบอยู่ด้านหลังตน ยิ่งเห็นหูแมวส้มบนหัวลู่ตกก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบความปุกปุยด้วยความเอ็นดู
“เขาเป็นหมีไยเจ้าไม่กลัวเขาบ้างเล่า” ไป๋หู่มองต้าสงพลางโคลงหัว โยนกระบี่แขวนไว้บนชั้นวางพร้อมกับปลดเสื้อตัวนอกออก
“ต้าสงกินแมลงกับน้ำผึ้ง...”
เสียงอ้อมแอ้มของมาวมาวที่เอ่ยตอบนี้ทำให้ไป๋หู่อยากจะหัวเราะให้ฟันหลุดร่วงแต่เมื่อเห็นสายตาปรามของต้าสงที่มองมาก็ได้แต่ไหวไหล่ครั้งหนึ่ง บ่นอุบอิบ
“แล้วข้าเคยกินแมวที่ใดกันเล่า...”
...จริงๆ แล้วพยัคฆ์ขาวเช่นตนก็ยังไม่มั่นใจที่จะล้มหมีตัวใหญ่เช่นต้าสงได้เต็มสิบส่วน ในสนามรบผู้อื่นใช้กรงเล็บหรืออาวุธเพื่อเด็ดหัวมาร ไม่เว้นแม้แต่ตนที่ต้องใช้กระบี่แต่ต้าสงใช้เพียงฝ่ามือก็ฟาดหัวศัตรูให้แยกจากตัวได้แล้ว
...นับเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว