ไฮโซจอมปลอม (假贵族)-28.ฉันรู้แล้ว!

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

ไฮโซจอมปลอม (假贵族)

28.ฉันรู้แล้ว!

เขาอยากจะกดโทรศัพท์ถามหยางเวยว่าที่เธอส่งมาให้คืออะไรกันแน่ แต่เพราะทิฐิทำให้เขายั้งตัวเองไว้ได้ทัน และรู้สึกว่าการที่เขาถามหยางเวยว่ารูปภาพเหล่านี้เธอต้องการจะสื่อความหมายอะไร เป็นเรื่องที่ขายหน้ามาก

เขาเดินไปมาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งรูปภาพพวกนี้ให้เจียงฮวายอัน

เจียงฮวายอันกำลังอ่านรายงาน จู่ๆ ก็มีสติกเกอร์ส่งมาหาเขายาวเหยียด ทำให้เขางุนงงอยู่เล็กน้อย

เซี่ยจิวจิวชอบส่งภาพสติกเกอร์ แต่ในบรรดากลุ่มเพื่อนของพวกเขาไม่ค่อยมีใครส่งสติกเกอร์โต้ตอบกันสักเท่าไหร่

เขาจึงฉงนเมื่อไฮโซผู้ถูกเลี้ยงดูแบบคุณชายอย่างซ่งเจ๋อส่งสติกเกอร์ให้เขา เจียงฮวายอันส่งรูปแมวที่มีเครื่องหมายคำถามขึ้นอยู่เต็มไปหมด ถามว่า “ทำอะไรน่ะ?”

“ไอ้เจียง” ซ่งเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยถามว่า “นายคิดว่าไอ้รูปพวกนี้มันเป็นข้อสอบหรือเปล่าวะ?”

“???”

“หยางเวยส่งมาให้ฉัน บอกกับฉันว่าเธอเป็นนักประชันสติกเกอร์มืออาชีพระดับแปด หมายความว่าไงวะ?”

พอเห็นประโยคนั้นเจียงฮวายอันก็แทบสำลักน้ำลาย

เขาส่งข้อความตอบไปว่า “โทษทีนะ”

เซี่ยจิวจิวต้องเป็นคนสอนหยางเวยแน่

เจียงฮวายอันไม่นึกสงสัยเลย

เจียงฮวายอันใช้ความพยายามอย่างมากในการอธิบายให้ซ่งเจ๋อเข้าใจว่า อะไรคือสติกเกอร์และภาพเคลื่อนไหว แล้วยังส่งสติกเกอร์ที่ใช้กันบ่อยๆ ไปให้ซ่งเจ๋อ

หลังจากที่ทั้งสองใช้เวลาตลอดบ่ายเพื่อเรียนรู้เรื่องนี้จนซ่งเจ๋อสบายใจ ในที่สุดเขาก็เข้าใจหยางเวยขึ้นมาอีกเรื่อง

คืนนั้นเขาตั้งใจเลื่อนงานทุกอย่าง วางดอกไม้ไว้บนรถ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ดูขายหน้าอยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้บอกให้ใครรู้ และแอบขับรถไปรอที่หน้าตึกของหยางเวยอย่างเงียบๆ

เขานั่งอยู่ในรถ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไปที่ห้องแชตของหยางเวย เขารู้สึกแปลกๆ ในใจ เพราะคิดว่าการกระทำเหล่านี้ช่างน่าขายหน้าเหลือเกิน แต่พอคิดว่าหยางเวยจะกลับมา ความยินดีก็ดูจะบดบังความรู้สึกอื่นไปเสียสิ้น

แม้หยางเวยจะไม่ตอบในทันที แต่เขากลับรู้สึกว่าด้วยนิสัยของหยางเวย เธอคงจะไม่จากบ้านตระกูลซ่งไปจริงๆ

เขาเคยคิดว่าทำไมหยางเวยจะต้องชวนทะเลาะ คงเป็นเพราะเมื่อสามปีก่อนเขามัวแต่ยุ่งกับงานจนละเลยเธอ และคงเป็นเพราะสามปีมานี้เขามีข่าวฉาวจนทำให้เธอไม่พอใจ หรือไม่ก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่อารมณ์ร้ายเหลือเกิน...

เขาพยายามหาเหตุผลมากมายที่ทำให้หยางเวยจากเขาไป ทบทวนดูแล้วเขาจะยอมถอยให้เธอสักก้าว เพราะอย่างไรหยางเวยก็เป็นภรรยาเขา...

พอคิดถึงตรงนี้เขาก็หลุบตาลง นัยน์ตาเผยแววอ่อนโยนเล็กน้อย นิ่งมองกุหลาบที่วางอยู่ในกล่องดำพิมพ์ลายทอง เขาเม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มแห่งความยินดี

ส่วนหยางเวยในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้อง เธอทำกับข้าวให้ตัวเอง พอกินข้าวเสร็จก็เริ่มไลฟ์สด

คืนนี้มีคนใหม่เข้ามาดูไลฟ์สดจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการโปรโมทของรายการแข่งขันด้านภาษา แม้ว่าวันนี้จะเป็นเพียงการคัดตัวของผู้เข้าแข่งขัน แต่ก็มีคนจำนวนมากเข้ามาดูการไลฟ์สดของเธอ วิดีโอของผู้เข้ารับการคัดเลือกหลายคนถูกเผยแพร่ออกไปจนโด่งดัง หยางเวยถือเป็นผู้เข้าแข่งขันที่มีความโดดเด่นก็เริ่มมีคนถ่ายภาพหน้าจอตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มไลฟ์สด

เมื่อกลางวันหยางเวยได้แสดงทอล์กโชว์ คืนนั้นเธอจึงรู้สึกเหนื่อย การพูดทอล์กโชว์ถือเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังไม่น้อย ดังนั้นเธอจึงเพียงนั่งสนทนากับทุกคนไปเรื่อยๆ

เธอไม่ได้แต่งหน้า ปล่อยผมสยาย ทั้งยังสวมชุดนอนที่มีหูกระต่าย โดยรวมดูสะอาดสะอ้านมาก

เธอหยิบอูคูเลเลออกมาและสอนทุกคนเล่น เธอเคยเรียน
เชลโลมาสิบปี ฉะนั้นการเรียนอูคูเลเลจึงทำได้อย่างรวดเร็ว จากที่เล่นไม่เป็นเพียงไม่นานก็เล่นได้คล่อง จากเพลงพื้นฐานของเด็กอนุบาลมาสู่เพลงรักที่ร้องกันติดหู

เธอนั่งร้องเพลงอยู่ในห้อง ซ่งเจ๋อก็นั่งรอเธออยู่ข้างล่าง

แสงไฟในเมืองหลวงยังคงสว่างไสว แต่ผู้คนโดยรอบค่อยๆ บางตา ในตอนแรกซ่งเจ๋อตั้งตารอด้วยความยินดีอย่างยิ่ง จนถึงเวลาสองทุ่ม สามทุ่ม

สี่ทุ่ม...

เขาเริ่มจุดบุหรี่และนั่งอยู่ในรถ ไม่รู้ด้วยเหตุใด จู่ๆ ก็ย้อนนึกถึงสมัยที่เป็นวัยรุ่น

ตอนนั้นเขาตาแดงก่ำ ขบกรามแน่นและถามหยางเวยว่า “เธอจะไปกับฉันไหม?”

หยางเวยยืนอยู่ข้างหลังจ้าวหยางหลาน ตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนอาอี๋”

“เธอจะอยู่เป็นเพื่อนอาอี๋” เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้น และเอ่ยด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “เธอจะไม่ไปเป็นเพื่อนฉันหรือ?”

เธอรู้ไหมว่าถ้าเขาไปก็จะไปหลายปี

เธอรู้ไหมว่าเขาอาจจะไปโดยที่ไม่มีวันได้กลับมาอีก

เธอจะไม่คิดถึงเขา ไม่อยากแยกจากเขา และไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนเขาบ้างเลยหรือ?

เขามีคำถามมากมายที่อยากเอ่ยถาม แต่เพราะทิฐิในใจจึงเลือกที่จะถามเพียงประโยคเดียวว่า “เธอจะไม่ไปใช่ไหม?”

พลางคิดในใจว่าถ้าเธอไม่ไป ชาตินี้เขาจะไม่มีวันให้อภัยเธอ

ในตอนนั้นเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

ความรักที่แปดเปื้อนแฝงไปด้วยเงื่อนไขมากมาย เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

แม้เมื่อโตขึ้นเขาจะเข้าใจแล้วว่าความคิดนั้นของเขาช่างงี่เง่าและน่าขัน คงเป็นเพราะสมัยวัยรุ่นคิดว่าถ้าได้รักใครก็ต้องรักจนหมดทั้งหัวใจ ทำให้ความเจ็บปวดนั้นสลักลึกฝังแน่น แม้จะผ่านไปหลายปี แต่เมื่อย้อนทบทวนก็ยังรู้สึกว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นยังคงอบอวลอยู่ในใจ

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กล้าชอบใครอีก

แม้ว่าตนจะพยายามทุ่มเทความรักและความจริงใจทั้งหมดที่มีให้ แต่ท้ายสุดแล้วก็ยังถูกหักหลังอย่างน่าสมเพช และกลายเป็นว่าเขาคิดไปเองฝ่ายเดียว

เขารออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน

พอเที่ยงคืนหยางเวยก็ร้องเพลงสุดท้าย ส่วนซ่งเจ๋อดับก้นบุหรี่ในมือ

ถ้าเป็นสมัยวัยรุ่นเขาคงโทรศัพท์ไปถามว่า “ทำไมเธอถึงไม่โทรหาฉัน?”

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ปีนี้เขาอายุยี่สิบห้า เขาเพียงแต่หักพวงมาลัยรถไปใกล้ถังขยะแล้วทิ้งดอกไม้ที่เตรียมมาลงไปอย่างไม่ไยดี

ในตอนนั้น หยางเวยกำลังร้องเพลง

[ความรักที่เธอมอบให้ทำไมต้องเสแสร้ง

ฉันต้องแกล้งแสดงอย่างไรจึงจะคู่ควร

ที่แท้สิ่งนั้นสิ่งนี้ที่มีเมื่อลารัก ล้วนมีวันสิ้นสุด]



เมื่อหยางเวยตื่นขึ้นในวันถัดมาเธอก็ดูเรตติ้งของตัวเอง

เมื่อวานเรตติ้งเธอดีมาก ติดอันดับก่อนห้าสิบทุกรายการ ถือว่าเข้าเงื่อนไขของเซี่ยงเหวยได้โดยสมบูรณ์ เช้าตรู่วันนั้นเธอจึงรีบโทรหาเซี่ยงเหวย เล่าถึงผลงานของตัวเองอย่างจริงจัง เธอวิเคราะห์แพลตฟอร์มการไลฟ์สดและวิเคราะห์การตลาดไปด้วย แต่ดูเหมือนเซี่ยงเหวยกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ จึงฟังเธอเพียงผ่านๆ ประมาณสิบกว่านาที จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ผมรู้แล้ว รายละเอียดอื่นๆ คุณส่งมาทางอีเมลก็พอ”

พูดจบก็วางสาย หยางเวยนึกสนุกจึงนำเรตติ้งตัวเองในแต่ละรายการมาเรียบเรียงเป็นพาวเวอร์พอยต์และแนบส่งไปให้เซี่ยงเหวย

พอเซี่ยงเหวยวางสาย จึงหันไปมองสูหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “นายบอกว่าบอสใหญ่ของซ่งซื่อกรุ๊ปมาดูแลพวกเราเองอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“บ่ายวันนี้ก็จะมาทำงานแล้ว” สูหลินกดเสียงให้เบาลง“ฉันได้ยินมาว่าพอบอสซ่งกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัทเราก็ออกประกาศปลดบอสเกาทันที บอสเกาเลยร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงหวังจะเล่นตุกติก แต่บอสซ่งก็จัดการกวาดล้างพวกนั้นจนราบคาบ ตอนนี้ยังไม่มีใครเหมาะสมกับการขึ้นดำรงตำแหน่งซีอีโอ บอสซ่งก็เลยต้องมาทำหน้าที่แทน บ่ายวันนี้น่าจะมีคนต้องออกอีกกลุ่มใหญ่เลย”

“พวกเราคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เซี่ยงเหวยถามอย่างไม่มั่นใจ สูหลินถอนหายใจและเอ่ยว่า “ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ ช่างเถอะทำรายงานผลการทำงานต่อดีกว่า”

ขณะที่คนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น ซ่งเจ๋อก็มาถึงที่จอดรถของบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์

เขานั่งพักอยู่บนรถครู่หนึ่ง พอรู้สึกว่ารถจอดจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อคืนเขานอนหลับไม่เต็มอิ่ม จึงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง

เกาหลินเห็นท่าทางของเขาก็ถอนหายใจเบาๆ และเอ่ยว่า“คุณผู้ชายครับ อันที่จริงจะให้ต่งเกาอยู่อีกสักพักหนึ่งก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะครับ พอเราหาคนที่เหมาะสมได้ ค่อยให้มาดำรงตำแหน่งในขณะที่สถานการณ์สงบไม่ดีกว่าหรือครับ?”

“ไม่ได้หรอก” ซ่งเจ๋อลุกขึ้นและเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เก็บเขาเอาไว้ต่อไปคงได้มีแต่ปัญหาแน่”

เขาพูดพลางเดินเข้าไปในบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์

เขาเริ่มจากการเรียกผู้บริหารระดับสูงทุกคนมาประชุม คนไหนควรไล่ออกก็ให้ออก คนไหนควรให้รางวัลก็ให้

ผ่านไปสองชั่วโมงหลังเลิกประชุม คนในบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ที่เมื่อก่อนเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงเดินออกมาเก็บสัมภาระของตัวเอง

เซี่ยงเหวยมองสูหลินด้วยสายตาที่ค่อนข้างวิตกกังวล เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่และเอ่ยว่า “สูหลิน ถ้าฉันถูกไล่ออก ฉันจะขอยืมเงินนาย...”

“ไม่” สูหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา จนเซี่ยงเหวยต้องหยุดคำพูดที่เหลือเสีย

หลังจากกำจัดคนออกไปเรียบร้อย เขาก็แต่งตั้งคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซ่งเจ๋อได้อ่านประวัติของคนในบริษัทต้าหมี่เอ็นเตอร์เทนเมนต์จนครบทุกคน เขาจึงเรียกคนที่น่าสนใจมาคุยด้วยรอบหนึ่ง พอทุกคนเห็นเพื่อนร่วมงานถูกเรียกเข้าไปคุยทีละคนๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียด บรรยากาศนี้ดำเนินไปจนใกล้ถึงเวลาเลิกงาน จู่ๆ เกาหลินก็เรียกเซี่ยงเหวยเข้าไปด้านใน เซี่ยงเหวยกลืนน้ำลายลงคอด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะเรียบเรียงเอกสารของตนเองให้เรียบร้อย และเดินเข้าไปในห้องทำงานของซ่งเจ๋อ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว