เมื่อถึงบ้านหยางเวยก็ตรงเข้าไปที่ห้องนอนของเธอ นี่เป็นห้องที่เธอนอนสมัยเรียนมัธยม แต่หลังจากแต่งงานเธอก็ไม่ค่อยมานอนห้องนี้อีก ในห้องมีข้าวของที่หยางเวยใช้สมัยเรียนมัธยม เธอเดินไปที่ตู้และพลิกหาของบางอย่าง ซ่งเจ๋อเดินตามอยู่ข้างหลัง
ตั้งแต่ออกมาจากสำนักทะเบียนทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอีก ซ่งเจ๋อเริ่มอารมณ์เย็นลงและลองพยายามดึงดันเป็นครั้งสุดท้าย เขายืนอยู่หน้าประตูและนิ่งมองเธอหาของบางอย่าง
“หาอะไรหรือ?” เขาเอ่ยถาม
หยางเวยตอบซ่งเจ๋อที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอว่า “อ้อ หาสมุดน่ะ”
เธอเขย่งเท้าหยิบสมุดสองสามเล่มออกมา ซ่งเจ๋ออยากจะเข้าไปช่วยแต่หยางเวยเร็วกว่า เธอหยิบสมุดพวกนั้นออกมา มีกระดาษปึกหนึ่งหล่นลงมาด้วย หยางเวยยื่นมือลงไปเก็บ แต่ซ่งเจ๋อจับกระดาษไว้ได้ก่อน กระดาษแผ่นนั้นเป็นภาพวาดของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นภาพของซ่งเจ๋อในวัยสิบสี่ มีช่วงหนึ่งที่หยางเวยเรียนวาดภาพเหมือนจ้าวหยางหลานบอกว่าวิชาศิลปะไม่ต้องเก่งมากก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีพื้นฐานบ้าง
ตอนนั้นซ่งเจ๋อยังเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ดวงหน้าและแววตาแฝงความหยิ่งทะนง ส่วนฝีมือการวาดของหยางเวยก็เป็นแบบมือใหม่ ทั้งภาพจึงปรากฏลายเส้นอย่างผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการวาด มือของคนทั้งสองสัมผัสกันบนภาพ วินาทีนั้นเหมือนเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ซ่งเจ๋อรู้สึกคล้ายในใจมีสายลวดสปริงถูกดีดจนสั่นไหว จากนั้นครู่ใหญ่เขาจึงค่อยคืนกระดาษในมือให้กับเธอ “ผมกลับไปคิดแล้วล่ะ” เขาก้มหน้าและทำน้ำเสียงสงบนิ่ง “พวกเราไม่จำเป็นต้องหย่า ชีวิตคู่ของพวกเรา คุณไม่พอใจตรงไหนเรามานั่งคุยกันดีๆ ได้ คุณไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้ยินประโยคนี้จากปากของเขา
ในความสัมพันธ์ของกันและกัน เขาไม่เคยก้มหัวให้ใครก่อน พอหยางเวยพูดถึงเรื่องการหย่า เขาจึงคิดจะทำเป็นปล่อยผ่านเหมือนไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงค่อยขัดขืน ลงเอยด้วยการโมโห
เขาไม่เคยก้มหัวให้เธอมาก่อน
ในตอนที่เขาเห็นภาพวาดภาพนั้น ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ฉันผัวเมียใช่ว่าจะยอมกันไม่ได้เสียทีเดียว
แต่หยางเวยกลับหัวเราะและส่ายหน้า “อย่าดีกว่า ฉันคิดไว้นานแล้ว ฉันไม่ได้ตัดสินใจเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คุณดูสิ ฉันวางแผนทางเดินให้คุณเอาไว้หมด เราจากกันด้วยดีขนาดนี้ แทบไม่มีผลกระทบอะไรต่อคุณเลย เมื่อก่อนคุณก็ไม่เคยประกาศถึงการมีตัวตนของฉันอยู่แล้ว หากเรื่องนี้คุณไม่แจ้งให้ใครรู้ ก็คงไม่มีผลอะไรสักเท่าไหร่ อีกอย่างอนาคตของฉัน ฉันก็คิดไว้ดีแล้วเหมือนกัน” หยางเวยเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างที่ชอบทำเสมอมา เธอหยิบสมุดและเอ่ยกับเขาว่า “ฉันเก็บของไปหมดแล้ว ลืมก็แค่ของพวกนี้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบหยางเวยก็เดินผ่านร่างเขาและออกจากห้องไปในตอนนั้นเองซ่งเจ๋อก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณคิดจะทำอะไรต่อล่ะ?”
หยางเวยหันกลับมามองเขา ซ่งเจ๋อยังคงมีแววตาราบเรียบ เขาเอ่ยต่อไปว่า “คุณบอกว่าปูทางไว้ให้ผมดี แล้วอนาคตของคุณล่ะ คุณคิดจะทำอะไร คุณใช้ชีวิตเป็นคุณนายซ่งอย่างสุขสบายจนเคยชิน พอออกจากที่นี่ก็ไม่เอาเงินไปแม้แต่แดงเดียว คุณจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร คนไม่เคยลำบากจะไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากได้หรือ ต่อไปคุณจะหาตระกูลที่ดีกว่าตระกูลซ่งก็คงไม่ง่าย ตรงนี้รู้ใช่ไหม?”
เมื่อหยางเวยได้ยินประโยคนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ
“เรากำลังจะแยกกันแล้ว” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณพูดกับฉันดีๆ หน่อยเถอะ”
“พูดดีๆ หรือ?” ซ่งเจ๋อเอ่ยเยาะ “นี่ผมยังจะต้องอวยพรให้คุณมีความสุขอย่างนั้นหรือ คำพูดที่ขัดกับความเป็นจริงขนาดนั้นผมพูดไม่ได้หรอก ถ้าออกจากตระกูลซ่งไป” ซ่งเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณไม่มีทางมีชีวิตที่ดีไปกว่านี้ได้แน่”
เขาเอ่ยอย่างหนักแน่น แต่กลับรู้ดีว่าประโยคนี้รุนแรงเกินไป
ผู้หญิงอย่างหยางเวย แม้จะออกจากตระกูลซ่งไปโดยไม่เอาอะไรไปแม้แต่แดงเดียว เธอก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้
เขาไม่แน่ใจหรอกว่าหลังจากที่หยางเวยออกจากตระกูลซ่งไปจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่ แต่เขามั่นใจว่าการจะหาคุณนายซ่งแบบหยางเวยนั้นหายากยิ่ง
แต่ประโยคพวกนี้จะพูดออกไปไม่ได้ เขาเพียงนิ่งมองเธอเงียบๆ
หยางเวยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะบ่าซ่งเจ๋อ
“เอาเถอะ” เธอเอ่ย “คุณไม่พูดดีๆ กับฉันก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะพูดกับคุณดีๆ ซ่งเจ๋อ” เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอให้คุณมีชีวิตที่ดีและมีความสุขก็แล้วกันนะ”
มือของซ่งเจ๋อสะท้านเล็กน้อย เขาหลุบตาลง ส่วนหยางเวยก็นิ่งมองเขา ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีเหลือเกิน แค่ยืนนิ่งๆ ก็ทำให้เขาดูน่าสงสารโดยไม่รู้ตัว หยางเวยสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะดึงมือกลับและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันซาบซึ้งใจในบุญคุณของอาอี๋และบุญคุณของตระกูลซ่ง พวกคุณมอบพื้นฐานชีวิตที่ดีที่สุดให้กับฉัน ให้ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายและทำให้ชีวิตฉันมีทางเลือกมากขึ้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ขอบคุณสำหรับการดูแลของพวกคุณนะคะ”
พูดจบหยางเวยก็โค้งตัวให้ซ่งเจ๋อ จากนั้นเธอก็มองเขาด้วยแววตาราบเรียบและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “และด้วยเหตุนี้ฉันจึงพยายามประคับประคองพวกคุณอย่างมุ่งมั่นมาเป็นเวลาหลายปี
ในที่สุดวันนี้เราทั้งสองก็ไม่มีอะไรติดค้างกัน”
สายลมจากประตูใหญ่พัดเข้ามาด้านใน ผมยาวสยายของหญิงสาวเคลื่อนมาระใบหน้า เธอแย้มยิ้มอย่างผ่อนคลายและอ่อนโยน ก่อนจะก้าวไปเบื้องหน้าและกอดเขาเบาๆ เป็นอ้อมกอดที่ทั้งนุ่มนวลและกระชับแน่น เธอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาแต่แฝงความเด็ดขาด“ลาก่อน ซ่งเจ๋อ”
พูดจบเธอก็ถือสมุดไว้ในมือและเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
ซ่งเจ๋อยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเธอ เขารู้สึกคล้ายมีเข็มนับพันทิ่มแทงหัวใจ เข็มเหล่านั้นปักลึกลงไปในเนื้อ นั่นไม่ใช่ความรู้สึกเจ็บปวดจนถึงขั้นทุรนทุรายหรือไม่อาจทนได้ แต่เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่แน่นหนึบ นิ่งอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานก็ไม่อาจจางหาย
ผ่านไปครู่ใหญ่ป้าหลินจึงเดินขึ้นบันไดมาและถามด้วยท่าทีลังเล “คุณผู้ชายคะ คุณผู้หญิงออกไปข้างนอกแถมไม่ให้ใครไปส่งพวกคุณทะเลาะกันหรือเปล่า?”
ซ่งเจ๋อจึงค่อยดึงสติกลับมา น้อยครั้งนักที่ใบหน้าเขาจะไม่ปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งอย่างที่ชอบทำ เขาเพียงพยักหน้าตอบและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ซ่งเจ๋อเดินไปยังห้องน้ำ เขายืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้าและวิดน้ำขึ้นล้างหน้า ด้วยหวังจะให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง
เขาคิดว่าพื้นอารมณ์ของตนในวันนี้ช่างประหลาดเหลือเกินที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าตัวเองเกลียดผู้หญิงคนนี้ แต่วันที่เธอตัดสินใจจากไปจริงๆ จู่ๆ เขาก็คิดถึงภาพของเธอในช่วงแรกที่ได้เจอกัน
ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็เติบโตมาขนาดนี้ จะย้อนคิดถึงเวลาที่ดีที่สุดเหล่านั้นไปทำไม
เขาพยายามทำให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง ผู้ช่วยเกาหลินก็เคาะประตูและเดินเข้ามาด้านใน เขารายงานภารกิจที่จะต้องทำต่อจากนี้ เมื่อพินิจมองซ่งเจ๋อ เกาหลินก็เอ่ยด้วยความลังเล “คุณผู้ชายครับ คุณดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ หรือจะให้เลื่อนไปก่อนดีครับ?”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก” เขาหยิบผ้าที่วางอยู่ด้านข้างมาเช็ดหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องแค่นี้เอง” ซ่งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเกาหลินและถามว่า “คุณผู้หญิงไปไหนรู้ไหม?”
เกาหลินนิ่งไปเล็กน้อย ซ่งเจ๋อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายไม่ได้ให้ใครตามไปหรือ?”
เกาหลินจึงค่อยรู้ตัวและรีบตอบ “ผมจะให้คนตามไปเดี๋ยวนี้ครับ คุณผู้หญิงเดินออกจากบ้านไปคนเดียว เธอคงไปได้ไม่ไกล ตามไปตอนนี้ก็น่าจะทัน”
“ใครสั่งให้นายตาม!” ซ่งเจ๋อรีบเอ่ยตัดบท จากนั้นก็พูดว่า“ไปสืบหน่อยว่าเธอจะทำอะไรต่อ แล้วให้คนคอยดูแลความปลอดภัย ถึงจะหย่ากันแต่เธอก็เป็นคนที่เดินออกไปจากตระกูลซ่ง ถ้าแม่รู้เข้าคงได้โกรธฉันแน่”
“ครับ” เกาหลินพยักหน้าและไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซ่งเจ๋อยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกครู่ใหญ่ เกาหลินจึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “คุณผู้ชาย อันที่จริงก็ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกครับคุณผู้หญิงก็แค่วู่วามไปตามอารมณ์ คงโกรธที่คุณไปมีข่าวลือกับคนข้างนอก คุณผู้หญิงมีนิสัยอย่างไรคุณก็รู้ดี เวลาอยู่ที่บ้านก็ทำอะไรก๊อกๆ แก๊กๆ ไปเรื่อยและไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนข้างนอกเท่าไหร่ ถ้าออกไปใช้ชีวิตคนเดียว ได้เผชิญความลำบากสักระยะ เดี๋ยวก็กลับมาเองล่ะครับ”
เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่นึกหยันในใจ เกาหลินพูดความจริง ชีวิตที่หรูหราสุขสบายของหยางเวยไม่ใช่ว่าครอบครัวทั่วไปจะเลี้ยงดูได้ ปกติเธอก็ไม่ชอบติดต่อกับใคร ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวไม่กี่วัน หมดเงินแล้ว อยู่แบบคนธรรมดาไม่ได้ เดี๋ยวก็กลับมาเอง
เธอใช้เวลาตั้งหลายปีเพื่อพาตัวเองปีนขึ้นไปยังจุดสูงสุด จู่ๆ ก็ตกลงมา จะให้เธอยืนอย่างมั่นคงได้อย่างไร
ไม่ช้าหรือเร็วเดี๋ยวก็กลับมา
ไม่ช้าก็เร็วเธอจะเข้าใจว่า อันที่จริงตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาสองคนคือคู่ที่เหมาะสมที่สุด
แต่ถึงกระนั้นใจเขาก็ยังนึกหวั่น
สักพักก็นึกขึ้นได้ ซ่งเจ๋อเพิ่งตระหนักว่าตัวตนของหยางเวยที่เขารู้จักก่อนหน้านี้ ช่างต่างกับสิ่งที่เขาคิดลิบลับ
หยางเวยบอกว่าลาก่อน ก็คือการจากลาจริงๆ
เธอกล่าวลาทั้งอดีตและกล่าวลาตัวเขา
เขารู้ดีแต่ก็จนปัญญา ดังนั้นจึงทำได้เพียงหลอกตัวเองซ้ำๆ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว