เขาเอ่ยว่า “วันนี้ผมคงอารมณ์ดีทั้งวันแน่เลย”
“ดีแล้วค่ะ” หยางเวยตอบด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ฉันจะออกไปเที่ยวข้างนอก คุณว่าฉันควรไปไหนดี?”
“ไปดูหนังสิ” โจวเหวินทบทวนแล้วเอ่ยว่า “หนังเรื่องบอกรักคุณเป็นหมื่นครั้งเข้าโรงแล้ว คุณจะไปดูหรือเปล่า?”
พูดจบโจวเหวินก็นึกเสียใจ
หลังจากหยางเวยเห็นข้อความของเขา เธอก็ตาเป็นประกาย
“คุณหมายถึงหนังที่ไอดอลฉันแสดงด้วยงั้นหรือ?” เธอเอ่ยด้วยความยินดี “ฉันก็ต้องไปดูอยู่แล้ว วันนี้ฉันจะไปเหมาโรงเลย”
โจวเหวินยกมุมปากยิ้ม ดวงตาวิบวับเป็นประกายด้วยความยินดีและเอ่ยว่า “ดีเลย ดูให้สนุกนะ”
“แล้วก็..” โจวเหวินทบทวนเล็กน้อยก่อนจะพิมพ์บอกไปว่า “เรื่องไลฟ์สดก็เอาแค่พอหอมปากหอมคอนะ เพราะอย่างไรชีวิตก็เป็นของคุณ”
หยางเวยนิ่งไปเล็กน้อย ครู่หนึ่งเธอจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้ค่ะ”
พอโจวเหวินออกจากห้องถ่ายทอดสด หยางเวยก็หมดความสนใจเรื่องอื่นอีก เธอวางเชลโลลง กินโจ๊กยามเช้า จากนั้นก็เสิร์ชหาภาพยนตร์เรื่องบอกรักคุณเป็นหมื่นครั้งที่โจวเหวินแสดง
ปีนี้โจวเหวินอายุยี่สิบแปดปี เขามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุสิบห้าปี เข้าวงการด้วยการเป็นนักร้อง ท้ายสุดตอนอายุยี่สิบปีก็ได้รับรางวัลในฐานะนักแสดง ตอนนี้ผ่านไปแล้วสิบสามปี ดาราที่โด่งดังในช่วงเวลาเดียวกันกับเขาต่างตกกระแสไปเสียเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงเขาที่ยังคงความนิยมไว้ได้และกลายเป็นดาวค้างฟ้า เปลี่ยนตัวเองจากการเป็น
ไอดอลตามกระแสขึ้นมาเป็นนักแสดงผู้มากความสามารถได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขายังอายุไม่มากนักแต่กลับมีอิทธิพลอย่างมากในวงการภาพยนตร์
หยางเวยชอบเขาตั้งแต่เธออายุสิบสี่ปี เพียงแต่การตามไอดอลดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนส่วนใหญ่ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอจึงแอบตามเขาอยู่เงียบๆ แอบชอบโดยที่ไม่ให้ใครรู้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ในที่สุดเธอก็สามารถติดตามศิลปินที่ชอบได้อย่างเปิดเผย สนับสนุนไอดอลของเธอได้โดยไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆช่างดีเหลือเกิน
เธอดูหนังเรื่องนั้นตั้งสามรอบ จนกระทั่งรู้สึกหิวจึงกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม เพิ่งถึงบ้านได้ไม่นานก็ได้รับโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าที่ทักทายเธออย่างเป็นกันเองว่า “สวัสดีครับ คุณสวีตเวยเวยใช่ไหมครับ?”
สวีตเวยเวยเป็นชื่อที่ใช้ในการไลฟ์สดของเธอ หยางเวยนิ่งไปเล็กน้อยและพยักหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ”
“ผมคือเซี่ยงเหวย มาจากฝ่ายเอเจนซี่ของแอปพลิเคชันไลฟ์สดเหมียวเหมียวนะครับ คืออย่างนี้ครับ คุณยังไม่มีสังกัดค่ายไหนใช่ไหมครับ?”
หยางเวยได้ยินเซี่ยงเหวยว่าอย่างนั้นก็พอจะเดาเจตนาของเขาได้ จึงเพียงตอบว่า “ค่ะ ยังไม่มีค่ะ”
“พวกเราชื่นชมในความสามารถของคุณมากเลยครับ จึงอยากเชิญมาเซ็นสัญญากับทางค่าย คุณคิดว่าอย่างไรครับ?”
“คุณส่งสัญญามาก่อนก็แล้วกันค่ะ” หยางเวยตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างลังเล เซี่ยงเหวยรับคำด้วยความยินดีก่อนจะวางสาย แล้วรีบเพิ่มเป็นเพื่อนในคิวคิวของเธอ และส่งรายละเอียดสัญญาให้หยางเวย
หยางเวยไม่ได้เปิดสัญญาออกอ่านในทันที เธอดูมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
การเป็นสตรีมเมอร์ถือเป็นอาชีพที่เธอเข้ามาลองทำ เธอก็แค่อยากชิมลางดูเท่านั้น แต่ถ้าเซ็นสัญญาสังกัดค่าย ก็แปลว่าเธอจะต้องยึดอาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก
แต่เธออยากเดินในเส้นทางนี้จริงๆ หรือ
เธอเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง แม้ว่าในใจจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ด้วยความเคยชินที่มีมาหลายปีทำให้เธอรู้ว่า ถ้าต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งใหญ่ ควรจะคิดให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ
ทบทวนอยู่สักพักก็เริ่มรู้สึกหิว จึงสั่งไก่ตุ๋นมะพร้าวให้มาส่งที่ห้อง
หลังจากเปิดประตูเข้ามา ชายส่งอาหารก็ยื่นนมให้เธอหนึ่งแพ็ก หยางเวยมองเขาด้วยความประหลาดใจ ฝ่ายนั้นกลับตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เอ่อ คุณสั่งอาหารจนขึ้นเป็นลูกค้าวีไอพีแล้วครับ ดังนั้นพวกเราก็เลยมอบนมให้คุณหนึ่งแพ็ก กินให้อร่อย มีความสุขมากๆ นะครับ ไม่มีปัญหาไหนในชีวิตที่ไม่มีทางออก สู้ๆ นะครับ”
ประโยคนั้นทำให้หยางเวยนิ่งไปครู่ใหญ่ ดูเหมือนชายส่งของจะกลัวเธอมาก เขาส่งไก่ตุ๋นมะพร้าวและนมให้เธอเสร็จก็รีบจากไปทันที
หยางเวยถือไก่ตุ๋นมะพร้าว ทั้งยังหิ้วแพ็กนมด้วยความงุนงงคล้ายจับต้นชนปลายไม่ถูก พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เธอดูเหมือนคนใช้ชีวิตอาภัพขนาดนั้นเลยหรือ แม้แต่คนที่มา
ส่งอาหารให้เธอเป็นประจำยังรู้สึกได้ถึงขนาดนั้นเชียว
เธอมีท่าทีงุนงงก่อนจะถือไก่ตุ๋นมะพร้าวไปวางไว้บนโต๊ะ เปิดฝาและหยิบถ้วยออกมา
วันนี้เธอไม่ได้ไลฟ์สด นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เธอกินข้าวโดยไม่ถ่ายทอดสดไปด้วย เธอเทอาหารลงในถ้วยเซรามิกแล้วใส่เครื่องปรุงตามชอบ ขณะที่กำลังจะเริ่มกินเธอก็เห็นนมแพ็กนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ
ตอนเป็นเด็กเธอชอบกินนมยี่ห้อนี้มาก เมื่อก่อนพอแม่ตีเธอเสร็จก็จะซื้อเครื่องดื่มประเภทนี้มาปลอบใจเธอ ตอนหลังพอย้ายเข้ามาอยู่บ้านตระกูลซ่ง จ้าวหยางหลานรู้สึกว่าเครื่องดื่มประเภทนี้ค่อนข้างหวาน ไม่ดีต่อสุขภาพเธอจึงไม่ได้กินอีกเลย จนกระทั่งมีครั้งหนึ่งที่เธอแอบอ่านนิยายและถูกจ้าวหยางหลานเห็นเข้า แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่และจ้าวหยางหลานเองก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่เป็นตัวเธอเองที่นึกหวั่นและกลัว ทั้งยังรู้สึกผิดและเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป หลากหลายอารมณ์ปนเปกัน ดังนั้นในขณะที่เธอเดินทางไปโรงเรียนเลยแอบร้องไห้
ซ่งเจ๋อซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ รำคาญเสียงร้องไห้ของเธอ จึงเงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า “มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไรถึงต้องร้องไห้ขนาดนั้นเชียว”
เธอไม่กล้าเล่าจึงเพียงแต่พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ ซ่งเจ๋อปิดหนังสือในมือจนเกิดเสียงดัง จู่ๆ ก็สั่งให้คนขับหยุดรถแล้วก็ลงจากรถไปเพียงลำพัง เธอจึงกลับไปที่ห้องเรียนคนเดียว วันนั้นเธอเช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วนั่งท่องหนังสืออยู่ที่โต๊ะแถวหน้า พอออดเข้าเรียนใกล้จะดังขึ้น ซ่งเจ๋อก็สะพายกระเป๋าข้างหนึ่งและเดินวางมาดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะกระแทกนมกล่องวางต่อหน้าเธอ เอ่ยด้วยความรำคาญว่า “ฉันให้เธอ”
เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อาอี๋บอกว่าไม่ให้กิน...”
“อยากกินก็กินเถอะ” เขาเอ่ยตัดบทเธอด้วยน้ำเสียงแสนรำคาญ “จะคิดมากทำไมกัน มีอะไรอยากทำก็ทำไปเถอะ”
เธอนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ซ่งเจ๋อเหลือบเห็นสีหน้าของเธอก็หันหลังและเดินไปนั่งยังแถวสุดท้าย เธอมองนมที่วางอยู่ตรงหน้า ค่อยๆ เปิดออกอย่างเบามือ ก้มหน้าลงจิบทีละนิดด้วยความยินดี
จากนั้นมาทุกครั้งที่เธอมีเรื่องไม่สบายใจจนร้องไห้ ซ่งเจ๋อก็จะเอาเครื่องดื่มมาให้เธอ คล้ายเป็นวิธีปลอบใจโดยไม่ใช้คำพูดของเขา แม้ตอนหลังเธอจะไม่ได้ชอบกินนมอีก แต่แค่ซ่งเจ๋อนำมาให้เธอก็ดีใจ
ตั้งแต่ซ่งเจ๋อไปเรียนต่างประเทศ เขาก็ไม่เคยเอานมมาให้เธออีก
พอคิดถึงเรื่องนี้หยางเวยก็รู้สึกสลดใจเล็กน้อย ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ วันนี้จึงมีการจัดโปรโมชัน แต่นมยี่ห้อนี้ก็เหมือนสัญญาณลับบางอย่าง
ในเมื่อชีวิตเธอตอนนี้ไม่ได้มีแผนการอะไร ดังนั้นเธอก็ไม่ต้องคิดมากหรอก ตัวเธอเองไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ การไลฟ์สดก็ทำให้เธอมีความสุขมาก
เธอรู้สึกเบิกบานกับความอบอุ่นที่ผู้ชมมอบให้ และชอบที่พวกเขามีความสุขจากการได้คุยกับเธอ
การทำให้คนอื่นได้มีความสุขเพราะเธอ นั่นเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งกว่าการซื้อหุ้นที่ทำกำไรหรือสร้างบริษัทใหญ่โตเสียด้วยซ้ำ
แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก็พอ
เหมือนเมื่อปีนั้นที่ซ่งเจ๋อเคยพูดไว้...จะคิดมากทำไม เธออยากทำก็ทำไปเถอะ
ดังนั้นเธอจึงกินข้าวจนหมดและกลับมาที่หน้าโต๊ะ ดูอีเมลที่บริษัทของเซี่ยงเหวยส่งให้เธอ
เธอขีดเส้นเน้นข้อความพลางอ่านสัญญาจนจบ จากนั้นเธอก็โทรกลับไปหาอีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะผู้จัดการเซี่ยง ฉันคือสวีตเวยเวยค่ะ”
“อ้อ ค่ะ ฉันจะมาคุยกับคุณเรื่องสัญญา ฉันอยากจะเซ็นสัญญากับคุณค่ะ แต่คุณดูสิคะ สัญญานี้มีบางข้อที่พอจะแก้ได้ไหมคะ...”
สัญญาที่เซี่ยงเหวยให้เธอเป็นแบบฟอร์มสัญญาของบริษัทเหมียวเหมียวที่ให้กับนักไลฟ์สดทุกคน
เขาอาศัยจังหวะที่นักไลฟ์สดยังไม่โด่งดัง พยายามกดราคาและสิทธิประโยชน์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งยังเพิ่มอำนาจการตัดสินใจของบริษัทตัวเองให้มากที่สุด ดังนั้นสัญญาจึงไม่ค่อยยุติธรรม โดยสัญญาจะถูกแบ่งออกเป็นห้าระดับ อันได้แก่ S A B C D ระดับ S คือนักไลฟ์สดที่มีผู้ติดตามสิบล้านคนขึ้นไป ระดับ A ต้องมีผู้ติดตามห้าล้านคนขึ้นไป ระดับ B ต้องมีผู้ติดตามล้านคนขึ้นไป ส่วนระดับ C และ D มีผู้ติดตามน้อยกว่าล้านคน ผู้จัดการส่วนตัวสามารถตัดสินใจเองได้ในขอบเขตที่จำกัด ส่วนหยางเวยโด่งดังตั้งแต่ตอนไลฟ์สดครั้งแรก แต่หลังจากนั้นถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องการโปรโมททำให้ไม่สามารถรักษากระแสไว้ได้ แต่แฟนคลับที่อยู่กับเธอก็เป็นแฟนตัวยง ถือเป็นสายเปย์ที่โอนง่ายจ่ายคล่อง ดังนั้นเซี่ยงเหวยจึงให้หยางเวยเซ็นสัญญาศิลปินระดับที่มีผู้ติดตามล้านคนขึ้นไป หากเป็นคนอื่นคงตกลงเซ็นสัญญาไปแล้ว แต่หยางเวยรู้สึกว่าสัญญาฉบับนี้มีเงื่อนไขมากเกินไป
อย่างเช่น ในสัญญาได้ขอให้พรีเซนเตอร์อย่างหยางเวยพยายามนำเสนอสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การร้องเพลง หรือศิลปะแขนงต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ที่
พรีเซนเตอร์อย่างเธอต้องทำ แต่ในความเป็นจริง ในฐานะสตรีมเมอร์อย่างพวกเธอไม่ได้มีอุปกรณ์มากมายขนาดนี้ ฉะนั้นการที่ให้เซ็นสัญญาในระดับที่มีคนติดตามล้านคนขึ้นไปก็เป็นการการันตีในเบื้องต้น ถ้าเป็นคนอื่นเมื่อเห็นว่าตนได้อยู่ในระดับผู้ที่มีคนติดตามล้านคนก็คงตกปากรับคำไปแล้ว แต่สำหรับหยางเวยเธอรู้ดีว่านี่จะกระทบต่อผลประโยชน์ในระยะยาว เธอจึงไม่ยอมเซ็นสัญญาฉบับนี้ง่ายๆ อย่างเด็ดขาด
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่