บทที่ 179 วันนี้ ฉันคือผู้ไร้เทียมทาน!
“คุณฉู่เดาถูกแล้ว ภายในเรื่องที่สถานศึกษาสอนได้ปกปิดบางอย่างไว้จริง ๆ และสิ่งนั้นก็เกี่ยวข้องกับมนุษย์ถ้ำนี้เสียด้วย”
เห็นสีหน้าของฉู่โม่ว บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็เหมือนจะรู้แล้วว่าฉู่โม่วคิดอะไรอยู่ เขาจึงพยักหน้าเบา ๆ
จากนั้นก็พูดต่อ “สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในตำราเรียนนั่นก็ใช่ว่าจะไม่จริง แต่แค่พูดไม่หมด”
“ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่มนุษยชาติค้นพบว่าผู้ปลุกพลังสามารถดูดกลืนอณูแห่งชีวิตมาพัฒนาตนเองได้ จนสามารถครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่… คุณฉู่ ตัวท่านนั้นที่มีพลังพรสวรรค์อันแก่กล้า ใช้เวลาเท่าไหร่กันล่ะกว่าจะสามารถพัฒนาขึ้นมาจนได้ในระดับนี้?”
“แล้ว… ถ้าฉันเปลี่ยนประธานในประโยคเป็นผู้ปลุกพลังธรรมดา ไม่ได้มีพรสวรรค์เลิศเลอ ท่านคิดว่าเขาคนนั้นจะใช้เวลานานขนาดไหนกันกว่าจะสามารถสู้กับสัตว์อสูรได้?”
พูดมาเช่นนั้นแล้ว
บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็ไม่ได้รอให้ฉู่โม่วตอบแต่อย่างใด เขาเลือกจะตอบหลังจากยิงคำถามออกไปแล้ว “ฉันเองก็ถือได้ว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงคนหนึ่ง ในยามที่อายุย่างเข้าสิบห้าปีตระหนักได้ว่าตนเองมีพลังกายเหลือล้นและมีพรสวรรค์ที่จะฝึกปรือ ฉันในวัยยี่สิบหกปีได้ก้าวขึ้นเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ อายุสามสิบเก้ากลายเป็นนายพลเมือง และในวัยหนึ่งร้อยหกปีได้กลายเป็นจ้าวยุทธ์ ในวันนี้เด็กคนนั้นกลายเป็นชายชราอายุร้อยสี่สิบปีเข้าไปแล้ว”
“ฉันในวัยร้อยสี่สิบปีเป็นจ้าวยุทธ์ ที่แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้การฝึกยุทธ์ของเด็กรุ่นใหม่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่ฉันยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่”
“ย้อนกลับไปวันวานที่โลกเพิ่งจะเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมของโลกกับอณูแห่งชีวิตแย่กว่าตอนนี้อีกกี่เท่าตัวก็ไม่อาจเปรียบได้ ทำให้แม้ผู้ปลุกพลังคนนั้นจะมีพรสวรรค์สูงส่งขนาดไหน การที่จะปกป้องตนเองรวมถึงทวงคืนแผ่นดินให้มวลมนุษยชาติได้ก็จำเป็นที่คนคนนั้นจะต้องมีพลังขั้นจ้าวยุทธ์เป็นอย่างต่ำ หรือไม่ก็เป็นราชันย์ยุทธ์ไปเลย!”
“แต่ท่านคิดว่าพวกเราจะซื้อเวลาขนาดนั้นกันได้อย่างไร?”
“ลำพังเพียงพลังของมนุษย์ละก็ ไม่มีทางอย่างแน่นอน เผลอ ๆ มนุษยชาติอาจจะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่การที่สัตว์อสูรเริ่มโถมกันเข้ามาแล้วด้วย!”
ได้ฟังเรื่องนี้แล้ว
ฉู่โม่วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว เขาคิดให้ดีก่อนจะพูด “หรือว่า… พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ถ้ำมาก่อนเหรอครับ?”
บรรพบุรุษตระกูลหมัวพยักหน้า
“โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และเปลี่ยนแปลงไปจนไม่มีวันหวนคืนกลับไปดังเก่า ภายหลังจากที่อณูแห่งชีวิตที่อยู่ในอากาศหลั่งไหลลงไปใต้ดิน มนุษย์ถ้ำเหล่านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขามีพลังที่กล้าแกร่งและเหมือนว่าจะได้ให้คำสัญญาอะไรบางอย่างไว้กับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงช่วยมนุษย์ในการต่อต้านพลังของสัตว์อสูรที่โถมเข้ามาและช่วยสร้างฐานอยู่อาศัยให้… ทำให้มีมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ สุดยอดฐานทั้งสิบแห่งคือฐานลำดับแรกที่มนุษยชาติสร้างขึ้นมา และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีมนุษย์ถ้ำเหล่านั้นช่วยเหลือ”
“ว่ากันว่า ในช่วงเริ่มต้นมีมนุษย์ถ้ำที่คอยช่วยเหลือพวกเราถึงหลักร้อยตน แต่ภายหลังจากที่โดนสัตว์อสูรยุคแรกเริ่มเข้าจู่โจมอย่างหนัก ทำให้เหลือพวกเขาอยู่ราว ๆ สิบตนเท่านั้น และทั้งสิบตนนั้นก็กระจายตัวไปอยู่ในสิบสุดยอดฐานที่ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา”
“เหล่ามนุษย์ถ้ำไม่เพียงแต่ช่วยมนุษย์พัฒนาสุดยอดฐานขึ้นมาได้ แต่ยังคอยช่วยเหลือมนุษย์ในเรื่องของการฝึกฝนวรยุทธ์ จัดการแบ่งลำดับขั้นพลัง รวมถึงนำสมบัติแห่งโลกและสวรรค์ออกมาให้แก่มนุษย์ เพื่อช่วยให้พวกเราพัฒนาความสามารถขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วด้วย”
“เพราะแบบนี้เอง มนุษยชาติถึงสามารถก้าวผ่านยุคมืดมนมาได้ และสามารถสร้างที่อยู่อาศัยบนดาวที่ตนเรียกว่า ‘บ้าน’ ได้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นพัฒนาจนยิ่งใหญ่มาเรื่อยจนถึงตอนนี้”
ในตอนท้าย บรรพบุรุษตระกูลหมัวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ได้ฟังเรื่องเล่านั้น ฉู่โม่วเองก็ตระหนักได้ถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
เขาเข้าใจแล้วถึงต้นกำเนิดของมนุษย์ถ้ำ และพอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมมนุษย์ถ้ำเหล่านี้ถึงพูดภาษามนุษย์ได้
แต่ไม่นาน เมื่อคิดได้ถึงบางอย่าง เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้งและเอ่ยถาม “ทำไมมนุษย์ถ้ำพวกนี้ถึงอยากจะช่วยมนุษยชาติอย่างพวกเราล่ะครับ?”
เมื่อครั้งที่มนุษยชาติยังไม่ได้มีพลังกล้าแกร่งอะไรขนาดนั้น พวกเขาทำได้เพียงเอาตัวรอดจากการโจมตีของสัตว์อสูรเท่านั้น
ทั้งที่มนุษย์ถ้ำเหล่านี้มีพลังที่แข็งแกร่งกว่า แต่ทำไมยอมทุ่มทุกอย่างที่มีเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ถึงเพียงนี้ ไหนจะช่วยสร้างฐานที่อยู่อาศัย รวมไปถึงช่วยพัฒนาวรยุทธ์และนำสมบัติแห่งโลกและสวรรค์ต่าง ๆ มาให้อีก
ไม่ว่าจะมองมุมไหน มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับหนูตกถังข้าวสารเลย!
และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้พบเจอกันได้โดยทั่วไปด้วย
ยังไงเสีย
สิ่งมีชีวิตทุกตนก็ย่อมมีความเห็นแก่ตัวเป็นของตนเองอยู่แล้ว
ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธ์ุเดียวกันก็ตาม พวกเขายังคิดต่างกันได้ ซึ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์กับมนุษย์ถ้ำเลย
การที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์กันขนาดนี้ แน่นอนแล้วว่าพวกเขาต้องมีความคิดอ่านต่างกันไปด้วย!
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ฉู่โม่วถามออกมา บรรพบุรุษตระกูลหมัวก็ทำได้เพียงส่ายหน้าแล้วพูด “อย่างไรก็ตาม พี่ชายของข้าได้บอกเอาไว้ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับมนุษย์ถ้ำค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก ๆ และดูเหมือนพวกเขาจะทำตัวปกปิดตนเป็นความลับ แม้จะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นแต่ก็ห่างไกลกัน ดังนั้นจึงบอกได้ยากมากว่าพวกเรากับมนุษย์ถ้ำมีความสัมพันธ์กันแบบไหน!”
พูดมาถึงตรงนี้
เขาก็เหลือบมองฉู่โม่ว “หากวันใดวันหนึ่งคุณฉู่เผอิญพบกับมนุษย์ถ้ำเข้าละก็ ทางที่ดีที่สุดควรจะเก็บเงียบไว้ดีกว่านะ ไม่เช่นนั้นจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรต่อมิอะไรโดยไม่จำเป็นก็ได้”
“เรื่องที่ฉันผ่านโลกมาเยอะก็มีเพียงเท่านี้”
ฉู่โม่วรู้ดีว่านี่คือคำเตือน เพราะงั้นเขาจึงพยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรต่อ
จากนั้น
พวกเขาทั้งหมดก็ไม่วกกลับมาคุยเรื่องนี้อีก แต่เปลี่ยนไปคุยเรื่องการฝึกฝนแทน
ทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นจ้าวยุทธ์กันทั้งหมด ดังนั้นแต่ละคนก็จะมีประสบการณ์มากมายที่แตกต่างกัน ภายหลังจากที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์แล้ว พวกเขาต่างได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์กลับไปกันทั้งสิ้น
ช่วงเย็น
เฉินซีเวยและหมัวซานซานก็กลับเข้ามายังจุดที่ฉู่โม่วอยู่
เพราะงั้นทั้งฉู่โม่วและเฉินซีเวยจึงกล่าวคำลากับทุกคนในพันธมิตรเครือหอการค้าหยกแก้วก่อนจะกลับออกไป
…
กลับมาถึงคฤหาสน์
เฉินซีเวยได้วัตถุดิบการฝึกฝนมามากมาย เพราะงั้นหลังจากที่พูดคุยกับฉู่โม่วพักหนึ่งแล้ว เธอก็รีบแยกตัวกลับไปฝึกทันที
ส่วนฉู่โม่วนั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงบ
และหวนคิดถึงเรื่องที่ได้คุยกับบรรพบุรุษตระกูลหมัวอยู่ในใจ
ต้องยอมรับเลยว่า…
สิ่งที่ชายชราผู้นั้นพูดไว้ทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ถ้ำได้มากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความสงสัย
ทว่า…
ยังไงก็ต้องทำอย่างที่บรรพบุรุษตระกูลหมัวพูด
เขาจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้มากไม่ได้!
ก่อนจะได้พลังที่แข็งแกร่งเพียงพอกับสถานะที่ดีกว่านี้ เขาไม่ควรไปยุ่งกับเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ไปสร้างศัตรูเข้าโดยบังเอิญ!
‘เพราะงั้น…’
‘เลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน’
‘ไว้เดี๋ยวแข็งแกร่งขึ้นแล้ว บางทีความลับที่ยังซุกซ่อนอยู่เดี๋ยวมันก็คลายออกมาเองนั่นแหละ และเมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีอะไรเป็นปัญหาอีกต่อไป’
เขาคิดกับตนเอง
…
ชายหนุ่มตื่นขึ้นจากการฝึกฝนและตระหนักได้ว่าพลังของเขาอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว เพราะงั้นเขาจึงลอยขึ้นไปในอากาศ
ภายหลังจากที่จับทิศจับทางได้ ฉู่โม่วก็กลายเป็นละอองแสงและพุ่งตรงออกนอกฐานจินหลิงทันที
ครั้งนี้ที่เขาออกมา เป้าหมายเดียวคือไปยังป่าไผ่ม่วงเพื่อดูว่ายังมีไผ่กระบี่ดาราสวรรค์เติบโตขึ้นมาอีกหรือเปล่า
ในตอนนั้น เพราะเขายังไม่แข็งแกร่งพอ การเผชิญหน้ากับจระเข้โลหิตคลั่งที่เป็นผู้ดูแลพื้นที่ทำให้เขาทำได้เพียงหนีออกมาเท่านั้น
ผิดกับตอนนี้ที่ได้กลายเป็นจ้าวยุทธ์ที่มีพลังกายสูงถึง 850,000 พลังช้างสารแล้ว ภายหลังจากทลายขีดจำกัดร่างกายมาได้ ความแข็งแกร่งจึงเทียบเท่าได้กับราชันย์ยุทธ์ระดับสูงเลย!
ถึงแม้ว่าราชันย์ยุทธ์ระดับสูงที่พอจะรับมือได้เป็นเพียงผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ใด ๆ ก็ตาม
แต่ยังไงเสียศัตรูในครั้งนี้ก็เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับ 7 เพราะงั้นไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่แล้ว!
เมื่อเข้าสู่ขั้นจ้าวยุทธ์ ความเร็วในการบินของฉู่โม่วก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว เขาก็มาถึงป่าไผ่ม่วงเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มลอยตัวอยู่บนฟ้าและมองลงมา
เขาได้กลับมายังที่เดิมที่เคยจากไปอีกครั้ง
บริเวณนี้ยังคงหลงเหลือความเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่อยู่บ้าง แม้ว่าอดีตจะเคยเป็นป่าไผ่เพียว ๆ กว่าหมื่นกิโลเมตร การอาละวาดของจระเข้โลหิตคลั่งในครั้งนั้นยังคงกลายเป็นบาดแผลลึกให้กับสถานที่อันงดงามแห่งนี้ หากมองลึกลงไปจะเห็นได้ว่าพื้นดินเบื้องล่างที่แตกทลายจากข้างในยังไม่ฟื้นตัวจากเดิมดีนัก
ใครก็ตามที่เห็นภาพแบบนี้
พวกเขาอาจจะใจสั่นกันไปหมดก็ได้ เพราะนี่น่ะเป็นฝีมือของสัตว์อสูรเพียงตนเดียว… สัตว์อสูรระดับ 7 ที่เทียบเท่าได้กับราชันย์ยุทธ์!
การกลับมาครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปทั้งนั้น
แต่อีกเดี๋ยวมันจะเปลี่ยนไปแล้ว!
…
หลังจากที่ลงมายังเบื้องล่าง ฉู่โม่วก็เดินไปทั่วบริเวณนี้
จระเข้คลั่งโลหิตที่เป็นสัตว์อสูรระดับ 7 ยังคงอยู่ที่เดิม คือบริเวณใกล้ ๆ กับดงไผ่กระบี่ดาราสวรรค์
และมันกำลังนอนหลับอยู่
บริเวณรอบข้างยังมีจระเข้อีกมากมายหลายตัวกำลังนอนอยู่เช่นกัน แต่เท่าที่สังเกตดูแล้ว จระเข้พวกนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับ 2 - 3 เท่านั้น สูงสุดไม่เกินระดับ 4
ดูท่าว่ากลุ่มของจระเข้ระดับ 4 และ 5 เมื่อครั้งที่แล้วจะถูกกำจัดไปจนหมดเพื่อระบายความโกรธของมันจริง ๆ
ในครั้งนี้ฉู่โม่วไม่ได้ซ่อนตัวแต่อย่างใด
เพราะงั้นเมื่อเขามาถึง กลิ่นอายพลังอันกล้าแกร่งของเขาก็กระตุ้นให้จระเข้โลหิตคลั่งรับรู้ได้ในทันที
ภายหลังที่พบเจอฉู่โม่วแล้ว มันก็ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ถึงความคุ้นเคย… จระเข้โลหิตคลั่งตนนี้จำได้ว่าฉู่โม่วคือผู้ที่ขโมยสมบัติล้ำค่าของมันไป!
สมบัติที่มันเฝ้าดูแลมากว่าสิบปีอย่างไผ่กระบี่ดาราสวรรค์
กลับต้องมาถูกสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เท่า ‘มด’ นี่มาขโมยไปช่วงที่มันประมาท ไม่แปลกเลยที่มันจะโกรธมาก ๆ !
ความโกรธแค้นของมันในครั้งนั้นทำให้พื้นที่ที่งดงามและอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ถึงกับพังทลายลงไม่เป็นชิ้นดีกว่าหมื่นกิโลเมตร แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าความโกรธเคืองของมันจะจางหายไป
และในตอนนี้
ศัตรูหัวใจของมันได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว!
เพราะงั้น…
จระเข้โลหิตคลั่งตัวนี้จึงขาดสติขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาที่เบิกโพลงกลายเป็นสีแดงชาดขึ้นมาในทันที มันจ้องมองฉู่โม่วพร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายน่าสยดสยองออกมาราวกับจะบอกว่า ‘แกตายแน่!’
กรรรรร!!
เสียงคำรามดังก้องปฐพี!
คลื่นเสียงลูกใหญ่แผ่กระจายไปทั่วอาณาบริเวณของมัน แม้แต่ห้วงอากาศยังสั่นสะเทือน
ทุกหนแห่งบนผืนโลกที่คลื่นเสียงของมันพุ่งผ่านไป ล้วนถูกผลักออกไปด้านหลัง ความรุนแรงของเสียงคำรามนี้มากพอจะถอนต้นไม้ใหญ่หลายต้นให้หลุดออกไปทั้งรากทั้งโคนได้ไม่ยากนัก
มันยังคงเป็นฝันร้ายของมวลมนุษยชาติดังเดิม!
แถมในครานี้ยังเป็นฝันร้ายที่เกรี้ยวกราดเสียด้วย!
ทว่าฉู่โม่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้ลอยกระเด็นไปตามแรงลมอันมหาศาลแต่อย่างใด
ใบหน้าแน่วแน่เพ่งมองอสูรร้ายอย่างไม่หวาดเกรง
หากเป็นแต่ก่อน ฉู่โม่วคงเลือกที่จะใช้จังหวะที่มันคำรามหนีไปแล้ว
แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไป
พรสวรรค์ถูกกระตุ้น
เกราะป้องกันแห่งปฐพีพวยพุ่งขึ้นมาจากบนพื้น
นี่เป็นหนึ่งในความสามารถพิเศษที่เขาได้มาภายหลังจากที่ได้พรสวรรค์ธาตุดิน
มันจะช่วยสร้างโล่ดินขึ้นมาจากรอบ ๆ ตัว ตราบใดที่เขายังยืนอยู่บนพื้นดิน พลังของมันจะถูกถ่ายทอดมาจากธรรมชาติเรื่อย ๆ ทำให้เกราะป้องกันนี้มีความแข็งแกร่งมากพอจะลดทอนความเสียหายที่หมายมุ่งเข้ามาจนบางการโจมตีถึงกับไร้ผลไปเลยด้วย!
ครืนนน!
คลื่นอัดกระแทกปะทะเข้ากับโล่ดิน
เห็นได้ชัดเลยว่าความรุนแรงของคลื่นอัดกระแทกดังกล่าวลดลงไปเป็นอย่างมากเมื่อปะทะเข้ากับโล่ดินของฉู่โม่ว
แม้ว่าท้ายสุดแล้วความรุนแรงของมันจะทำให้โล่ดินแตกได้ แต่กระแสลมที่เข้ามาปะทะกับตัวฉู่โม่วก็เป็นเพียงสายลมอ่อน ๆ ที่เย็นสบายเท่านั้น ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แต่อย่างใด
จริง ๆ ด้วย
พอได้ขึ้นมาเป็นจ้าวยุทธ์ ด้วยวิธีฝึกฝนอณูแห่งชีวิตเมฆาคราม พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากทั้งการโจมตีและการป้องกันจริง ๆ !
เมื่อตระหนักได้ว่ามีเพียงสายลมแผ่วเบาเท่านั้นที่หลงเหลือมาถึงร่างกาย เลือดและอณูแห่งชีวิตภายในร่างของฉู่โม่วก็คึกคักขึ้นมาครู่หนึ่ง ในขณะที่ใบหน้าของเขายังคงใจเย็นอยู่
รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่โม่ว
กระบวนท่าฝึกฝนอณูแห่งชีวิตเมฆาครามทำให้เกิดคลื่นอัดกระแทกภายในร่างกาย ซึ่งคลื่นดังกล่าวคือคลื่นของอณูแห่งชีวิตและเลือด มันทำให้เส้นลมปราณทั้งแปดเส้นพิเศษกับสิบสองเส้นหลักเกิดการสะท้อนกันไปมา ชำระล้างสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ออกจากภายในร่างกาย แล้วยิ่งในภายหลังที่สามารถก้าวขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ได้สำเร็จ จึงทำให้ความแข็งแกร่ง พลังป้องกันและความเร็วของร่างกายเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมาก
เมื่อมันรวมเข้ากับพรสวรรค์ที่เขาสั่งสมเอาไว้
จึงทำให้ความแข็งแกร่งเมื่อตอนที่ขยับขึ้นเป็นจ้าวยุทธ์ของฉู่โม่วมีประสิทธิภาพสูงกว่าจ้าวยุทธ์ทั่ว ๆ ไปอีกนับสิบเท่าได้เลย
และด้วยร่างกายที่มีพลังป้องกันสูงเป็นพิเศษ ควบคู่ไปกับพลังป้องกันที่ธาตุดินระดับพิเศษมอบให้ ทำให้ฉู่โม่วแข็งแกร่งพอจะยืนรับการโจมตีของสัตว์อสูรที่เทียบเท่าราชันย์ได้สบาย ๆ !
ดังนั้นแล้ว
สิ่งนี้คือเครื่องยืนยัน…
ว่าเขาไร้เทียมทานไปแล้ว!
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว