เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังไปทั่วลานกว้างสำนักเซิ่งหยวน เนื่องจากวันนี้เป็นรอบประลองยุทธ์เพื่อทดสอบเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักเซิ่งหยวน จากการคัดเลือกในรอบแรกเกือบร้อยคนเหลือเพียงสามสิบสองคน จะมีการแบ่งกลุ่มเป็นแปดกลุ่ม โดยที่แปดอันดับแรกแยกกันอยู่กลุ่มละคนแล้วทำการสุ่มคนที่เหลืออีกสามคน
รอบนี้เป็นการประลองแบบพบกันหมด แยกย้ายกันประลองแปดลานประลอง โดยที่จะคัดเลือกเพียงสองอันดับแรกของแต่ละกลุ่มเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน และมีเพียงผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของแต่ละกลุ่มเท่านั้นที่จะได้เข้าประลองจัดอันดับ โดยที่ผู้ชนะจะได้สิทธิ์ในการเข้าหอสมบัติเพื่อเลือกของวิเศษในหอได้หนึ่งอย่าง ถึงกับมีผู้ที่ตั้งใจเลี่ยงการทดสอบในปีที่แล้ว บ่มพลังให้อยู่ในช่วงสูงสุดของจอมยุทธ์ขั้นกลางเพื่อเพิ่มโอกาสชิงอันดับหนึ่งเลยทีเดียว
"ไม่ต้องวิตกกังวนไปขอรับกงจื้อ ไอ้สวะจางหยุนนั้นพึ่งบรรลุระดับจอมยุทธ์ไม่ถึงหนึ่งเดือน ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กงจื้อได้แน่นอน" กัวห่าวกล่าววาจาประจบประแจงหลิวจี้เจินด้วยสีหน้าระรื่น
"เราไหนเลยต้องใส่ใจเด็กน้อยนั่น มีเพียงมู่ลี่หลินกับลั่วเว่ยเท่านั้นที่พอรับมือเราได้" หลิวจี้เจินกล่าวด้วยความมั่นใจไม่แสดงออกทางสีหน้าใดๆ
หลังจากแบ่งกลุ่มการประลองเสร็จสิ้น ปรากฎว่ากัวหย่งโชคไม่ดีได้อยู่กลุ่มเดียวกับหลิวจี้เจินผู้ที่ถูกมองว่ามีโอกาสชนะการประลองครั้งนี้ที่สุด ส่วนหวังเอ้อเหมากับจางหยุนต่างแยกย้ายกันไปยังลานประลองของตนเอง
การประลองรอบแรกได้ทยอยเริ่มขึ้นแล้วโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย จางหยุนได้พบกับคู่ต่อสู้คนแรก หลังจากถูกเรียกจึงขานชื่อเข้าสู่ลานประลอง
คู่ต่อสู้ของจางหยุนคนแรกชื่อฉีหนิงอยู่ในระดับจอมยุทธ์ขั้นกลาง อันที่จริงฉีหนิงก็ไม่ต้องการประลองปีนี้เนื่องจากเหล่าตัวเต็งจากตระกูลลั่ว ตระกูลมู่ และองค์ชายอย่างหลิวจี้เจิน แต่มันไม่อาจรอปีหน้าได้แล้ว เพราะปีนี้มันมีอายุเกือบสิบแปดปีแล้ว มันไม่หวังอันดับหนึ่ง เพียงเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในได้ก็พอ อีกทั้งยังนึกโชคดีที่ได้อยู่กลุ่มหนอนตำราอย่างจางหยุน ถึงแม้เคยได้ยินถึงเรื่องที่ต่อยตีกับกัวห่าวแต่นั่นไม่ใช่การลงมือของจางหยุนอีกทั้งยังเป็นการลงมือทีเผลออีกด้วย อย่าว่าแต่มันเป็นจอมยุทธ์ขั้นกลางเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้เท่านั้น
"ข้าให้โอกาสเจ้ายอมแพ้เสียเถอะ เก็บแรงไว้สู้กับอีกสองคนที่เหลือดีกว่า" ฉีหนิงกล่าวเตือนจางหยุนด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจซะเหลือเกิน
"ขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่ข้าขอลองพยายามสักหน่อยเถอะ" จางหยุนกล่าววาจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ" กล่าวจบฉีหนิงก็พุ่งเข้าหาจางหยุน ใช้ออกด้วยวิชาฝ่ามือเปลวอัคคีฟาดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยเปลวไฟเข้าใส่ใบหน้าของจางหยุน
แต่จางหยุนไหนเลยจะยื่นหน้ารอรับฝ่ามือของฉีหนิง จางหยุนเอี้ยวตัวเล็กน้อยต่อยหมัดขวาเข้ารับการปะทะฝ่ามือเปลวอัคคี เมื่อหมัดและฝ่ามือเข้าปะทะกันเกิดเสียงดังทึบ เปลวไฟพลันมอดดับลงต่างฝ่ายต่างถอยกายออกไปสองก้าว เมื่อเห็นดังนั้นฉีหนิงเกิดความตื่นตระหนกไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะออกท่าเสมอกับตนเองได้ทั้งที่ระดับพลังเป็นรอง ในใจจึงลดความดูแคลนลง ออกกระบวนท่าด้วยความรัดกุมยิ่งขึ้น
เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้ในระดับจอมยุทธ์ครั้งแรกของของตน จางหยุนจึงต้องการสัมผัสถึงการต่อสู้ในระดับนี้มากยิ่งขึ้นจึงทดลองใช้เพลงหมัดเบิกภูผาเข้าปะทะดู เมื่อปะทะหมัดกับฝ่ามือถึงประเมินพลังคร่าวๆของฉีหนิงออกได้ รู้ว่าหากตนไม่เป็นที่กับการต่อสู้อย่าหวังว่าจะเอาชนะฉีหนิงได้
ฉีหนิงออกฝ่ามืออย่างรวดเร็วจนมองดูคล้ายเปรวเพลิงลอยอยู่รอบตัว ฉีหนิงฟาดมือขวาเข้าที่ใบหน้า จางหยุนยกมือซ้ายเข้าปะทะพลางต่อยหมัดขวาเข้าใบหน้าฉีหนิง ฉีหนิงจึงเอียงศรีษะหลบหมัดของจางหยุนพร้อมกับใช้มือซ้ายคว้าจับไปที่ข้อมือจางหยุน กลับเป็นท่าคว้าจับเบญจลักษณ์
เมื่อเจอกับท่าคว้าจับนี้จางหยุนทราบว่าด้วยพลังที่เป็นรองหากถูกจับได้ต้องจบสิ้นแน่จึงยกขาซ้ายเตะเข้าที่กลางหว่างขาของฉีหนิง ฉีหลิงแตกตื่นตกใจรีบใช้มือซ้ายเปลี่ยนเป้าหมายจากข้อมือจางหยุนมาคว้าที่ข้อเท้าแทน แต่ขณะที่มือของมันห่างเพียงเล็กน้อยขาซ้ายจางหยุนกับหดลงแต่กลางคันทำให้มันต้องคว้าจับลง ขณะที่กำลังเดือดดาล ขวาขวาของจางหยุนก็เตะเข้าที่กลางเอวมันแล้ว ฉีหนิงลอยตัวไปตามแรงเตะ พลันยืดขาค้ำยันตั้งหลัก พร้อมกับออกฝ่ามือเปลวอัคคีเพื่อจู่โจมใส่จางหยุนใหม่
เปรี้ยง... หมัดซ้ายของจางหยุนใช้ออกด้วยเพลงหมัดเบิกภูผาซัดเข้ากลางหน้าอกฉีหนิง ฉีหนิงตัวลอยกระเด็นไปสองวา นอนกองอยู่กับพื้น มุมปากมีโลหิตไหลซึมออกมาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเดือดดาล "ถึงกับใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้เข้าจู่โจมข้า"
"จางหยุน เป็นผู้ชนะ" ผู้คุมการประลองกล่าวคำตัดสินออกมา ผลการต่อสู้ของจางหยุนกับฉีหนิงถึงกับทำให้ผู้คนตื่นตะลึง แต่ถึงอย่างไรการต่อสู้ข้ามระดับเล็กๆเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้คนจึงระงับความตื่นตะลึงโดยเร็ว
หลังจากผ่านการต่อสู้กับฉีหนิง คู่ต่อสู้อีกสองคนที่เหลือไหนเลยกล้าต่อสู้กับจางหยุน จึงเลือกที่จะยอมแพ้ จางหยุนจึงกลายเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มนี้ เตรียมเข้าสู่การต่อสู้จัดอันดับในรอบต่อไป
จางหยุนเดินไปดูการต่อสู้ของสหายที่สนามประลองใกล้เคียงกับเจอกัวหย่งที่ยิ้มระรื่น โบกไม้โบกมือเรียกหาจางหยุน "อาหยุนทางนี้" จางหยุนจึงรีบเดินไปพูดคุยกับกัวหย่ง
"ผลประลองของเจ้าเป็นยังไงบ้าง" จางหยุนเอ่ยถามพอเป็นพิธี เนื่องจากเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของกัวหย่งเช่นนี้ก็พอจะคาดเดาได้
"เพียงได้อันดับสองเท่านั้น อันดับหนึ่งยังเป็นกงจื้ออะไรนั้นได้ไป" กัวหย่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ เนื่องจากมันรู้ตัวดีว่าไม่อาจเอาชนะหลิวจี้เจินได้จึงเลือกที่จะยอมแพ้ และได้เอาชนะอีกสองคนที่เหลือได้จึงคว้าอันดับสองของกลุ่มได้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน ถึงแม้มิได้เข้าประลองจัดอันดับแต่ผลลัพธ์เช่นนี้มันก็พึงพอใจมากแล้ว
"ทางด้านอาเหมาล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง" จางหยุนถามกัวหย่งด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"อาเหมาถึงกับยังไม่เลว กำลังประลองชิงอันดับหนึ่งทางด้านนู้น" กัวหย่งชี้มือพลางเดินนำจางหยุนไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เดินไปถึงลานประลองจางหยุนเห็นหวังเอ้อเหมาหอบหายใจท่าทางเหนื่อยล้า ส่วนคู่ต่อสู้ท่าทางก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด
"เหล่าจูฝีมือเจ้าใช้ได้เหมือนกันนี่ ไม่เสียทีที่อยู่ถึงขั้นกลาง กับสู้กับเกอได้นานถึงเพียงนี้" หวังเอ้อเหมากล่าวชื่นชมอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชื่นชม แต่ในสายตาผู้อื่นมันช่างดูโอหังเสียนี่กระไร เพียงเป็นจอมยุทธ์ขั้นต้นกล่าวชมคู่ต่อสู้ที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นกลางด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
"ยอดเยี่ยมมารดาเจ้าซิ" จูเต๋ออี้ สบถด่าด้วยน้ำเสียงเดือดดาล อย่างไม่รู้ตัวหวังเอ้อเหมาถึงกับกระตุ้นโทสะจูเต๋ออี้จนถึงขีดสุดแล้ว กล่าวจบพุ่งตัวเข้าหวังเอ้อเหมาพลางเหวี่ยงหมัดขวาเข้าหาปากของหวังเอ้อเหมา
"เหล่าจูท่านกลับเจ้าอารมณ์ยิ่งนัก เกอไม่ออมมือให้เจ้าแล้วนะ" หวังเอ้อเหมากล่าววาจาจริงจัง พร้อมกับต่อยหมัดเข้าปะทะกับจูเต๋ออี้
เปรี้ยง... หมัดทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง เกิดริ้วพลังจากแรงปะทะกระจายออกสู่รอบข้าง คนทั้งสองกระเด็นถอยหลังออกไปคนละสามก้าว เนื่องจากระดับขั้นที่ต่างกันหนึ่งช่วง ที่หวังเอ้อเหมาสามารถยืนหยัดต่อสู้กับจูเต๋ออี้ได้อย่างสูสีเกิดจากทักษะการออกหมัดที่จางหยุนถ่ายทอดให้ ทั้งสองแลกหมัดกันอย่างดุเดือดยืนหยัดไม่ถอยกันแม้สักครึ่งก้าว
จูเต๋ออี้ไม่อาจถอยได้ด้วยศักดิ์ศรีของผู้ที่มีระดับพลังเหนือกว่า ส่วนทางด้านหวังเอ้อเหมากลับไม่ถอยหนีเพียงเพราะมันเป็นผู้บ้าคลั่งการต่อสู้ผู้หนึ่ง เมื่อมีคู่ต่อสู้ที่สูสี สมน้ำสมเนื้อเช่นนี้โผล่มาคนหนึ่ง มันไหนเลยยอมแพ้ได้ ทั้งคู่ยิ่งออกหมัดยิ่งดุเดือด ยิ่งต่อสู้ยิ่งบ้าคลั่ง
ทั้งสองปักหลักสู้แลกหมัดกันอย่างไม่หยุดยั้ง หนักหน่วงรุนแรงถึงขั้นว่าเท้าทั้งสองของทั้งคู่เริ่มจมลงไปในดินกว่าหนึ่งชุ่น เมื่อถูกความบ้าคลั่งของการต่อสู้เข้าครอบงำ สติของทั้งคู่ค่อยๆเลือนหายไปจนหมดสิ้น จูเต๋ออี้ตาแดงฉานดุจสายเลือดต่อยหมัดออกไปด้วยสัญชาตญาน มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต่อยโดนหรือไม่ มันทราบเพียงว่าจะต่อยไปเรื่อยๆจนกว่าตนจะออกหมัดไม่ไหว
ทางด้านหวังเอ้อเหมาสติก็เริ่มจางหายไปอย่างสมบูรณ์แล้วเช่นกันขณะที่ออกหมัดอย่างไม่หยุดนั้น เผลอใช้ออกด้วยวิชาตัวเบาเงาวายุอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้อานุภาพจะไม่ได้รวดเร็วเท่าใดแต่ก็เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ตอนนี้ หวังเอ้อเหมาก้าวเท้าไปด้านหลังจูเต๋ออี้ต่อยหมัดเข้าใส่กลางหลังจูเต๋ออี้ที่กำลังคลุ้มคลั่ง
เปรี้ยง... จูเต๋ออี้ฟุบหน้ากระแทกพื้นหมดสติ มิอาจเคลื่อนไหวได้อีก ผู้คุมการประลองจึงกล่าวสรุปผลการประลอง
"จูเต๋ออี้ มิอาจสู้ต่อได้ หวังเอ้อเหมาเป็นผู้ชนะ"
หลังจากผู้คุมการประลองกล่าวจบ รอบลานประลองกระหึ่มไปด้วยเสียงโห่ร้อง นี่นับเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดของวันนี้เลยทีเดียว
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว