สายน้ำเชี่ยวกราก กลืนร่างเฉินคุนลงไป มิมีผู้ใดทราบ ว่าสายน้ำที่ทอดยาวนี้จะพัดพามันจนไปถึงที่ใด มันจะทนทานได้หรือไม่ จางหยุนได้แต่ภาวนาให้มันรอดชีวิต
จางหยุนปาดเช็ดน้ำตา จ้องมองร่างจอมยุทธ์จากยอดสำนักผู้นั้นถอนตัวจากไป ในรอบวันมานี้มันได้รับความกระทบกระเทือนต่อจิตใจจนเกินไป อาจารย์ผู้มีพระคุณ อาจารย์อาหลินเฟิง ศิษย์พี่ใหญ่ มิทราบเป็นตาย ยังมีเฉินคุนหายสาปสูญ หลังจากการไล่ล่าจบสิ้น กลับเหลือเพียงตนเองกับหวังเอ้อเหมา มันในยามนี้ยากที่จะทำใจยอมรับได้
หลังจากสงบจิตใจที่เศร้าหมองลงได้ มันกับหวังเอ้อเหมาประสานมือโค้งคำนับ ต่อนายทหารที่ยื่นมือให้การช่วยเหลือพวกมัน นายทหารผู้นี้ดูไปกลับมิได้สูงวัยกว่ามันเท่าใด จางหยุนจึงเอ่ยปากขอบคุณนายทหารหนุ่มผู้นั้น
"ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิอาจกล่าวว่าจะแทนบุญคุณ แต่ผู้น้อยจะจดจำพระคุณมิลืมเลือน" หวังเอ้อเหมายังมิกล่าวคำ แต่ภายในใจยังจดจำพระคุณนีัเอาไว้
"แม่ทัพอันใดเรากลับเป็นเพียงนายทหารเล็กๆเท่านั้น อีกทั้งฝีมือการยิงธนูอันย่ำแย่ของเรากลับทำให้สหายน้อยท่านนั้นตกน้ำไป เราสั่งการให้คนลองออกตามหาดูแล้วพวกท่านไม่ต้องกังวลไป" น้ำเสียงที่กล่าวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
จางหยุนเงยหน้าขึ้นเพ่งพิศพิจารณาถึงลักษณะรูปลักษณ์ของนายทหารหนุ่ม คนผู้นี้มีผิวขาว คิ้วหน้า ตาโต หลังตรงดั่งคันหอก แขวนหอกยาวไว้ที่ด้านข้าง มือซ้ายยังกำคันธนู ดูไปมีอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี ช่างองอาจยิ่งนัก
หลังจากเอ่ยปากขอบคุณมันทั้งสองจึงแนะนำตัว พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวที่ตนเองถูกไล่ล่าให้ทหารหนุ่มฟัง เว้นเพียงเรื่องบันทึกเท่านั้นที่ไม่ได้เอ่ยปากออกไป
"พวกยอดสำนักรู้จักแต่ข่มเหงผู้คน" น้ำเสียงทหารหนุ่มเติมไปด้วยความคับแค้น ราวกับว่าผู้โดนไล่ล่าเป็นตัวเอง
"ข้าพเจ้าซ่งซวี ทหารชายแดนของต้าฮั่น"
คนผู้นี้กลับเป็น ซ่งซวี ทหารหนุ่มผู้เป็นศิษย์ของ หลี่หลิง แม่ทัพใหญ่แคว้นฮั่น ผู้นำทัพหยุดยั้งการรุกรานของต้าถัง จากการนำทัพของเทพสงครามฉินจื่อเจี๋ย ผู้ที่ได้ชื่อว่าเทพสงครามไร้พ่ายไม่ว่าจะเป็นการทำศึกหรือการดวลเดี่ยว อันเป็นเหตุให้ภายหลังเกิดสนธิสัญญาเทพยุทธ์ขึ้น ซึ่งออกมาลาดตระเวณในที่นี้พอดี
คนทั้งสองกล่าวได้ว่าเพียงพบหน้ากันก็ถูกชะตา หลังจากพูดคุย ซ่งซวีถึงกับลืมตัวชักชวนจางหยุนกับหวังเอ้อเหมาเป็นทหาร จางหยุนจึงปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
"เรื่องนี้ไว้ภายหน้าเถิด เราทั้งสองกำลังจะเดินทางไปยังสำนักเซิ่งหยวน ไม่ทราบว่าพี่ซ่งสามารถบอกทางได้หรือไม่"
เมื่อได้ยินดังนั้นซ่งซวีจึงบ่งบอกเส้นทางไปสู่สำนักเซิ่งหยวน หลังจากบ่งบอกเส้นทางเสร็จสิ้นก็มีคนมารายงานว่าไม่พบร่องรอยของเฉยคุนเลย
เมื่อทั้งสองทราบว่าไม่เจอร่างเฉินคุนความหวังที่มีอยู่ริบหรี่ก็พังทลายลง
"ขอบคุณพี่ซ่งมาก ไว้มีโอกาสผู้น้องจะมาเยี่ยมคารวะ" จางหยุนกับหวังเอ้อเหมาประสานมือคารวะเตรียมตัวจากไป
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะจากไปซ่งซวีจึงเอ่ยปากชักชวนทั้งสอง "นี่ก็ค่ำมืดแล้วพวกท่านค้างที่นี่สักคืนเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกท่านค่อยเดินทางจากไป"
เนื่องจากทั้งสองเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว อีกทั้งยังไม่สะดวกที่จะปฏิเสธน้ำใจ หลังจากปรึกษากันทั้งสองจึงติดตามซ่งซวีไปยังที่พัก หลังจากที่คู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กันเรียบร้อยแล้วซ่งซวีก็ส่งคนมาเชิญพวกมันไปรับประทานอาหารค่ำ
เนื่องจากเป็นค่ายทหารชายแดน อาหารที่มีจึงไม่ได้เลิศรสอะไรมากนัก อีกทั้งซ่งซวีไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้ออันได้ กับข้าวจึงมีเพียงผัดผักไม่กี่อย่าง แต่สำหรับจางหยุนและหวังเอ้อเหมาที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงหิวโหยมานานเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเลิศรสมากแล้ว หลังจากรับประทานเสร็จสิ้นพวกมันทั้งสองจึงขอตัวเข้านอน เพียงเอนกายลงบนตั่งเตียงพวกมันทั้งสองกรนสนั่นออกมาพร้อมกัน
หลังจากนอนหลับเป็นตายเมื่อคืน กว่าพวกมันจะฟื้นตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาสายมากแล้ว หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยพวกมันจึงเดินทางไปร่ำลาซ่งซวี
"ขอบคุณพี่ซ่งมากที่ให้การดูแลพวกเรา หากมีโอกาสพวกเราจะมาเยี่ยมเยือนพี่ซ่งแน่นอน"จางหยุนเอ่ยวาจาขอบคุณ
"ด้วยลักษณะท่าทางของพวกท่านทั้งสอง เชื่อว่าการเดินทางไปยังสำนักเซ่งหยวนครั้งนี้ต้องมีแต่เรื่องดีๆแน่นอน ขอให้พวกท่านเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในโดยเร็ววัน" ซ่งซวีกล่าวคำอวยพรคนทั้งสอง คำกล่าวของซ่งซวีกลับมิได้เป็นการเยินยอ แต่หลังจากที่ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกทั้งยังพักผ่อนอีกคืนหนึ่ง คนกลับกลายเป็นคึกคักแจ่มใส่ขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทางหดหู่ดั่งเป็นเมื่อวาน
หลังจากสงบจิตใจผ่านการนอนหลับ โทสะของหวังเอ้อเหมาเริ่มคลายลง แต่ความแค้นมิได้จางลงไปแม้แต่น้อย มันในวันนี้สามารถกล่าววาจาบ้างได้แล้ว "ขอบคุณพี่ซ่งพวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง"
ทั้งสองทางผ่านเมืองต่างๆหลายเมือง ถึงแม้พวกมันจะเป็นเด็กชนบทไม่เคยได้สัมผัสต่อโลกภายนอก แต่พวกมันก็ยังเคยเดินทางเข้าเมืองกันอยู่บ้าง ลักษณะบ้านเรือนของคนทั้งสองแคว้นกลับไม่ได้แตกต่างกันเท่าใด แต่สำหรับกับตัวเมืองสิ่งก่อสร้างแคว้นฮั่นให้ความรู้สึกที่เก่าแก่ โบราณ ต่างจากทางด้านแคว้นซ่งที่บ้างให้ความรู้สึกโอ่อ่า บางให้ความรู้สึกเรียบง่าย
หลังจากรู้สึกเหมือนเดินหลงทางมาหลายวัน หวังเอ้อเหมาจึงเดินเข้าไปถามทางจากคนผู้หนึ่งที่เดินสวนกัน "พี่ชาย ไม่ทราบว่าท่านรู้จักทางไปสำนักเซิ่งหยวนหรือไม่ โปรดบอกข้าด้วยเถิด"
ชายหนุ่มเห็นสารรูปหวังเอ้อเหมาที่ตัวมอมแมม พ่ายผอม จึงหัวเราะออกมา " ฮ่า ฮ่า ฮ่า ด้วยสารรูปอย่างเจ้าเนี้ยนะจะไปสำนักเซิ่งหยวน" พอกล่าววาจาเสร็จคนส่ายหัวทำท่าล้อเลียนแล้วเดินจากไป
หวังเอ้อเหมาเห็นดังนั้นเกิดโทสะพุ่งขึ้นกำลังจะพุ่งไปทุบตีคนชายผู้นั้น จางหยุนจึงคว้าข้อมือมัน แล้วส่ายหัว เป็นการเตือนว่าอย่ามีเรื่องมีราวเลย
จางหยุนได้ไปสอบถามผู้คนเกี่ยวกับทางไปยังสำนักเซิ่งหยวน นอกจากนี้มันจึงทราบเพิ่มเติมอีกว่า สำนักเซิ่งหยวน ถูกจัดอยู่ในสี่สำนักระดับสูงแห่งแคว้นถัง เป็นสำนักเก่าแก่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เกณฑ์การรับศิษย์กลับเข้มงวดมาก เมื่อทั้งสองทราบเรื่องนี้จึงเกิดความกังวลขึ้น
ประตูหินสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ด้านบนป้ายขวางขีดเขียนด้วยตัวหนังสือเก่าแก่ หากแต่ทรงพลัง
"สำนักเซิ่งหยวน"
หลังจากเดินทางกว่าสองเดือนจากชายแดนแคว้นซ่ง จนกระทั่งถึงสำนักเซิ่งหยวนแคว้นฮั่น คนทั้งสองกลับกลายเป็นดำคล้ำ พ่ายผอมกว่าเดิม พอถึงสำนักเซิ่งหยวนพวกมันคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรง รู้สึกว่าการเดินทางสมควรสิ้นสุดลง สายตาพลันเหลือบไปเห็นคนเฝ้าประตูสองคนที่กำลังเดินเข้ามา
"พวกเจ้ามีธุระอันใดกับสำนักเซิ่งหยวน"คนเฝ้าประตูรูปร่างผอมสูงเอ่ยปากถาม
"พวกเรามาเดินทางเข้าพบผู้อาวุโสแซ่เซี่ย รบกวนพี่ท่านกราบเรียนผู้อาวุโสว่าเราเป็นผู้เยาว์ของผู้อาวุโสหลินขอเข้าพบท่านผู้เฒ่า"จางหยุนตอบคำพร้อมกับโค้งคำนับ
คนทั้งสองได้ยินดังนั้น ในใจกลับมึนงงสงสัย เด็กน้อยยากไร้ แต่งกายราวกับขอทานสองคนนี้กลับมาขอเข้าพบผู้อาวุโสเซี่ย หลังจากปรึกษากันจึงตกลงใจให้คนอ้วนเตี้ยเข้าไปรายงาน ส่วนคนผอมสูงอยู่เฝ้าทั้งสองเอาไว้ คนอ้วนเตี้ยยังคิดในใจ ยอมเหน็ดเหนื่อยชั่วครู่ยังดีกว่าพลาดเรื่องสำคัญจนโดนลงโทษ
เมื่อเห็นมีผู้ยินยอมเข้าไปรายงานคนทั้งสองจึงค่อยผ่อนคลายลงได้ ด้วยเพราะกังวนว่าด้วยสารรูปเช่นพวกมันหากโดนเตะออกจากที่นี้กลับมิได้เกินเลยไปสักนิด ภายในใจยังเกิดความคาดหวังถึงอนาคต