มหาศึกราชันสัประยุทธ์

ปะทะสามจอมยุทธ์(รีไรท์)

สายัญมาเยือน ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลู่ลงตามไหล่เขา แว่วเสียงสกุณาดังกังวานลากยาวสม่ำเสมอ ขับเน้นบรรยากาศอันวิเวกวังเวงขัดกับความเงียบงันเบื้องล่าง

"ยี่สิบกว่าปีที่มิได้เจอกัน พี่หลินกลับรู้จักเสพสุขนัก เลือกพำนักในสถานที่อันเงียบสงบเช่นนี้" หัวหน้าขบวนผู้นั่นกลับถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้มานั่งประจันหน้ากับหลินเฟย กล่าววาจาสัพเพเหระราวกับสหายเก่าที่ไม่ได้พบพานกันมานาน

"ท่านเจียงก็ดูก้าวหน้าขึ้นไม่เบา ไม่ว่าจะเป็นศักดิ์ฐานะหรือพลังยุทธ ดูท่าขอบเขตราชันยุทธ์คงอยู่ไม่ไกลแล้ว" หลินเฟยกล่าววาจาอย่างสนิทสนมราวกับว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้ามิได้ตัดขามัน ถึงแม้ว่าหลินเฟยจะได้แผดเผาเม็ดจินตันของตอนเองจนหมดสิ้น พลังยุทธ์ถดถอยกลับมาอยู่เพียงระดับจอมยุทธ์ขั้นกลาง ประสาทสัมผัสถดถอยลงไปมากมายกว่าจะรับรู้ได้ว่ามีศัตรูมาเยือนก็หลบหนีไม่ทันเสียแล้ว แต่ประสบการณ์ สายตา ยังคมกล้าเพียงมองปราดเดียวก็ระบุระดับชั้นของเจียงเหอได้

เจียงเหอเพียงแย้มยิ้มแทนการตอบคำ ในตอนนี้มันอยู่ในระดับจ้าวยุทธ์ขั้นเต็ม กล่าวได้ว่าอีกเพียงครึ่งก้าวมันก็เหยียบย่างเข้าสู่ระดับราชันยุทธ์ เมื่อใดที่มันก้าวเข้าสู่ระดับราชันยุทธ์ เมื่อนั้นมันจึงถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสของสำนักเทียนหวางอย่างแท้จริง

"สายตาของพี่หลินช่างคมกล้ายิ่งนัก แต่เราไหนเลยเปรียบเทียบกับพี่หลินได้ ในอดีตฉายากระบี่มายาวายุของพี่หลินช่างร้ายกาจสมชื่อ ในตอนนั้นภายใต้การไล่ล่าหลายร้อยลี้ยังไม่อาจจับตัวท่านได้ ขนาดเราตัดขาทั้งสองของท่าน ท่านยังโบยบินหนีไปได้ ช่างสร้างความนับถือเลื่อมใส่แก่เรายิ่งนัก"

เจียงเหอกล่าววาจาชื่นชมที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ตัวมันในตอนนี้รู้สึกสาสมใจยิ่งนัก คงเป็นเพราะในอดีตหลินชางอวี้นายบ่าวเจิดจรัสเกินไป จนมิอาจมองได้เต็มตา ต่างกับวันนี้ที่มีสภาพดุจสุนัขพิการรอรับการเชือดเฉือนตัวหนึ่ง

หลินเฟยไหนเลยจะฟังความหมายที่แฝงมาในวาจาไม่ออก ตั้งแต่ค่ำคืนนั้นมันก็ไม่สนความเป็นความตายแต่แรก ยิ่งไม่สนกับถ้อยคำเหยียดหยาม ที่มันนึกเสียดายอยู่บ้างคือไม่อาจมองดูวันที่เหล่าศิษย์เติบโต โดยเฉพาะจางหยุนที่มันยึดถือเป็นตัวแทนนายท่านของมันหลินชางอวี้

เมื่อเห็นว่าถ้อยคำเหน็บแนมของตนเองไม่เป็นผล เจียงเหอจึงรู้สึกหมดสนุก จึงตัดสินใจจบภารกิจอันยาวนานของมันเสียที

"พี่หลินกล่าววาจาเสียยืดยาว คงมิได้กำลังถ่วงเวลาให้พวกเด็กน้อยหลบหนีกระมัง หากเป็นเช่นนั้น พี่หลินคงเหนื่อยเปล่าแล้ว ผู้น้องส่งชนชั้นจอมยุทธ์สามคนไปตามเด็กๆ กลับมาแล้ว" เจียงเหอกล่าววาจายิ้มแย้มแต่รอยยิ้มกลับเหี้ยมเกรียม

เด็กหนุ่มบ่มเพาะจิตสี่คนไหนเลยต้านทานระดับจอมยุทธ์ได้ อีกฝ่ายยังมีด้วยกันถึงสามคน หลิยเฟยกลับมีจิตใจหนักอึ้ง แต่เพียงชั่วขณะก็ระงับอารมณ์ลงได้ ยังคงให้ชะตาตัดสินเถอะ หลังจากคิดได้ ขณะนั้น หลินเฟยคล้ายกับหลุดพ้นจากทางโลก ตัดขาดจากทุกสิ่ง

"รีบจบเรื่องเถอะ นั่งพูดคุยกับท่านมานาน เรากลับเริ่มรู้สึกปวดหลังอยู่บ้าง" หลินเฟยกล่าววาจาไม่ยินดียินร้าย ด้วยมันทราบว่าวันนี้ ตนไม่อาจมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน

ราวกับเป็นคำขอสุดท้ายก่อนตาย เจียงเหอเพียงตวัดดาบแผ่วเบา ตอบสนองต่อคำขอของหลินเฟยอย่างทันท่วงที มันนับถือหลินเฟยเป็นนักสู้ผู้กล้า มิต้องการย่ำยีมันเกินไป

ตุ๊บ...เสียงศรีษะของหลินเฟยร่วงหล่นลงพื้น กลับมิได้กลิ้งไปไหนไกล เพียงกลิ้งครึ่งรอบ ก็แน่นิ่ง หากไม่เห็นบาดแผล คนกลับคล้ายนอนหลับฝันถึงเรื่อยราวดีๆเรื่องหนึ่ง หลินเฟยจากไปอย่างสงบราวกับว่ามันรอคอยเวลานี้มาเนิ่นนาน...


หลังจากหลบหนีออกมาได้ครึ่งชั่วยามหวังเอ้อเหมากลับต้านทานความสงสัยไม่ไหว เหตุใดพี่ใหญ่กับอาหยุนถึงได้เร่งรุดเดินทาง สีหน้าเคร่งเคลียด อีกทั้งมิกล่าววาจาใดๆ ออกมาเลย จึงเอ่ยปากถามจางหยุน "เหตุใดพวกเราต้องเร่งรุดเดินทางปานนี้ วิ่งมาครึ่งชั่วยามข้าพเจ้าเริ่มเหน็ดเหนื่อยแล้ว"

ไม่ทันที่จางหยุนจะตอบคำ กลับปรากฎมือกระบี่สามคนชักกระบี่ถาโถมเข้ามา ไม่มีวาจาไร้สาระ มีเพียงคมกระบี่ที่เอื้อนเอ่ยวาจาแทนผู้เป็นนาย มันทั้งสามกลับเป็นนักฆ่าระดับจอมยุทธ์ที่จางเหอส่งมาสังหารเหล่าศิษย์พี่น้องเหล่านี้

ในห้วงความเป็นความตายยังคงเป็นอวี๋เฟิงอันสุขุมที่ตั้งสติได้ก่อน ถึงแม้แตกตื่นแต่กลับไม่ลนลานเบี่ยงกายหลบคบกระบี่ที่พุ่งเข้าหาตนเองพร้อมกับตวัดกระบี่เข้าต้านรับกระบี่สังหารที่ทิ่มแทงไปยังหวังเอ้อเหมา

แต่ไหนเลยกระบี่ของเด็กหนุ่มบ่มเพาะจิตจะต้านรับกระบี่สังหารจากระดับจอมยุทธ์ได้ พลังปรานที่แฝงมากับกระบี่กระแทกทำร้ายอวี๋เฟิงจนกระบี่หลุดลอยจากมือ ปรานกระบี่ที่หลงเหลือยังกระแทกทำร้ายหวังเอ้อเหมาจนกระอักเลือด

ทางด้านจางหยุนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน คนร่ายรำเพลงกระบี่มายาจันทราที่พึ่งเรียนรู้ ทำได้เพียงปัดป้องไม่ให้คมกระบี่ทิ่มแทงจุดสำคัญเท่านั้น เพียงพริบตาร่างมันกลับเต็มไปด้วยบาดแผล โลหิตหลั่งไหลย้อมชุดยาวสีครามจนดูคล้ายลวดลายสีดำจนทั่วตัว

ในขณะที่เฉินคุนได้เพียงกระแทกตัวนั่งลงแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายสั่นเทา เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี มีความเป็นอยู่ที่ไม่เลวเช่นมัน ไหนเลยจะเคยเห็นเลือดมาก่อน อย่าว่าแต่นี่กลับเป็นการลงมือสังหารจากชนชั้นจอมยุทธ์ ที่มันมิอาจต่อกรได้แม้เพียงชั่วครู่

ทางด้านมือกระบี่ที่จู่โจมอวี๋เฟิง หลังจากลงมือกระบี่แรกล้มเหลว ชนชั้นจอมยุทธ์เช่นมันกลับสังหารเด็กหนุ่มบ่มเพาะจิตอายุสิบกว่าปีผู้หนึ่งไม่สำเร็จ รู้สึกเสื่อมเสียหน้านัก

ยามเดือดดาลใช้ออกด้วยเพลงกระบี่ตาข่ายฟ้าปิดกั้นทางหลบหนี้ไปสิ้น อวี๋เฟิงคิดอาศัยความที่ศัตรูประมาทตนเอง รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือคว้ากระบี่ที่ตกพื้นเสี่ยงทุ่มเทพลังทั้งสิบส่วนโดยไม่ออมรั้งใดๆ ใช้ออกด้วยท่าไล่จันทรา เข้าแลกชีวิตกับคู่ต่อสู้คิดหวังตายตกตามกัน

แต่ด้วยความต่างด้านขุมพลัง ปรานกระบี่ตาข่ายฟ้าที่มือกระบี่ใช้ออก กลับเปลี่ยนจากคุมพื้นที่หลบหนีมาเป็นพัวพันกระบี่ ปรานกระบี่ธาตุน้ำคล้ายถักทอเป็นตาข่ายปรานเข้าหยุดยั้งกระบวนท่าไล่จันทราจนความเร็วและพลังปรานที่แฝงมากับกระบี่สูญหายไปแทบหมดสิ้น แล้วปัดกระบี่ลงตามสภาวะ พร้อมกับฟันกระบี่แนวขวางไปที่กลางลำตัวของอวี๋เฟิง โลหิตพลันสาดกระจาย

ในขณะเดียวกันมือกระบี่ที่จู่โจมสังหารหวังเอ้อเหมาหลังจากไม่มีใครคอยขัดขวาง มันไม่ต้องการสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงกับคนใกล้ตายผู้หนึ่ง จึงแทงออกโดยไม่ใช้เพลงกระบี่อันใด แทงลงไปที่กลางอกของหวังเอ้อเหมา เป็นท่ากระบี่อันทื่อด้านไม่มีการพลิกแพลงอันได้

แต่ยามนี้มันไหนเลยมีเรี่ยวแรงหลบเลี่ยง มันทำได้เพียงโคจรปรานธาตุดินไว้ที่สองฝ่ามือขวางกั้นคมกระบี่ แต่ปรานดินอันอ่อนแอของมันไหนเลยต้านทานไหว คมกระบี่ทำลายปรานดินอันอ่อนแอที่มันใช้พลังทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาอย่างง่ายดาย ปลายกระบี่ยังคงเดินหน้าทิ่มแทงฝ่ามือมันลงไป

ภายใต้บรรยากาศแห่งความตาย หวังเอ้อเหมาพลันไม่ได้ยินเสียงสิ่งรอบข้าง ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงมันกับมือกระบี่ เงียบจนมันได้ยินเสียงกระบี่แทงผ่านเนื้อ เสียงกระบี่ที่เสียดสีกับกระดูก เสียงนี้ช่างบาดหูนัก คล้ายกับเสียงที่มันมักได้ยินตอนฆ่าไก่ให้กับบิดา

จนกระทั่งรู้สึกถึงความเย็นจากคมกระบี่ทิ่มแทงไปที่หน้าอกปลุกมันให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ หวังเอ้อเหมาได้แต่ทอดอาลัยในใจ จบสิ้นแล้ว...

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว