เสียงร้องไห้ที่ดังเล็ดลอดออกมาจากผนังกำแพงข้างบ้านทำให้เด็กชายวัยเจ็ดขวบที่วิ่งเล่นอยู่บริเวณนั้นหยุดชะงัก พยายามเงี่ยหูฟังถึงได้รู้ว่ามันดังมาจากอีกฝั่ง บ้านข้างๆ ที่ใช้รั้วบ้านร่วมกันกับเขา เด็กชายวิ่งไปยกเก้าอี้มาวางเทียบรั้วปูนที่มีความสูงราวเมตรครึ่งแล้วปีนขึ้นไป ความสูงของเก้าอี้ช่วยให้ศีรษะของเด็กชายโผล่พ้นกำแพงพอดี สิ่งที่เด็กชายเห็นคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้สะอึกสะอื้น ครั้นพอเด็กชายส่งเสียงเรียก ‘เธอ เธอ’ เด็กหญิงก็ทำหน้าตาเลิกลั่ก หันรีหันขวางมองหาต้นเสียง
“มองไปไหน ฉันอยู่ตรงนี้” ไม่พูดเปล่า เด็กชายยังเหวี่ยงดอกหญ้ากลมๆ ลงไปที่ศรีษะของเด็กหญิงดังป๊อก นั่นแหละเด็กหญิงถึงได้เงยหน้าขึ้นมองบนกำแพง
“เธอ..เป็นใครน่ะ มาทำอะไรอยู่ที่รั้วบ้านคนอื่น” เด็กหญิงลุกขึ้นยืนแล้วขยับเข้าไปใกล้ๆ กำแพงที่มีศีรษะใครสักคนโผล่อยู่บนนั้น เอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“รั้วบ้านเธอคนเดียวที่ไหน มันก็รั้วบ้านฉันด้วย แล้วเธอเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ใครบอกฉันร้องไห้ ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย” เด็กหญิงตัวน้อยรีบปาดน้ำตาออกจากแก้ม
“ก็เสียงร้องไห้ของเธอมันดังลอดเข้ามาจนฉันได้ยินเลยโผล่มาดูนี่ไง ยังจะเถียง”
โดนเด็กชายย้อนมาแบบนี้เด็กหญิงก็พูดไม่ออก แม่สอนนักหนาว่าไม่ให้โกหก แต่แม่ก็สอนให้เข้มแข็งเหมือนกัน เธอจึงไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอแอบมาร้องไห้ เด็กหญิงขอร้องเด็กชายไม่ให้บอกใคร เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบแล้วถามชื่อเด็กหญิง
“ฉันชื่อตะวัน เด็กหญิงทานตะวัน แล้วเธอล่ะ”
“ฉันชื่อแฮป”
“ที่แปลว่าแอบเอาของคนอื่นมาน่ะเหรอ ทำไมชื่อแปลกจัง”
“เธอน่ะสิแปลก คนอะไรกินพระอาทิตย์” เด็กชายย้อนกลับแล้วหัวเราะร่วน ชื่อของเขา เด็กชายแฮปปี้ แปลว่าคนที่มีความสุขมากๆ ต่างหาก
เด็กหญิงทำหน้าสงสัย พอคิดได้ก็หัวเราะผสมโรงกับเด็กผู้ชายตัวโต คิ้วหนา เพื่อนใหม่คนแรกของเธอ
ห้องเรียนประถมศึกษาปีที่1/1 ครูประจำชั้นพาเด็กหญิงตัวเล็กมาที่หน้าชั้นเรียน ต้องปรบมือดังๆ ถึงสามครั้ง เด็กนักเรียนที่คุยเล่นกันเอ็ดอึงถึงได้เงียบเสียงลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ครูและเด็กหญิงผู้มาใหม่
“วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำ ชื่อทานตะวัน ชื่อเล่นชื่อตะวันจ้ะ ต่อไปนี้ตะวันจะอยู่ห้องเรา ฝากทุกคนดูแลเพื่อนใหม่ด้วย อืม..ไปนั่งตรงไหนดี”
ระหว่างที่ครูกำลังมองหาที่นั่ง ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากท้ายห้อง
“ให้ไปนั่งกับนายแฮปเลยครับครู นั่งอยู่คนเดียวมานานแล้ว เผื่อจะช่วยให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ” สิ้นเสียงเด็กชายโดม เด็กแสบประจำห้อง เด็กทั้งห้องก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“นักเรียนหยุด! เสียกันมารยาทจริงๆ น้องตะวันนั่งหลังไหวไหมคะ ตัวยิ่งเล็กๆ จะโดนเพื่อนบังเอาสิเนี่ย ไว้ครูขยับที่นั่งกับเพื่อนให้ดีกว่า”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณครู หนูนั่งได้ค่ะ” เด็กหญิงรีบยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วค่อยๆ เดินไปยังที่นั่งด้านหลังสุดฝั่งขวาที่มีเด็กชายตัวโตผิวขาว คิ้วหนาๆ ที่เธอเคยรู้จักแล้วเมื่อวันก่อน
“หวัดดีแฮป” เด็กหญิงเอ่ยทัก
“หวัดดีตะวัน ตามมาถึงโรงเรียนเลยนะ” เด็กชายตัวโตยิ้มให้เด็กหญิงตัวเล็กที่ตอนนี้นัยน์ตาสดใส ไม่มีร่องรอยของเด็กขี้แยแม้แต่น้อย
“เปล่าตามสักหน่อย โรงเรียนใกล้ๆ บ้านเรามันก็มีแต่โรงเรียนนี้นี่นา เออ..แล้วทำไมนายคนนั้นเขาพูดถึงแฮปอย่างนั้นล่ะ” เด็กหญิงชำเลืองมองไปทางเด็กชายใส่แว่นตัวอ้วนดำที่เพิ่งพูดจาเสียมารยาทกับเพื่อนใหม่ของเธอไปเมื่อครู่
“อย่าไปสนใจเลย ง่วงอะ ขอนอนก่อนนะ”
“อ้าว..ครูยังสอนอยู่เลยแฮป นอนได้ไง” เด็กหญิงมองเด็กชายที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วได้แต่ส่ายหน้า นี่ละมั้งสาเหตุที่ทำให้เพื่อนๆ ในห้องหัวเราะกันคึกคักเมื่อเจ้าอ้วนพูดแซวขึ้นมา
ช่วงพักกลางวันเด็กชายตัวอ้วนเจ้าเดิมก็รีบบึ่งไปหาเด็กชายแฮปที่กำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันกับเด็กหญิงตะวันในโรงอาหารของโรงเรียน
“ว่าไงไอ้ชินจัง เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไงวะ ถึงได้มาหลับในห้อง”
เด็กชายตัวอ้วนพูดจบ ลูกสมุนที่เดินตามมาสามคนก็พากันหัวเราะลั่นโรงอาหาร เด็กหญิงตะวันรู้สึกไม่ชอบใจกับพฤติกรรมเจ้าอ้วนและพลพรรค ยิ่งโมโหหนักเมื่อเห็นเด็กชายที่ถูกว่านั่งทำคิ้วหนาทานอาหารหน้าตาเฉย เด็กหญิงเลยลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนใส่หน้าเจ้าตัวหัวโจก
“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย นายอ้วน!”
“อ้าว แล้วฉันพูดกับเธอหรือยังไง ยัยดำ! แหม เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวันทำเป็นทนไม่ได้ ออกรับแทนว่ะพวกเรา”
แล้วก็เหมือนเดิม ลิ่วล้อขานรับผู้เป็นหัวหน้าด้วยการโห่ฮาดังก้องโรงอาหาร เด็กหญิงตะวันกำหมัด พยายามระงับอารมณ์เต็มที่
“ไปกันเถอะตะวัน อิ่มละ” เด็กชายคิ้วหนาลุกขึ้นยืน ดึงมือเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังโกรธให้เดินออกจากโต๊ะ
“อะไรแฮป นายจะปล่อยไปแบบนี้น่ะเหรอ ไอ้อ้วนนั่นมันว่าตะวันนะ” เด็กหญิงขืนมือไว้แล้วพูดกับเด็กชาย
“ก็ตะวันไปว่าเขาก่อนนี่นา ไปกันเถอะ อิ่มแล้ว ง่วงอีกแล้ว”
พูดจบแฮปก็หาวใส่จนตะวันอยากจะหวีดร้อง เพราะเฉื่อยแฉะแบบนี้นี่แหละพวกนั้นถึงได้ตามหาเรื่องอยู่เรื่อย ขณะที่เด็กหญิงตัวเล็กกำลังหงุดหงิดด้วยความไม่ได้อย่างใจ เจ้าเด็กอ้วนก็แหลมเข้ามาอีก
“ทำม่ะ! เห็นแฟนโดนว่าตัวดำ ทนไม่ได้ รีบจูงมือกันไปเลยเว้ยเฮ้ย”
ลูกสมุนทั้งสามส่งเสียง ฮิ้ววววว รับลูก ตามด้วยเสียงหัวเราะและอาการแสร้งว่าขำหนักจนท้องคัดท้องแข็ง เห็นอย่างนั้นเด็กหญิงก็เริ่มจะทนไม่ไหวพยายามสะบัดมือเด็กชายที่จับแขนเธอไว้ออก แต่มือนั่นแข็งแรงมาก นอกจากสะบัดไม่หลุดยังฉุดเด็กหญิงให้เดินตามออกไปได้โดยง่าย แถมเด็กชายยังเดินเร็ว ก้าวขายาวจนเด็กหญิงต้องวิ่งตาม
“เฮ้ย พวกมันจะหนี ตามโว้ย!”
เสียงเจ้าอ้วนหัวโจกที่ตะโกนไล่หลัง ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กหันกลับไปดู เห็นพวกนั้นวิ่งกรูตามกันออกมา นำโดยเจ้าอ้วนจอมเบ่ง เด็กหญิงรีบยื่นขาออกมาขวางขณะที่เด็กชายตัวอ้วนวิ่งเข้ามาใกล้
เสียงล้มดังตุ๊บ! ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เจ้าอ้วนสะดุดขาเด็กหญิง ล้มลงไปนอนคว่ำหน้ากองอยู่กับพื้นท่ามกลางความตกใจของลิ่วล้อ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอันกึกก้อง จากหนึ่งเป็นสอง สาม สี่ และทั้งโรงอาหาร
“สม!” เด็กหญิงตัวเล็กหันไปแลบลิ้นให้กับช้างล้มแบบสิ้นลาย แล้วรีบชิ่งหนี จากที่วิ่งตามกลายเป็นวิ่งนำ ทำให้เด็กชายที่จับมือกันอยู่ต้องออกแรงวิ่งด้วยเหมือนกัน สองคนวิ่งไปหลบที่แปลงปลูกสวนเกษตรข้างโรงเรียน
“ตะวันไปทำเขาอย่างนั้นทำไมอะ” แฮปถามไปหอบไป
“ก็มันอยากแกล้งเราก่อนนี่นา นายนั่นแหละ ทำไมยอมให้พวกนั้นตามว่าอยู่ได้ ตัวก็ออกจะใหญ่ ทำไมไม่คิดสู้!”
“ฉันไม่ชอบใช้กำลัง ไม่ชอบทำร้ายใคร”
แล้วเด็กหญิงตัวเล็กก็เห็นเด็กชายตัวโตเอนตัวนอนราบลงบนพื้นหญ้าแล้วหลับตา เพื่อนใหม่ของเธอแปลกมาก เธอไม่เคยเห็นใครเป็นเหมือนเขา แล้วหญ้านี่มันเลอะหรือเปล่า นอนลงไปได้ยังไง เด็กหญิงลองเอามือสัมผัสหญ้า เมื่อเห็นว่ามันก็นุ่มดีเหมือนกันเธอเลยนอนลงบ้าง
“แต่นายก็จะโดนเขาล้อ เขาแกล้งอยู่ทุกวัน” เด็กหญิงหันหน้ามาหาเด็กชาย
“ไม่เป็นไรนี่ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ถ้าเราไม่เป็นอะไร ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้” เด็กชายตอบทั้งๆ ที่ยังหลับตา เด็กหญิงเริ่มสงสัยว่ากลางคืนเขาทำอะไรอยู่ กลางวันถึงได้นอนเอานอนเอาแบบนี้ แล้วเสียงออดเข้าห้องเรียนก็ดังขึ้น เด็กหญิงลุกขึ้นยืนแล้วชวนเด็กชายเข้าห้องเรียน
“เธอไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวขอฉันนอนอีกเดี๋ยว แล้วจะตามไป”
“งั้นตะวันไปก่อนนะ แล้วตามมาล่ะ”
“อ้อ แล้วระวังพวกโดมด้วยล่ะ ไปทำเขาซะขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ตะวันเอาตัวรอดได้ ครูก็อยู่ ไปนะ”
เด็กชายมองตามเด็กหญิงตัวเล็กที่วิ่งเร็วจี๋ออกจากสวนไปแล้วก็นึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
ในเบนซ์คันขาว นีรนุชเหลือบมองลูกสาวคนเดียวที่ตอนนี้สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงต่างจากตอนเช้าที่เธอถักผมเปียให้ลูกน้อยมาอย่างดี รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎบนใบหน้าผู้เป็นแม่ ก่อนจะเอ่ยถามลูกสาวตัวน้อยด้วยเสียงนุ่มนวลว่าวันนี้ที่โรงเรียนใหม่เป็นอย่างไร เด็กน้อยไม่ตอบที่แม่ถาม แต่กลับบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“แม่คะ หนูอยากเรียนเทควันโดค่ะ ตัวเท่าหนูเรียนได้หรือยังคะ หนูอยากมีวิชาไว้ป้องกันตัวและปราบล้างคนเลวให้สิ้นซาก!”
“ดูการ์ตูนมากไปหรือเปล่าคะลูก” คนเป็นแม่ถึงกับหัวเราะเมื่อได้ฟังน้ำเสียงพร้อมท่าทางราวกับผู้พิทักษ์หรือซุปเปอร์ฮีโร่ของลูก
“หนูพูดจริงนะคะ วันนี้คุณแม่ว่างไหมคะ พาหนูไปหาที่เรียนกัน หนูจะเรียนทุกวันตอนเย็นหลังเลิกเรียนนะคะแม่ นะคะ” เด็กหญิงตัวน้อยออดอ้อน
“โอเค โอเค งั้นเดี๋ยวไปทานอาหารเย็นนอกบ้าน แล้วแวะดูที่เรียนใกล้ๆ บ้านกัน”
เห็นลูกน้อยยิ้มกว้าง คนเป็นแม่ก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ นี่คงไปก่อเรื่องอะไรเข้าให้อีกแล้ว นิสัยไม่ยอมคนของลูกสาวไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ตัวก็เล็กแค่นี้ แต่คิดๆ ไปก็ดีเหมือนกัน เป็นการฝึกความเข้มแข็งไปในตัว
‘ทานตะวัน ลูกจะต้องเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งนะลูก..’
...............................
สวัสดีค่ะ เพิ่งทราบว่าห้องสมุดเปิดให้ลงงานเขียนได้แล้ว
จะทยอยเอาผลงานมาลงให้อ่านกันนะคะ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว