‘ถ้ารู้ว่าการไปทำงานวันนั้น จะได้เจอผัวในอนาคต ฉันจะรีบไปตั้งแต่เช้ามืด’
ฉันเริ่มบรรทัดแรกของไดอารีไว้ด้วยประโยคนี้เมื่อหลายปีก่อน และมันกลายเป็นบรรทัดเดียวอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งวันนี้ ฉันตัดสินใจจะเขียนเรื่องนี้ให้โลกได้รู้ว่า กว่าที่จะลุกขึ้นมามีผัวได้สักคน เจ้าประคุณเอ๋ย... มันยากแค้นลำเค็ญขนาดไหน สำหรับสาวที่ใครๆ มองว่าเพี้ยน เชอะ! พวกนั้นตาต่ำ ฉันปลอบใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าที่พลาดรถด่วน แล้วนี่ มันคงเป็นขบวนสุดท้ายของฉันแล้วละ ...
ฝากเพลงลอยลมมาหา
ผู้หอบรักมาจ้องตาเสนอ
ผู้ชายหล่อเหลาคนนั้น
บังเอิญพบกันที่หน้าอำเภอ...
ฉันคงกำลังฮัมเพลงนี้อยู่แน่ๆ ตอนที่มาดามปาก้าหัวหน้าแผนกจูงหนุ่มหน้าอ่อนผมยาวรุงรังมายืนอยู่ตรงหน้า หัวใจสาวเต้นตึกตักหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่ม ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้จ้องตุ้ม กระซิบเตือนตัวเองในใจว่าซวยแน่ แม่จันทร์เต็มดวง จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้อย่างไรคะ สถานภาพของฉันแค่คนดูงาน แต่กลับต้องมาคอยดูแลเด็กฝึกงานบ้างละ คอยหางานให้นักศึกษารับจ๊อบหน้าร้อนบ้างละ เมื่อตอนมาถึงที่นี่ใหม่ๆ เมอสิออร์ไอ้เตี้ย(ฉันเรียกตามเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่แก่พรรษากว่านะคะ) ผู้เป็นหัวหน้ารองจากมาดามจะไม่ยอมให้ป้ายชื่อเจ้าหน้าที่รังสีฯแก่ฉันเสียด้วยซ้ำ ฉันถึงกับต้องใช้มารยาห้าร้อยเล่มเกวียน เมอสิออร์เตี้ยล่ำถึงยอมให้ฉันติดป้ายนักรังสีการแพทย์ แทนป้ายเด็กฝึกงานถึกควายไทย นอกจากนั้น พวกเด็กฝึกงาน เด็กเวรแปลช่วยงานกี่รายๆ ที่ส่งมาให้ฉันนี่ ล้วนแต่กะทิน้ำห้า เหลือเลือก ไม่มีใครเอาแล้วทั้งสิ้น แต่ละคน ถ้าไม่โง่บรม ก็เกเรบรม ไม่งั้นก็ขี้เกียจบรม แล้วคราวนี้พวกเขาจะหาบรมไหนมาให้ฉันอีกนะ
ฉันมองไอ้หนุ่มผมยาวที่ยังไม่รู้คุณภาพว่าจะจัดเกรดเข้าบรมไหนดีตั้งแต่หัวจดตีน แล้วส่งใบรีเควทเอกซเรย์(ใบขอสั่งถ่าย) ให้ไปรับคนไข้ ไอ้หนุ่มที่มาดามหิ้วมาทิ้งไว้ให้ พร้อมกับบอกสั้นๆ ว่าชื่อนายฌอง-โคลด ยื่นมือมารับใบคำสั่ง เขารับคำเรียบง่ายพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเดินขากางออกไปจากห้องถ่ายเอกซเรย์ปอดหมายเลขสี่ ฉันมองตามหลัง พยักยิ้มน้อยๆ ตามตูดหนั่นสั่นส่าย พร้อมกับพึมพำว่า...น่ารักบรม