บทที่8 หนึ่งปี
หรงเจาเดินกลับไปที่ห้องของตนเพื่อหากระบอกไม้ไผ่สำหรับใส่น้ำไปให้หมิงซือเซียน เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะเอาไปให้เด็กตัวเล็กที่กำลังงอน หากไม่ใช่เพราะสังเกตว่ามีบางอย่างในห้องที่ผิดปกติไป
แม้หมิงซือเซียนจะพยายามเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยตามเดิม แต่นางก็ยังเด็กเกินกว่าจะทำอะไรหลอกตาคนอย่างหรงเจาได้ ชายหนุ่มมองดูบนพื้นที่ดูเหมือนมีร่องรอยการปัดกวาด ทั้งที่ปกติแล้วสาวใช้จะเข้ามาทำความสะอาดห้องของเขาในยามบ่าย ตอนเช้าก่อนออกจากห้อง หรงเจาจำได้ว่าตนรินน้ำชาดื่ม และวางกาน้ำชาไว้อย่างไม่เรียบร้อย แต่ยามนี้กาน้ำชากลับถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ล้อมด้วยถ้วยชาเล็ก ๆ อย่างเป็นระเบียบ
หรงเจาเดินมาดูที่เตียง บนเตียงมีเศษขนมเปี๊ยะร่วงอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อย ๆ ขณะหยิบเศษขนมเปี๊ยะขึ้นมาดู ปกติหมิงซือเซียนจะไม่เอาขนมขึ้นมากินบนเตียงโดยเด็ดขาด เพราะเด็กหญิงกลัวว่าพวกมดจะตามมากินเศษขนมที่ร่วงบนเตียง แล้วตนจะถูกมดกัดตอนนอน แต่หากไม่ใช่หมิงซือเซียนแล้วใครเล่าที่จะกล้าเข้ามานั่งกินขนมในห้องของเขา ทั้งยังเป็นบนเตียงของเขาอีก
เศษขนมเปี๊ยะในมือของหรงเจาร่วงลงบนพื้น ร่างสูงจึงโน้มตัวลงเก็บ แต่เมื่อก้มลงมาแล้วกลับต้องชะงักตัวอยู่ในท่านั้น เมื่อเห็นบางอย่างซ่อนอยู่ที่ใต้เตียงของตน
ห่อผ้าเล็ก ๆ สีม่วงอ่อน…สีที่หมิงซือเซียนชอบ!
ฝุ่นบาง ๆ บนพื้นใต้เตียงบ่งบอกว่าเด็กหญิงที่ตัวโตกว่าลูกแมวไม่เท่าไหร่เพิ่งมุดเข้ามุดออก ทั้งยังพยายามเช็ดทำความสะอาดฝุ่นที่ติดตัวออกมาด้านนอกอย่างไม่แนบเนียน หรงเจาเอื้อมมือไปดึงห่อผ้าดังกล่าวมาเปิดออกดู พบชุดสีม่วงปักลายดอกมู่หลานหนึ่งชุด กับห่อผ้าสีขาวที่เต็มไปด้วยยาชนิดต่าง ๆ ของเขา เมื่อนำมารวมกับเรื่องที่หมิงซือเซียนพยายามหากระบอกใส่น้ำในวันนี้ หรงเจาก็เดาได้ทันทีว่า มีเด็กบางคนกำลังวางแผนหนีตามเขาไป
“เฮ้อ” หรงเจาถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหมิงซือเซียนจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่ เห็นทีเขาคงจะต้องรีบคุยกับนางให้รู้เรื่อง ก่อนที่เด็กหญิงจะแอบหาทางหนีออกไปจากพรรคเฟยหรงจริง ๆ
หากเป็นเช่นนั้น เขาเองก็คงไม่รู้ว่าตนจะทำเช่นไรต่อไปดี
หมิงซือเซียนรออยู่เป็นนาน กว่าหรงเจาจะเดินกลับมาหา แต่ทันทีที่เห็นพี่ใหญ่เดินมา เจ้าตัวเล็กก็หน้าซีด เพราะพี่ใหญ่เดินมาพร้อมกับห่อผ้าที่นางเตรียมไว้
“เจ้าจะไปไหนหรือ เซียนน้อย” หรงเจาลองถามดู อยากรู้ว่าเด็กหญิงจะตอบเช่นไร
“เอ่อ…” หมิงซือเซียนทำหน้าไม่ถูก เกิดมานางแทบไม่เคยโกหก ยามนี้จึงไม่รู้ว่าควรจะตอบหรงเจาอย่างไร
“เจ้าเก็บของเหมือนจะออกเดินทาง จะไปที่ใดหรือ” หรงเจาถามซ้ำ หมิงซือเซียนก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับเขา
เงียบกันไปครู่หนึ่ง กว่าหมิงซือเซียนจะตัดสินใจตอบ
“ซือเซียนจะเก็บของไปกับพี่ใหญ่” เด็กหญิงพูดเสียงแผ่ว “ซือเซียนตั้งใจจะแอบเดินตามพี่ใหญ่ไป แล้วก็จะไปอยู่กับพี่ใหญ่ตอนฝึกวิชา”
“เจ้าจะตามพี่ใหญ่ทันได้อย่างไร ในเมื่อพี่ใหญ่ขี่ม้าไป ส่วนเจ้าเดินไป”
“ซือเซียนจะวิ่งตาม” หมิงซือเซียนตอบ “ถึงซือเซียนจะขาสั้น แต่ซือเซียนวิ่งเร็วนะ”
หากเป็นเวลาปกติ หรงเจาคงหัวเราะไปแล้ว แต่เพราะยามนี้เขายังต้องตีหน้าดุใส่เด็กดื้อที่คิดจะหนีตามเขาไป หรงเจาจึงต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วพูดกับหมิงซือเซียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“วิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังช้ากว่าม้า หากเจ้าตามพี่ใหญ่ไม่ทันแล้วหลงทางจะทำเช่นไร”
“ซือเซียนจะพยายามวิ่งให้ทัน” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่ว่าอย่างไรก็จะตามให้ทัน”
น้ำตาของหมิงซือเซียนเริ่มไหลลงมาตามแก้ม หรงเจาเห็นดังนั้นก็ทำใจดุนางต่อไปไม่ไหว ได้แต่รวบร่างเล็กเข้ามากอดไว้อย่างปลอบประโลม แต่กลับทำให้หมิงซือเซียนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
“เซียนน้อย เจ้าฟังพี่ใหญ่นะ” หรงเจาลูบศีรษะเด็กหญิง “ที่พี่ใหญ่ไป ไม่ใช่เพราะต้องการทิ้งเจ้า แต่พี่ใหญ่ไปเพื่อฝึกวิชากลับมาปกป้องเจ้าต่างหาก”
“เวลาพี่ใหญ่ฝึกวรยุทธ์ก็ได้แผลตลอด ถ้าไม่มีซือเซียน ใครจะช่วยใส่ยา ช่วยทำแผลให้พี่ใหญ่”
“…”
“ตอนนอน เวลาพี่ใหญ่หนาว ใครจะกอดพี่ใหญ่อย่างซือเซียน ถ้าไม่มีคนตัวอุ่น ๆ ให้กอดแล้วพี่ใหญ่ไม่สบาย ใครจะป้อนยาให้พี่ใหญ่เหมือนซือเซียน” หมิงซือเซียนพูดทั้งน้ำตา สองแขนเล็ก ๆ กอดหรงเจาแน่น จนคนถูกกอดต้องกระชับอ้อมกอดของตนให้แน่นขึ้นไปอีก “อยู่ข้างนอก ใครจะรักพี่ใหญ่เท่าซือเซียน”
สิ้นสุดคำนั้น หรงเจาก็ปล่อยให้เด็กหญิงกอดเขาร้องไห้อยู่พักใหญ่ ในที่สุด หมิงซือเซียนก็ผละออกจากหรงเจา พร้อมทั้งใช้มือเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง ก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังบ้าง
“ให้ซือเซียนไปกับพี่ใหญ่นะ ซือเซียนจะไม่ดื้อ จะอาบน้ำเอง แต่งตัวเอง จะไม่กวนพี่ใหญ่เลย” หมิงซือเซียนใช้สองมือของตนจับมือใหญ่ของหรงเจา “ซือเซียนจะไม่งอแงตอนง่วง จะไม่วุ่นวายกับพี่ใหญ่ตอนฝึกวรยุทธ เวลาหิวข้าว ซือเซียนก็จะหาข้าวกินเอง เวลาหิวน้ำก็จะหาน้ำกินเอง จะไม่ทำให้พี่ใหญ่เสียสมาธิตอนฝึกวรยุทธ์เด็ดขาด ซือเซียนสัญญา”
หรงเจานิ่งไป ชายหนุ่มมองร่างเล็กที่ตนรักราวกับพยายามครุ่นคิดและตัดสินใจบางอย่างอยู่เป็นนาน แต่ในที่สุด หรงเจาก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ
“หนึ่งปี” เขาพูด “เจ้าไปอยู่กับพี่ใหญ่ได้หนึ่งปี”
หมิงซือเซียนหยุดร้องไห้แทบจะในทันที
“หนึ่งปีนี่นานไหมเจ้าคะ” เด็กน้อยถาม
“ก็นานอยู่”
“ซือเซียนขออีกนานอีกหน่อย”
“อะไรกันเจ้าตัวเล็ก ได้คืบจะเอาศอกหรือ” หรงเจาพูดเหมือนดุ แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความเอ็นดู “พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปอยู่ด้วยหนึ่งปี จากนั้นจะพาเจ้ากลับมาส่งที่พรรคเฟยหรงตามเดิม ตกลงไหม”
“ทำไมซือเซียนอยู่กับพี่ใหญ่ตลอดไปไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
“หลังจากพี่ใหญ่สำเร็จวิชาหลิ่งเหอครบเก้าสิบเก้าขั้นแล้ว พี่ใหญ่จะกลับมาอยู่กับเจ้าตลอดไป”
“จริงหรือเจ้าคะ” หมิงซือเซียนถามอย่างดีใจ “สัญญานะ”
“อืม สัญญา”
“ซือเซียนรักพี่ใหญ่ที่สุดเลย” เจ้าตัวเล็กกระโดดกอดหรงเจาด้วยความดีใจ ส่วนคนถูกกอดเองก็ดูเหมือนเต็มใจให้นางกอดไม่น้อย หรงเจารับร่างเล็กมาไว้ในอ้อมแขนของตนพร้อมกับยิ้มออกมาจาง ๆ
อย่างน้อยตอนนี้ น้องสาวตัวน้อยที่เขารักยิ่งกว่าผู้ใดก็กำลังดีใจอย่างที่สุด
และที่สำคัญ…ดูเหมือนว่านางจะหายโกรธเขาแล้วด้วย
“หนึ่งปีหรือ?” ฮัวกุ้ยอิงถามบุตรชาย เมื่อได้ยินว่าเขาจะหมิงซือเซียนออกเดินทางไปด้วย “อาเจา น้องยังเด็กนัก ยามเจ้าฝึกวิชา ใครจะดูแลนาง”
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ซือเซียนจะดูแลตัวเองเจ้าค่ะ” หมิงซือเซียนตอบอย่างฉะฉาน
“เจ้าอายุเท่านี้ จะดูแลตัวเองได้อย่างไรเล่าลูก” ฮัวกุ้ยอิงพูดอย่างไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไรขอรับท่านแม่ ข้าดูแลน้องได้” หรงเจากล่าว
“ซือเซียนก็ดูแลพี่ใหญ่ได้” หมิงซือเซียนรีบพูดบ้าง
หรงจิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ พร้อมทั้งเอื้อมมือไปลูบศีรษะหมิงซือเซียนที่นั่งอยู่บนตักหรงเจา
“เก่งจริงนะ เจ้าตัวเล็ก”
ฮัวกุ้ยอิงถอนหายใจเบา ๆ ลองถ้าหรงจิ่นมีปฏิกิริยาเช่นนี้แล้ว คงไม่มีใครสามารถขัดขวางไม่ให้หมิงซือเซียนตามหรงเจาออกไปฝึกวิชาได้อีกแล้ว แม้หมิงซือเซียนจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของนาง แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา นางก็รักและผูกพันกับเด็กคนนี้ไม่น้อย จึงไม่อยากเห็นลูกคนนี้ไปตกระกำลำบากที่ไหน
“ฮูหยิน เจ้าก็อย่าได้ห่วง ให้พี่น้องเขาดูแลกันเองเถิด” หรงจิ่นหันพูดกับภรรยา
“ท่านพี่กล่าวเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะขัดขวางได้อีก” ฮัวกุ้ยอิงตอบ
เห็นท่านแม่ท่าทางเศร้าใจ หมิงซือเซียนจึงกระโดดลงจากตักหรงเจา แล้ววิ่งไปปีนขึ้นนั่งตักท่านแม่ พร้อมทั้งซุกใบหน้าลงบนอกของนาง ในขณะที่สองแขนเล็กกอดผู้เป็นแม่แน่น
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงซือเซียนหรอกเจ้าค่ะ” เจ้าตัวเล็กพูดเสียงอ้อน “ซือเซียนจะดูแลตัวเองแล้วก็พี่ใหญ่ อีกหนึ่งปีซือเซียนจะกลับมารอพี่ใหญ่ที่บ้านกับท่านแม่”
ฮัวกุ้ยอิงกอดร่างเล็กตอบ พลางกดจูบลงบนศีรษะเล็ก
“เช่นนั้นก็จงดูแลตัวเองให้ดี อย่าเจ็บ อย่าป่วย ปลอดภัยกลับมาบ้านเรานะลูก”
“เจ้าค่ะ ซือเซียนจะไม่ป่วย ซือเซียนจะทำตัวให้แข็งแรงเหมือนพี่ใหญ่เลย”
“เก่งมาก ซือเซียนของแม่”
“ซือเซียนของท่านแม่เก่งที่สุด” เด็กหญิงชมตัวเองจนเรียกเสียงหัวเราะได้จากคนทั้งครอบครัว จะมีก็แต่ฮัวซีหลิวที่เศร้าซึม ไม่อาจหาคำใดมาร่วมสนทนากับคนในบ้านได้
สุดท้ายแล้ว คนที่พี่ใหญ่เลือกก็คือหมิงซือเซียน หาใข่นางไม่
หรงเจากับหมิงซือเซียนมาช่วยกันเก็บของอยู่ในห้อง ของส่วนใหญ่ที่หรงเจาเตรียม ก็เตรียมไว้ให้หมิงซือเซียน ในขณะเดียวกัน ของส่วนใหญ่ที่หมิงซือเซียนเป็นคนเตรียม ก็เตรียมไว้ให้หรงเจา
“ไปหนึ่งปี ต้องเตรียมยาไปเท่าไหร่นะ” หมิงซือเซียนนั่งนับห่อยาอยู่บนเตียง “ซือเซียนไปขอยาจากท่านหมอเพิ่มดีกว่า”
“ไปหาเอาข้างหน้าบ้างก็ได้” หรงเจาพูดยิ้ม ๆ ขณะมองดูเด็กหญิงเตรียมของให้ตน
“ไม่ได้ ไม่ได้” หมิงซือเซียนส่ายหน้า “ท่านแม่เคยบอกว่า ยาของพรรคเฟยหรงเป็นยาที่ดีที่สุด ยาข้างนอกอาจจะดีไม่เท่าก็ได้นะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“อื้อ” หมิงซือเซียนตอบ พลางกระโดดลงจากเตียง แล้ววิ่งไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิดก็มีเสียงดังขึ้นหน้าประตู
“พี่ใหญ่ อยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงฮัวซีหลิวถาม
“อยู่เจ้าค่ะ” หมิงซือเซียนตะโกนตอบแทน พร้อมกับเปิดประตูให้ฮัวซีหลิวเสร็จสรรพ
“พี่สาวมาหาพี่ใหญ่” หมิงซือเซียนหันมาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง
หรงเจามองฮัวซีหลิวที่ยืนอยู่หน้าประตูโดยไม่พูดอะไร เขารู้มาตั้งแต่เป็นเด็กว่าญาติผู้น้องของตนมีใจให้ ด้วยความที่ไม่เคยคิดอะไรกับนาง หรงเจาจึงไม่เคยทำตัวสนิทสนมกับฮัวซีหลิวเพื่อให้หญิงสาวตัดใจ แต่กลับกลายเป็นว่าฮัวซีหลิวไม่เคยตัดใจจากเขาได้เลย เรื่องนั้นเขาไม่ว่าอะไร เข้าใจว่าความรู้สึกของมนุษย์นั้นหาใช่สิ่งที่จะบังคับกันได้ แต่สาเหตุที่ทำให้เขาเย็นชากับฮัวซีหลิวอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะนางคิดร้ายกับหมิงซือเซียน ถึงขั้นผลักเด็กหญิงตกน้ำ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาทนไม่ได้จริง ๆ!
“มีอะไร” หรงเจาถามเสียงเรียบ
“เสื้อของพี่ใหญ่ที่ขาดตอนฝึกวรยุทธ์ ท่านป้าให้ข้านำไปซ่อม ข้าซ่อมเสร็จแล้วจึงนำมาคืนพี่ใหญ่เจ้าค่ะ”
“เซียนน้อย เจ้ารับเสื้อมาให้พี่ใหญ่สิ” หรงเจาว่า
“เจ้าค่ะ” หมิงซือเซียนรับคำ แล้วหันไปยื่นมือรอรับเสื้อจากฮัวซีหลิว
ฮัวซีหลิวมองหรงเจาที่มีสีหน้าเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยอมส่งเสื้อให้หมิงซือเซียน
ร่างเล็กกอดเสื้อของหรงเจา แล้ววิ่งกลับไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง หรงเจารับเสื้อจากหมิงซือเซียนแล้วลูบศีรษะเล็ก ๆ ของนางแผ่วเบา
“พี่ใหญ่รักซือเซียนมากเลยหรือเจ้าคะ” ฮัวซีหลิวตัดสินใจถามออกมา ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
“ใช่ ข้ารักนางมาก” หรงเจาตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ซือเซียนก็รักพี่ใหญ่มาก” หมิงซือเซียนรีบพูดบ้าง “แล้วซือเซียนก็รักพี่สาวด้วย”
ฮัวซีหลิวยิ้มเศร้า
“หากแบ่งปันความรักที่พี่ใหญ่มีให้ซือเซียนสักหนึ่งในหมื่นส่วนมาให้ข้าได้บ้างก็คงดี”
“หืม?” หมิงซือเซียนส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม “พี่ใหญ่ไม่รักพี่สาวหรือเจ้าคะ ทำไมล่ะ?”
“เพราะพี่ใหญ่รักเจ้าคนเดียวอย่างไรเล่า” ฮัวซีหลิวเป็นฝ่ายตอบ
“ทำไมรักซือเซียนแล้วถึงรักพี่สาวด้วยไม่ได้ ซือเซียนยังรักทั้งพี่ใหญ่ ทั้งพี่สาวได้เลย” หมิงซือเซียนขมวดคิ้วสงสัย “พี่ใหญ่รักพี่สาวด้วยได้ไหมเจ้าคะ”
”ไม่เป็นไรซือเซียน อย่าทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ”
“แต่…”
“ได้” หรงเจาพูดขึ้น ก่อนที่หมิงซือเซียนจะพูดจบ ฮัวซีหลิวมองหน้าเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง “อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ ข้าจะพาเซียนน้อยกลับมาส่งที่พรรคเฟยหรง ยามนั้น หากเจ้าช่วยดูแลนางแทนข้า ไม่ทำร้ายนาง ไม่คิดร้ายกับนาง และเห็นนางเป็นน้องสาวคนหนึ่งของเจ้า เจ้าก็จะกลายน้องสาวคนหนึ่งของข้าเช่นกัน”
“…”
“ทำได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าทำได้” ฮัวซีหลิวตอบทั้งน้ำตา
แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึก ขอเพียงหรงเจารู้สึกดีต่อนางบ้าง ไม่ว่าจะต้องทำอะไร นางก็ยอมทั้งนั้น
หมิงซือเซียนเห็นฮัวซีหลิวร้องไห้ก็รีบวิ่งมาหา
“พี่สาวเป็นอะไรเจ้าคะ ร้องไห้ทำไม”
ฮัวซีหลิวไม่ตอบอะไร นอกจากย่อกายลงกอดหมิงซือเซียนตอบ
“ไปอยู่ข้างนอกกับพี่ใหญ่ เจ้าต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี รู้ไหม”
“เจ้าค่ะ ซือเซียนจะดูแลพี่ใหญ่เอง”
“หากเจ้าดูแลพี่ใหญ่ได้อย่างที่พูด อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ เมื่อพี่ใหญ่พาเจ้ากลับมาส่งที่พรรค พี่สาวก็จะดูแลเจ้าอย่างดีเช่นกัน”
“ซือเซียนก็จะดูแลพี่สาวด้วย เพราะซือเซียนรักพี่สาว” เด็กน้อยพูดเสียงอ้อน พร้อมทั้งลูบหลังฮัวซีหลิวที่กำลังร้องไห้
หรงเจาเดินมาหาฮัวซีหลิวกับหมิงซือเซียน แล้วลงนั่งชันเข่าข้าง ๆ ทั้งสองคน จากนั้นจึงเอื้อมมือไปตบบ่าฮัวซีหลิวเบา ๆ
“อีกหนึ่งปีค่อยเจอกันใหม่ น้องข้า”