สงครามระหว่างชายแดนยังคงคุกรุ่นมีการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา และดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ด้วยทางฝ่ายตรงข้าม เป็นเสมือนแคว้นของพระสหายของฮ่องเต้ จึงทำให้เหตุการณ์เหมือนจะคงระดับความรุนแรงเอาไว้อย่างดีเยี่ยม
ด้วยเพราะว่าความเป็นสหายกันของฮ่องเต้ดูเหมือนถูกลดทอนลง ไม่เหมือนกาลก่อน
เพียงไม่นาน...
ด้วยสงครามที่เหมือนจะยืดเยื้อไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงทำให้เหล่าพลทหารล้วนล้มตาย ครอบครัวหลายครอบครัวขาดเสาหลัก
จึงเป็นเหตุให้ผู้นำต้องการเจรจาสงบศึกครั้งใหม่
และครั้งนี้ยังคงต้องเป็นองค์รัชทายาทหลี่ซื่อหมินอีกเช่นเคย ที่อยู่ในสัญญาสงบศึกนั่น
“หมินเอ๋อร์” ฮ่องเต้ยังคงหว่านล้อมหลี่ซื่อหมินที่ครานี้เหมือนจะไม่ยอมง่ายๆ “ในจำนวนองค์ชายทั้งหมด ก็เห็นจะมีเพียงเจ้า ที่เหมาะสม”
ฮ่องเต้เดินมาตบไหล่ของชายหนุ่มเบาๆ เอ่ยต่อ “ฝ่ายนั้นเป็นถึงองค์หญิงหนึ่งเดียวของฮองเฮาแคว้นเว่ย ฐานะของนางเหนือกว่าเว่ยฟาง อีกทั้งยังเจาะจงด้วยว่าต้องเป็นเจ้าเพียงเท่านั้น”
หลี่ซื่อหมินยังคงนิ่งเฉย ไม่ตอบรับคำใดๆ
“หมินเอ๋อร์ บิดาของเจ้าช่างไร้ความสามารถ” ฮ่องเต้ตัดพ้อตนเอง เพียงหวังจะให้โอรสตรงหน้าใจอ่อน
“เสด็จพ่อ...” หลี่ซื่อหมินเรียกฮ่องเต้เสียงเบา
“พ่อมิอาจ ปล่อยให้เหล่าทหารกล้า และประชาชนต้องได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้” ฮ่องเต้ตรัสเสียงอ่อนลง
“พ่อเพียงหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในเจตนาอันแท้จริงของพ่อ”
หลี่ซื่อหมินได้แต่ยืนก้มหน้านิ่งงัน มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย
สามวันต่อมาคณะขององค์รัชทายาทหลี่ซื่อหมินที่ต้องเดินทางไปรับองค์หญิงที่เป็นธิดาหนึ่งเดียวของฮองเฮาแคว้นเว่ยเพื่อมาอภิเษกสมรสจึงเกิดขึ้นอย่างอลังการ
หงเหม่ยหลงเพียงยืนมองคณะเดินทางนั้นจนสุดสายตา
หลี่ซื่อหมินต้องเดินทางไปกับคณะเดินทางนั่นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แววตาคล้ายกังวลอยู่หลายส่วน
“ข้าจะรีบกลับมา…” เขากล่าวกับหงเหม่ยหลงก่อนเดินทาง
“ข้ารักเจ้า…” เขายังคงกล่าวอย่างหนักแน่นให้นางคลายกังวลขณะนอนกอดนางยามค่ำคืน
หงเหม่ยหลงยังคงหรี่ตามองคณะเดินทางที่ลับสายตาไปนานแล้ว
ใบหน้าของนางยามนี้ไม่ว่าใครก็เดาอารมณ์ไม่ถูก
มิรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เสี่ยวซิงและเสี่ยวอิงที่ยืนมองหญิงสาวตาปริบๆได้แต่นึกเห็นใจและเป็นห่วง
เมื่อองค์รัชทายาททรงตอบรับการทำสัญญาสงบศึกครั้งนี้และได้เดินทางไปจนถึงแคว้นเว่ยแล้วนั้น
สงครามที่ดูเหมือนจะดุเดือดพลันสลายลงไป ทิ้งไว้เพียงความเสียหายไม่มากนัก
กองทัพนับแสนต่างพากันถอนพลเคลื่อนตัวกลับบ้าน เป็นที่น่ายินดีจนต้องเลี้ยงฉลองกันอยู่หลายวัน
หลายวันมาแล้วที่หลี่ซื่อหมินเดินทางไปยังแคว้นเว่ย
หงเหม่ยหลงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มุมเดิมเหมือนทุกวัน
นางยังคงรับฟังข่าวคราวของหลี่ซื่อหมินที่เดินทางถึงแคว้นเว่ยและกำลังรอการเตรียมการขององค์หญิงเพื่อพานางกลับมาเพื่ออภิเษกอย่างเป็นทางการยังดินแดนของตน
แต่กำหนดการเดินทางกลับของชายหนุ่มก็มีการเลื่อนออกไปอยู่ถึงสามครั้ง รวมครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว ที่กำหนดการเดินทางกลับยังคงเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด
ขณะนี้เป็นเวลานานมากแล้ว
นานแล้วที่หลี่ซื่อหมินควรจะเดินทางกลับ
แต่เขา
ก็ยังไม่กลับมา...
หงเหม่ยหลงเพียงนั่งถอนหายใจอยู่อย่างนั้น พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
นางแค่อยากเป็นสตรีธรรมดา
เป็นภรรยาที่ดี ของสามีอันเป็นที่รัก
แต่ดูเหมือนว่า
แค่เขารักนาง และนางรักเขา
มันอาจจะไม่เพียงพอ
นางเริ่มเบื่อเต็มที กับการเป็นเสมือนดั่งสตรีในห้องหอ
มันมิใช่ตัวนาง
มันไม่ใช่ หงเหม่ยหลง...
“จะไปอีกแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเสี่ยวซิงถามขึ้นเมื่อเห็นหงเหม่ยหลงจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนหลี่หงจินหยางบุตรชายของนางเหมือนดังเช่นเคยที่กระทำมา “ข้าน้อยทำสิ่งนี้เอาไว้ ฝากเอาไปให้ด้วยนะเจ้าคะ”
“ของข้าน้อยก็มีเจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะ” เสี่ยวอิงรีบยื่นสิ่งของตามมารดาด้วยทันที”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ข้าจะเอาไปให้ถึงมือหยางเอ๋อร์เลย” หงเหม่ยหลงกล่าวพลางรับของมาไว้ในมือ พลันสายตาเหมือนหันไปเห็นสตรีคุ้นหน้านางหนึ่ง
หงเหม่ยหลงแปลกใจเล็กน้อยกับการมาเยือนของสตรีนางนี้ก่อนเรียกชื่อนาง “หยางเจียน”
“ข้าเอง…” หยางเจียนรับคำด้วยใบหน้าซีดเซียวแต่ยังคงแต่งกายหรูหราเหมือนเคย
หยางเจียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าติดต่อเยว่เทียนไม่ได้เลย เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเขาไปที่ใด”
“เจ้ามีสิ่งใดฝากถึงเขาหรือไม่” คำถามของหงเหม่ยหลงทำให้หยางเจียนรู้ถึงคำตอบในทันที
“เช่นนั้น ข้าฝากจดหมายนี้ถึงเขา ได้หรือไม่” หยางเจียนกล่าวเสียงอ่อนอย่างน่าเวทนาขณะยื่นจดหมายส่งให้
หงเหม่ยหลงเพียงรับจดหมายมาไว้ในมือขณะปรายตามอง มิได้นึกสงสารสตรีตรงหน้าแต่อย่างใด
มันสมควรแล้วกับสตรีหลายใจ ทั้งที่มีบุรุษที่รักจริงอยู่แล้วทั้งคน กลับไม่รักษาเอาไว้ให้ดี
มิหนำซ้ำยังมาคิดร้ายหมายมาดกับบุรุษของผู้อื่น…
ภายในอาณาเขตของสำนักหมื่นโลกันต์ สถานที่ที่เหล่าชาวยุทธมักจะมานั่งจับกลุ่มเสวนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ
“มาแล้วหรือ” หลิวฉวนหยู่ร์รีบลุกขึ้นเดินมาหาหงเหม่ยหลงเมื่อเห็นหญิงสาวควบม้าเข้ามาในอาณาเขตของสำนักหมื่นโลกันต์
“อืม” หงเหม่ยหลงรับคำ ก่อนยื่นสิ่งของในมือไปทางเยว่เทียนพลางเอ่ย “จดหมายถึงท่าน เยว่เทียน”
เยว่เทียนรับจดหมายมาไว้ในมือด้วยสีหน้างงงวย ก่อนจะตะลึงเมื่อแกะจดหมายออกดู
“เยว่เทียนที่รัก หยางเจียนสำนึกผิดแล้ว ได้โปรด ท่านกลับมา...” เสียงเฟิงเหวินดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังของเยว่เทียนอย่างถือวิสาสะอ่านจดหมายในมือของเยว่เทียน
และเสียงนั้นของเฟิงเหวินทำหลิวฉวนหยู่ร์ที่สีหน้าสุกใสเมื่อครู่พลันมืดครึ้มชะงักงันทันที
เยว่เทียนก็เงียบงันไม่ต่างกัน
“ท่านพี่ทำอะไร เจ้าคะ” เว่ยฟางรีบปรามเฟิงเหวิน
แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะเฟิงเหวินเอ่ยแทรกขึ้นมา
“ข้านึกอยู่แล้ว” พลางตบไหล่เยว่เทียน “ใจแข็งไว้ เยว่เทียน”
“ท่านจะกลับไปหรือไม่” หลิวฉวนหยู่ร์ถามขึ้นด้วยนิสัยที่ไม่เคยฝืนใจเก็บข่มใดๆ
“ข้า...” เยว่เทียนอึกอัก
“ตอบ” หลิวฉวนหยู่ร์กดดัน
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” เยว่เทียนหันมาถามหงเหม่ยหลงที่ทรุดตัวลงนั่งที่ตั่งใกล้โต๊ะตรงหน้า เพื่อสังเกตกิริยาของชายหนุ่ม
“นางยังสวยสดงดงามอยู่ไม่น้อย” หงเหม่ยหลงตอบแค่นั้น นางอยากรู้ว่าบุรุษตรงหน้าจะทำอย่างไรต่อไป
“นางยังดีเสมอสำหรับท่านสินะ” หลิวฉวนหยู่ร์หรี่ตากล่าวอย่างหงุดหงิด
“ท่านควรจะชัดเจน ว่ามา” หลิวฉวนหยู่ร์เริ่มกอดอก
“ถ้าจะกลับไป ก็แค่บอกแก่ข้า แต่ถ้าไม่ จงตอบจดหมายบอกกล่าวแก่นางไป อย่าให้นางต้องรอโดยไร้จุดหมาย” หลิวฉวนหยู่ร์กล่าวอย่างฉะฉานจนหงเหม่ยหลงนึกชื่นชม พลางคิดถึงตนเองขึ้นมา
เยว่เทียนยังคงนิ่งงันด้วยสายตากดดันของทุกคนที่ส่งมา
“ตอบสิ ตอบเลย” เฟิงเหวินเอ่ยขึ้นก่อน
“ตอบเจ้าค่ะ” เว่ยฟางเร่งรัด
“ว่าไง” หลิวฉวนหยู่ร์ยังคงกดดัน
เยว่เทียนมองตอบสบตาทุกคนก่อนเอ่ย
“ต่อให้ข้ากลับไป แต่ใจข้าคงไม่เหมือนเดิม”
คำตอบของเยว่เทียนทำหลิวฉวนหยู่ร์คลี่ยิ้มออกมา
โครม!
โต๊ะตรงหน้าของหงเหม่ยหลงพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยฝีมือของหญิงสาวจนทั้งหมดต้องสะดุ้งกันจนตัวโก่ง
“ดี” หงเหม่ยหลงกล่าวเสียงรอดไรฟัน
“ตอบได้ดียิ่ง ข้าเองก็อยากได้ยินคำพูดที่ชัดเจนอย่างนี้เหมือนกัน” จบคำหงเหม่ยหลงพลันหุนหันเดินออกจากกลุ่มของพวกเขาไปทันที
ทั้งหมดได้แต่มองตามกันตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจอารมณ์ของหงเหม่ยหลง
หงเหม่ยหลงเดินจากมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อคิดถึงเรื่องของตนเอง
หากว่า…
ถ้าหาก
เหตุการณ์เมื่อครู่ เปลี่ยนหยางเจียนเป็นนาง
และเยว่เทียนเป็นหลี่ซื่อหมินเล่า
คำตอบนั้น
ถ้าหลี่ซื่อหมินมีคำตอบแบบนั้น
เช่นเดียวกันกับเยว่เทียน
นางจะทำอย่างไร
นางจะทนได้หรือไม่
มุมเดิมที่เหล่าบุรุษและสตรีทั้งหลายชอบมานั่งจับกลุ่มคุยกัน ยังคงมีเหล่าลูกน้องของหงเหม่ยหลงจับกลุ่มคุยกันอยู่อย่างออกรสออกชาติยิ่งกว่าเดิม
“ท่านพูดจริงหรือไม่” หลิวฉวนหยู่ร์ยังคงถามเยว่เทียนเพื่อความแน่ใจ
“ถ้าข้ากลับไปจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร” เยว่เทียนถือโอกาสหยั่งเชิงนาง
“ข้าก็จะหาบุรุษคนใหม่ หรือไม่ ก็อาจจะตามไปฆ่าหยางเจียน” หลิวฉวนหยู่หรี่ตาตอบตามตรง “แต่ข้าไม่ฆ่าท่านหรอกนะ”
“ทำไม” เยว่เทียนถาม
หลิวฉวนหยู่ร์กระซิบ “ข้าชอบสัมผัสของท่าน”
“สตรีประหลาด” เยว่เทียนกล่าวอย่างนึกขัน
“พวกเจ้าคิดว่า หงเหม่ยหลงจะทำอย่างไรกับองค์ชายหลี่ซื่อหมิน” เฟิงเหวินถามขึ้นเนื่องจากรู้เรื่องราวของทั้งสองคนนั้นเป็นอย่างดี
คำถามนั้นทำให้ทั้งสี่คนต้องมานั่งจับกลุ่มคุยกันที่โต๊ะตัวใหม่เพราะตัวเก่าพังไปแล้ว
“ข้าคิดว่า” หลิวฉวนหยู่ร์ก้มหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “นางคงเชื้อไม่ทิ้งแถว”
“หมายความว่าอย่างไร” เว่ยฟางถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ก็หมายความว่าหงเหม่ยหลงอาจจะทำการอุกอาจโหดร้ายเหมือนดั่งเช่นท่านประมุขหงซีกวนอย่างไรเล่า” เฟิงเหวิน ตอบแทนหลิวฉวนหยู่ร์
เยว่เทียนกับเว่ยฟางยกคิ้วขึ้นอย่างใคร่รู้
หลิวฉวนหยู่ร์เริ่มเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนที่ท่านประมุขพบเจอกับฮูหยินและตกหลุมรักกันนั้น ตอนนั้นฮูหยินเป็นองค์หญิงของแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่ง กำลังเดินทางไปอภิเษกกับฮ่องเต้อีกแคว้นเพื่อแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮา”
“ท่านประมุขชมชอบฮูหยินเป็นอย่างมาก จึงลักพาตัวนางมา และบังคับขืนใจให้นางเป็นเมีย” เฟิงเหวินเล่าต่อคำอย่างตื่นเต้น
“โอว” เว่ยฟางอุทานตรงคำว่าขืนใจ
“แต่ฮูหยินก็รักกับท่านประมุขเช่นกัน” หลิวฉวนหยู่ร์เล่าต่อเพื่อปรับอารมณ์ผู้ฟัง
“ถึงแม้ว่าพวกฮ่องเต้อะไรนั่นจะยกทัพมาเพื่อชิงตัวฮูหยิน กลับไป แต่ท่านประมุขกับฮูหยินกลับต่อสู้เคียงข้างกัน มิยอมให้ฮ่องเต้นั่นได้ตัวนางกลับไป”
“และต่อมาหงซีกวนท่านประมุขของเราจึงยกพวกไปฆ่าล้างเมืองของฮ่องเต้นั่นเสียเลย เพื่อตัดรากถอนโคนมิให้ใครมาแย่งชิงฮูหยินไปอีก” เฟิงเหวินยังคงเล่าอย่างตื่นเต้นปรับอารมณ์ให้ขึ้นลงอย่างนึกสนุก
“โอว” เว่ยฟางตื่นเต้นตามอารมณ์ของสามีเป็นอย่างดี
“เช่นนั้น พวกเจ้าคิดว่า ชายาหงเหม่ยหลงกำลังคิดจะทำอะไร” เยว่เทียนถามขึ้น ทำให้ทั้งหมดเงียบงันลงทันที
อืม…..
ทั้งสี่คนยังไม่กล้าคาดเดา เมื่อคิดถึงตรงนี้…
ภายในสำนักหมื่นโลกันต์อันยิ่งใหญ่ที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยบรรยากาศน่าหวาดหวั่นไม่เปลี่ยนแปลง
“มาแล้วหรือ” น้ำเสียงน่ายำเกรงของบุรุษร่างใหญ่ในห้องกว้างขวางกล่าวขึ้นเมื่อเห็นหงเหม่ยหลงเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ” หงเหม่ยหลงมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อเห็นบิดาและบุตรชายของนาง
หลี่หงจินหยางส่งเสียงอ้อแอ้ให้หงเหม่ยหลง คล้ายกับว่าจำหงเหม่ยหลงได้เป็นอย่างดี ทำให้หงเหม่ยหลงคลี่ยิ้มจนเห็นไรฟันขณะเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอก
“คิดถึงแม่หรือไม่ หยางเอ๋อร์” หงเหม่ยหลงหยอกล้ออยู่กับหลี่หงจินหยางอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน
หงซีกวนปรายตามองหงเหม่ยหลงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันเช่นเคย “เจ้ายังเป็นบุตรสาวของข้าอยู่หรือไม่”
“แน่นอน ท่านพ่อ” หงเหม่ยหลงตอบคำเรื่อยๆขณะล้อเล่นอยู่กับบุตรชายอย่างรักใคร่
“เจ้าไม่ควรปล่อยผ่าน” หงซีกวนกล่าวแค่นั้น แต่หงเหม่ยหลงกลับเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ความสัมพันธ์ที่เคยแตกหักด้วยเรื่องการตายของมารดาของหงเหม่ยหลงเมื่อหลายปีก่อนนั้น บัดนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงจนหมดสิ้นไม่เหลือความขุ่นข้องหมองใจอันใด เนื่องจากหลี่หงจินหยางนั้นคล้ายเป็นตัวเชื่อมของความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเป็นอย่างดี
ทำให้หงซีกวนและหงเหม่ยหลงนั้นมักจะมีการพูดคุยกันได้มากขึ้น นับตั้งแต่หลี่หงจินหยางได้มาอยู่ที่สำนักหมื่นโลกันต์
และถึงแม้ว่าหงซีกวนจะมีมาดที่เขร่งขรึม เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มิใช่ว่าจะนิ่งดูดายต่อบุตรสาวคนเดียวของตน
แต่เรื่องความรักของหนุ่มสาวนั้น เขามิอาจก้าวก่ายได้มากนัก จึงทำได้เพียงคอยเตือนสติของนาง
คอยเตือนว่า ความอ่อนแอ จิตใจดี มิได้ช่วยอะไร
“ข้าย่อมเห็นแก่ตัว ท่านพ่อ” หงเหม่ยหลงยังคงกล่าวเนิบๆ
“ข้ามิอาจทำตัวเยี่ยงคุณหนูสูงส่ง”
“เช่นนั้นย่อมดี” หงซีกวนเอ่ยอย่างเย็นชา
“ราชสีห์ ไม่ควรหลับนาน”
และเพียงประโยคนั้น
สองพ่อลูกต่างส่งสายตาเย็นยะเยือกใส่กัน
อย่างรู้ความนัย...
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว