บทที่ 13 โจวจวินฉิงเนื้อหอมขนาดนั้นเลยเหรอ?
"พูดจาเหลวไหลอีกคำเดียวก็ไสหัวไปได้เลย!"
โจวจวินฉิงไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เขารู้ดีว่าเจี่ยงหมิงหล่างเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่อง
เจี่ยงหมิงหล่างไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามเลยแม้แต่น้อย แอบชะโงกหน้าเข้าไปมองในครัวเหมือนกับขโมย แล้วหันไปถามโจวจวินฉิง
"อยู่กินกันขนาดนี้แล้ว ตกลงปลงใจกับ 'พี่สะใภ้' ของผมแล้วใช่ไหมล่ะ? งั้นต้องรีบบอกคุณตาคุณยายให้จัดงานมงคลแล้วสิ โอ๊ย ไม่รู้ว่าเจี่ยงหมิงจือกับเสิ่นลิ่งอี๋จะเสียใจแค่ไหน"
ในที่สุดโจวจวินฉิงก็ทนไม่ไหว เขาขมวดคิ้ว
"อยู่กินกันอะไรกัน? ฉันปล่อยบ้านหลังนี้ให้เธอเช่า วันนี้เชิญเธอมาช่วยรักษาแผล อย่าพูดมั่ว ๆ ชื่อเสียงผู้หญิงเขาเสียหาย อีกอย่าง มันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงสองคนที่แกพูดถึง?"
ไม่ได้อยู่กินกัน?
เจี่ยงหมิงหล่างยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ คุณชายใหญ่แบบโจวจวินฉิงที่เกิดมาก็อยู่บนจุดสูงสุดของคนอื่นแล้ว จะมาสนใจหาเงินค่าเช่าบ้านเนี่ยนะ? ถ้าเขาอยากได้เงินขนาดนั้น ทำไมถึงปล่อยบ้านหลายหลังให้ร้างอยู่เป็นปี ๆ?
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นสีหน้าสับสนจริงจังของโจวจวินฉิง เจี่ยงหมิงหล่างก็ยิ่งงุนงง "นี่พี่ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งโง่กันแน่?"
"มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ!"
"สาวสองคนนั่นน่ะชอบพี่ พวกเธอแทบจะตีกันเป็นไก่ชนเพื่อแย่งพี่ พี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอ? โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องของผม ‘เจี่ยงหมิงจือ’ ตั้งแต่เด็ก ๆ เธอมองผมไม่ถูกชะตาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพื่อที่จะเข้าใกล้พี่ พี่คิดว่าเธอจะมาตีสนิทกับผมเหรอไง?"
"อย่าพูดมั่ว ฉันกับผู้หญิงสองคนนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น"
เจี่ยงหมิงหล่างอ้าปากค้าง พูดไม่ออก
ลองคิดดูแล้วมันก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะโจวจวินเฉิงดูเย็นชา ไม่ค่อยมีเยื่อใยกับใคร ผู้หญิงสองคนนั่นก็คอยระแวงกันเอง คิดว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู แต่กลับไม่กล้าให้โจวจวินเฉิงรู้
เรื่องชักจะสนุกขึ้นมาเสียแล้ว ป่านนี้โจวจวินเฉิงก็ยังไม่รู้อะไรเลย
"สองหญิงแย่งชายคนเดียว?"
ในครัว เจียงอี้ที่ตอนนี้มีประสาทหูดีเป็นพิเศษก็ได้ยินชัดเจน เธออดแปลกใจไม่ได้ นึกไม่ถึงว่าโจวจวินเฉิงจะมีเสน่ห์ขนาดนี้ ถ้าฮอตขนาดนี้ แล้วชาติที่แล้วทำไมโจวจวินเฉิงถึงได้อยู่เป็นโสดล่ะ?
เจี่ยงหมิงหล่างไม่ยอมไป เขาพยายามจะอยู่สังเกตการณ์ว่าทั้งสองคนนี้มีซัมติงอะไรกันหรือเปล่า เขาฝืนทนสายตาเย็นชาของโจวจวินเฉิงและยืนกรานที่จะขอซุปกระดูกกินอีกชาม พอซดซุปหมด เจี่ยงหมิงหล่างก็นึกถึงคำพูดแข็ง ๆ ของโจวจวินเฉิงที่บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเจียงอี้ เขาก็รู้สึกอยากจะลองแย่งมาเป็นของตัวเอง
พี่โจวไปหาแม่ครัวฝีมือเทพขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย ฝีมือขนาดนี้ ต้องเป็นเชฟใหญ่ในโรงแรมแน่นอน!
ตอนที่เขากำลังจะไป เจียงอี้บรรจุซุปกระดูกใส่กระป๋องแล้ววางลงในตะกร้า
"พี่โจวคะ นี่สำหรับพี่ค่ะ พอตกเย็นก็อุ่นร้อนดื่มได้เลย ซุปนี้ฉันใส่สมุนไพรลงไปด้วย ดื่มเยอะ ๆ ไม่เป็นอันตรายหรอกค่ะ"
เจี่ยงหมิงหล่างมองดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกทั้งอิจฉาและอดไม่ได้ที่จะทำตาปริบ ๆ ใส่โจวจวินฉิง พี่ชายนี่สุดยอดไปเลย สาวน้อยคนนี้ทำเพื่อนายดีจริง ๆ
โจวจวินฉิงเองก็รู้สึกเขิน ๆ ใบหูแดงขึ้นเล็กน้อย เขาจึงพยายามเก็บอาการ ตั้งสติรับตะกร้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "จริง ๆ ไม่ต้องเตรียมอะไรให้ผมมากมายขนาดนี้ก็ได้ คุณเหนื่อยมากพอแล้ว"
"ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอกน่า" หญิงสาวส่ายหน้า
ที่จริงแล้วเจียงอี้ก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเขาหรอก เธอไม่ใช่พ่อครัว ไม่ได้อยากเป็นพี่เลี้ยง แต่จำได้ว่า ตอนที่เธอลำบากที่สุดตอนเริ่มต้นธุรกิจ โจวจวินฉิงเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในแง่หนึ่งเขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณของเธอ
อีกอย่าง ชาติที่แล้วเธอเคยได้ยินเจี่ยงหมิงหล่างบ่นว่า ตอนที่โจวจวินฉิงอยู่ที่เมือง B คนเดียว เขากินอาหารข้างนอกแบบขอไปที ตอนกลางคืนหิวก็ทนเอา
ตอนนี้เขาเป็นคนป่วย กำลังต้องการบำรุงร่างกาย จะปล่อยให้อดได้ยังไง
"ตกลง" โจวจวินฉิงมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกดีใจขนาดนี้
โจวจวินฉิงรู้สึกเกรงใจที่ได้กินข้าวฟรี เขาจึงเตรียมเงินและตั๋วอาหารให้เธอ
เจียงอี้ยื่นมือออกไปแล้ว แต่ก็ดึงมือทั้งสองข้างกลับมา กัดฟันปฏิเสธอย่างแน่วแน่ว่า "ไม่เอาค่ะ"
จากนั้นเธอก็มองโจวจวินฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย บอกเป็นนัยว่าให้เขารักษาตัวให้หายจากอาการบาดเจ็บและดูแลตัวเองให้ดี เพราะเมื่อไหร่ที่เขาหายดี เธอจะกลายเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์เอง
โจวจวินฉิงรู้สึกหนาวสันหลังวาบหนึ่ง ไม่รู้ว่ายัยเด็กนี่กำลังวางแผนอะไรอยู่
เขากระตุกริมฝีปาก แต่ก็ยังไม่ยืนยันที่จะให้เงินเธอ
ชายหนุ่มรู้สึกว่าการให้เงินเป็นการดูถูกความหวังดีของเด็กสาว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าควรหาของขวัญอะไรให้เธอดีกว่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็ต้องหาข้ออ้างที่จะมาหาเธออีก
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงสมุนไพรเหล่านั้น ดวงตาของโจวจวินฉิงเป็นประกาย เขากระแอมเบา ๆ แล้วพูดว่า
"ผมพักร้อนไม่ได้ทำอะไร เรื่องต้มยามีอะไรให้ผมช่วยไหม?"
เจียงอี้กำลังจะพูดว่าไม่ต้อง แต่แล้วเธอก็เห็นแววตาคาดหวังจากแววตาของโจวจวินฉิง เธอจึงเปลี่ยนคำพูดเป็น "ถ้าอย่างนั้น...คุณมาช่วยก็ได้"
"ตกลง!" โจวจวินฉิงตอบอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้เริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ในวันนั้นเธอเตรียมที่จะแอบนำของไปขาย แต่โจวจวินฉิงที่อยู่แถวตลาดมืดกลับกำชับให้เธอกลับบ้านเร็วหน่อย คนแบบนี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้ว่าจะขัดขวางเธอหรือเปล่า
ไม่เป็นไรหรอก ใครหน้าไหนก็ห้ามขัดขวางการหาเงินของเธอไม่ได้ทั้งนั้น!
“เอ่อ... ผมเองก็ว่างพอดี ไม่งั้นผมก็...” เจี่ยงหมิงหล่างเห็นว่ามีเรื่องสนุกก็รีบเข้ามาร่วมวงด้วยทันที
“ไม่ต้อง นายไม่ต้อง...” โจวจวินฉิงไม่รอให้เจี่ยงหมิงหล่างพูดจบก็ผลักเขาออกไปข้างนอก พร้อมกับกำชับเจียงอี้ว่า “ปิดประตูให้ดี ต่อไปอย่าเปิดประตูให้ใครเด็ดขาด รวมถึงเจ้าหมอนี่ด้วย”
“ปล่อยฉันนะ!” เจี่ยงหมิงหล่างสู้แรงโจวจวินฉิงไม่ได้ ถูกไล่ตะเพิดออกมาอย่างไม่ไยดี ในใจก็ทั้งโกรธทั้งแค้น โจวจวินฉิงกล้าดียังไงถึงไม่ให้เขาไปด้วย แบบนี้เหมือนจะกินคนเดียวชัด ๆ
ฮึ คิดไปเองเถอะ!
ดวงตากลมโตกะพริบปริบ เจี่ยงหมิงหล่างแสร้งทำเป็นมิตรและยืนกรานที่จะไปส่งโจวจวินฉิงที่บ้าน ตลอดทางก็เอาอกเอาใจเป็นอย่างดี
พอเห็นโจวจวินฉิงเข้าบ้านปุ๊บ เจี่ยงหมิงหล่างก็รีบเผ่นทันที เขากำลังจะโทรศัพท์ไปฟ้องคุณตาสวี เหล่าสวี ที่เป็นตาของโจวจวินฉิงยังไงล่ะ!
หลังจากที่โจวจวินฉิงกับเจี่ยงหมิงหล่างออกไปแล้ว เจียงอี้ไม่มีนาฬิกาข้อมือ จึงได้แต่แหงนหน้ามองดูพระอาทิตย์แล้วถอนหายใจ ตอนนี้เธอต้องดูเวลาจากดวงอาทิตย์ คิดแล้วก็เศร้าใจ
พอเห็นว่าเลยเวลามามากแล้ว เจียงอี้จึงหยิบสมุนไพรทั้งหมดที่เอามาขึ้นมาดูทีละอย่าง ๆ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น เหมาะกับโจวจวินฉิงมาก!
จัดการกับเรื่องสมุนไพรเสร็จแล้ว เธอก็เริ่มลงมือทำอย่างอื่นทันที
ผักและสัตว์ปีกในพื้นที่นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วก็จริง แต่ผักก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันกว่าจะโตเต็มที่ ถ้าเป็นแบบนี้ ไก่ เป็ด ห่าน กว่าจะขายได้ คงต้องรออย่างน้อยยี่สิบวันขึ้นไป
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงอี้ยังอยากเพิ่มปริมาณการเลี้ยงไก่ เป็ด ห่าน และยังอยากเลี้ยงหมูขายเนื้อหมูอีกด้วย แต่การซื้อลูกหมูต้องใช้เงินทุน ดังนั้นเธอต้องรีบหาเงินภายในสองสามวันนี้ให้ได้
ตอนนี้ไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐ ซาลาเปาไส้ผักราคาลูกละห้าเฟิน*[1] ส่วนซาลาเปาไส้เนื้อราคาลูกละหนึ่งเหมา*[2] ตัวก็ไม่เล็ก ชายหนุ่มร่างกายกำยำกินแค่สองลูกก็อิ่มได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว เท่ากับว่ามื้อเช้าตกประมาณสองเหมา แต่ต้องจ่ายด้วยตั๋วอาหาร
เจียงอี้ตัดสินใจขายแป้งเย็น ๆ แผ่นละหนึ่งเหมา
แป้งหนึ่งจิน*[3]ราคา 0.18 หยวน สามารถทำแป้งเย็น ๆ ได้ 8-10 แผ่น บวกกับแตงกวาฝานเป็นเส้น ๆ และกลูเตน คนที่กินน้อยก็กินแค่แป้งเย็น ๆ หนึ่งแผ่นก็อิ่มแล้ว ส่วนผู้ชายที่อยากอิ่มท้อง ก็กินสักสองแผ่นก็พอ
พอเข้าเดือนมิถุนายน อากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับซาลาเปาร้อน ๆ แล้ว แป้งเย็น ๆ น่าจะอร่อยกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น น้ำซอสสำหรับราดแป้งเย็น ๆ ที่หญิงสาวทำ รสชาติก็อร่อยเลิศ ชาติที่แล้ว อาจารย์ของเธอยอมลดตัวลงมาทำความรู้จักด้วย เพียงเพราะได้กินแป้งเย็น ๆ ฝีมือเธอเพียงคำเดียว
เจียงอี้เอาของที่ทำเสร็จแล้วใส่ตะกร้าใบใหญ่ ไม่ได้คิดจะไปขายที่ตลาดมืด แต่ตั้งใจจะไปลองขายหน้าโรงงานชื่อดังในเมืองหลวง
[1] 10 เฟิน มีค่าเท่ากับ 1 เหมา
[2] 10 เหมา มีค่าเท่ากับ 1 หยวน
[3] 1 จิน เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว