บทที่ 2 เผยโฉมหน้าดอกบัวขาว
งามสง่ายามต้องลมราวกับต้นหยก นี่คือความรู้สึกแรกที่หลายคนเห็น ‘โจวจวินฉิง’ เจียงอี้จึงจำได้ในทันทีว่านี่คือโจวจวินฉิง ตอนอายุยี่สิบห้าปีเขาทั้งหนุ่มและหล่อเหลาเกินใคร
"คุณจำฉันได้เหรอคะ?"
โจวจวินฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ
เจียงอี้ "..."
ถ้าจำได้จากชาติที่แล้วนับไหม?
เธอรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อมองไปที่โจวจวินฉิง
โจวจวินฉิงเป็นอาของโจวหนิงเหยียนที่อายุมากกว่าเขาเพียงสามปี ในชาติที่แล้วเจียงอี้ได้รู้จักกับเขาผ่านโจวหนิงเหยียน แต่ความสัมพันธ์ของอาหลานคู่นี้ไม่ดีนัก หรือจะพูดให้ถูกคือ โจวจวินฉิงไม่ค่อยลงรอยกับใครในครอบครัวโจวสักเท่าไหร่
เจียงอี้ได้พบกับโจวจวินฉิงอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากโจวหนิงเหยียนเป็นผู้มีพระคุณของเธอ เจียงอี้จึงคิดว่าโจวจวินฉิงคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเธอนัก แต่ในความเป็นจริงโจวจวินฉิงกลับยื่นมือเข้าช่วยเหลือเธอหลายครั้ง แม้กระทั่งบางครั้งที่บังเอิญเจอกันโจวจวินฉิงที่ปกติเป็นคนพูดน้อยยังยอมนั่งลงจิบกาแฟกับเธอ ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก
พูดตามตรงเลยว่าขนาดเจียงอี้ตายมารอบหนึ่งแล้ว เธอก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโจวจวินฉิงถึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย
เจียงอี้พลันนึกขึ้นได้
ไม่ใช่แค่วันที่เธอจัดการกับโจวหนิงเหยียนและเจียงหว่านเยว่ แต่ในวันก่อนหน้านั้น โจวจวินฉิงก็โทรหาเธอเช่นกัน
ตอนนั้นโจวจวินฉิงถามเธอว่าว่างหรือเปล่า และบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
นั่นเป็นครั้งแรกที่โจวจวินฉิงนัดเธอเป็นการส่วนตัว น่าเสียดายที่เธอยังไม่ทันได้ยินสิ่งที่เขาต้องการจะพูด กลับถูกฆ่าตายพร้อมกับโจวหนิงเหยียนและเจียงหว่านเยว่เสียแล้ว
แต่แน่นอนว่าตอนนี้เธอไม่สามารถถามคำถามเหล่านี้ได้แม้แต่ข้อเดียว
"คุณ..."
เจียงอี้เม้มริมฝีปาก ไม่รู้ว่าโจวจวินฉิงมาถึงนานแค่ไหนและเห็นอะไรไปบ้าง เธอพยายามดึงข้อมือตัวเองกลับมาเล็กน้อย รวบรวมกำลังทั้งหมดเตรียมพร้อมอย่างระมัดระวัง
เจียงอี้รู้สึกขอบคุณสำหรับความหวังดีของโจวจวินฉิง และรู้ว่าด้วยฐานะของโจวจวินฉิง เขาย่อมมีฝีมือแน่นอน แต่เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ เธอต้องหาวิธีหนีไปให้ได้ เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ
ทันทีที่คิดเช่นนั้นเจียงอี้พลันรู้สึกถึงความร้อนที่ข้อมือ ทันใดนั้นมีแสงสว่างวาบขึ้น ปรากฏเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก แต่เพียงพริบตาเดียวก็หายไป
เจียงอี้อึ้งไปเล็กน้อย นี่มันอะไรกัน?
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตรวจสอบ โจวจวินฉิงกลับปล่อยมือเธอออกอย่างกะทันหัน ด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม "คุณไปได้แล้ว"
เจียงอี้รู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว จากปฏิกิริยาของโจวจวินฉิง เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้มีเพียงเธอคนเดียวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนโจวจวินฉิงนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
เจียงอี้รีบตั้งสติ เธอหันกลับไปมองโจวหนิงเหยียนที่ยังคงนอนสลบอยู่ตรงนั้น แล้วหันกลับมามองโจวจวินฉิงด้วยความประหลาดใจ
"คุณ… ให้ฉันไปงั้นเหรอคะ?"
"แล้วไม่อยากไปหรือไง?" โจวจวินฉิงถามกลับ
"ไม่ใช่แบบนั้น"
เจียงอี้ตอบอย่างรวดเร็ว มีโอกาสหนีทั้งทีถ้าไม่หนีก็โง่แล้ว!
บางทีโจวจวินฉิงอาจจะรู้สึกว่าโจวหนิงเหยียนสมควรได้รับโทษ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เจียงอี้ก็ไม่ลังเลที่จะหันหลังวิ่งออกไปจากตรอกทันที
ในขณะที่กำลังวิ่งผ่านอีกฝ่ายไป เจียงอี้พูดขึ้นเบา ๆ ว่า "ขอบคุณ"
ขอบคุณสำหรับครั้งนี้และขอบคุณสำหรับชาติที่แล้ว…
เมื่อออกจากตรอกได้แล้ว เจียงอี้รีบหาที่ปลอดคนเพื่อตรวจสอบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น
โดยปกติแล้วที่ข้อมือของเธอจะมีกำไลหยกวงหนึ่งอยู่ มันเป็นกำไลที่เธอเก็บได้ตอนอายุสิบห้าปีหลังจากที่ถูกส่งตัวไปยังชนบท เธอเป็นคนรักของเก่าจึงไม่เคยเปลี่ยนมันเลย แต่ตอนนี้ที่ข้อมือของเธอกลับว่างเปล่า
ทันทีที่นึกถึงกำไลนั้น ภาพตรงหน้าของเจียงอี้ก็กะพริบ ราวกับว่าร่างกายของเธอถูกย้ายตำแหน่งอย่างไร้ที่มาที่ไป
เจียงอี้เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ที่นี่คือพื้นที่ว่างเปล่าที่ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธออย่างนั้นเหรอ?
เบื้องล่างเป็นผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ประเมินคร่าว ๆ จากสายตาแล้วน่าจะราว ๆ สามหมู่*[1] โดยรอบถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกหนา มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นเงาเลือนรางของบ้านเรือนและแม่น้ำลำคลอง
ในใจของเจียงอี้กำลังยินดี แสดงว่าเธอไม่เพียงมีพื้นที่ว่างเปล่าหรือ ‘มิติลับ’ เป็นของตัวเองเท่านั้น แต่มิติลับแห่งนี้ยังมีที่ดินที่สามารถเพาะปลูกได้อีกด้วย บางทีในอนาคตเธออาจจะหาวิธีพัฒนาและขยายพื้นที่แห่งนี้ก็ได้?
เจียงอี้ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น
สวรรค์ช่างเมตตาเธอเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าจะมอบโอกาสดี ๆ เช่นนี้ให้ ตราบใดที่ยังมีมิติลับแห่งนี้อยู่ ต่อให้ตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวสักแดงเธอก็ไม่กลัว! เพราะเธอจะต้องมีธัญพืช ผักผลไม้ ไก่ ปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ และมีไข่ให้กินอย่างไม่หมดสิ้น การสร้างฐานะและความมั่งคั่งอยู่แค่เอื้อมแล้ว!
น่าเสียดายที่ตอนนี้ในมือของเธอไม่มีแม้แต่ต้นกล้าที่จะปลูก แต่ไม่เป็นไร ก่อนที่จะกลับไปจัดการบ้านตระกูลเจียงให้เรียบร้อย เธอจะค่อย ๆ ศึกษาพื้นที่แห่งนี้ให้ดีเสียก่อน
เจียงอี้ไม่กล้าเสียเวลา รีบออกจากมิติลับทันที ก่อนจะตรงไปยังที่ทำการไปรษณีย์เพื่อส่งโทรเลขไปให้หน่วยผลิตที่น้องชายของเธอประจำอยู่ ซึ่งข้อความที่ส่งไปนั้นมีใจความว่า
‘รีบกลับบ้าน เจียงอี้’
ไม่ใช่แค่เพราะการส่งโทรเลขคิดค่าบริการเป็นคำและแต่ละคำมีราคาแพง แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในหน่วยผลิตที่ ‘เจียงเฟยหยาง’ น้องชายของเธอประจำอยู่ค่อนข้างซับซ้อน เจียงอี้จึงจงใจส่งข้อความที่คลุมเครือ เพราะไม่อยากให้คนอื่นเดาเหตุผลที่เธอให้เขากลับบ้านได้ แต่เธอเชื่อว่าน้องชายจะเข้าใจและหาวิธีลาหยุดกลับเมืองได้อย่างแน่นอน
ความจริงแล้วงานของพ่อเธอควรจะเป็นของน้องชาย แต่ในชาติที่แล้วกลับถูกเจียงหว่านเยว่ฉกฉวยไป แต่ชาตินี้เธอต้องแย่งมันคืนมาให้น้องชายให้ได้!
ตราบใดที่น้องชายของเธอกลับมา เจียงอี้จะหาวิธีจัดการเรื่องเอกสารการรับช่วงต่อให้เรียบร้อย เพื่อที่เขาจะมีโอกาสได้อยู่ในเมือง ทบทวนบทเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ต้องกลับไปลำบากที่ชนบทอีก
หลังจากส่งโทรเลขเสร็จ เจียงอี้ก็รีบวิ่งกลับบ้าน เธออยากรีบกลับไปหาพ่อแม่ของเธอ
ที่ทำการไปรษณีย์ไม่ได้อยู่ไกลจากโรงงานเหล็กเมือง B ระหว่างทางที่เธอมองเห็นล้วนเป็นอาคารเตี้ย ๆ แม้แต่ในเมืองหลวงของมณฑล ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่นิยมใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด และจักรยานที่ผ่านไปมาก็มีไม่มากนัก เพราะมันเป็นของหายากในยุคนี้
เจียงอี้ไม่มีกะจิตกะใจที่จะคร่ำครวญถึงอดีต เพียงแต่คิดในใจว่า เธอต้องซื้อจักรยานสักคัน เวลาไปไหนมาไหนจะได้สะดวก
บ้านของตระกูลเจียงตั้งอยู่ในเขตที่พักอาศัยของโรงงานเหล็ก คุณปู่เจียงทำงานมานาน บวกกับในปีนั้นได้คว้าโอกาสจ่ายเงินจ้างคนหาทางจนได้ห้องเล็ก ๆ สองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น ขนาดประมาณห้าสิบตารางเมตร
ในตอนนั้นสร้างความอิจฉาให้กับใครหลาย ๆ คน เพราะถือว่าเป็นห้องที่กว้างขวางกว่าห้องเดี่ยวขนาดประมาณยี่สิบตารางเมตรมากนัก แต่พอถึงเวลาที่ลูกชายหลายคนแต่งงานมีลูก มีคนอยู่ด้วยกันสิบกว่าคนก็เริ่มรู้สึกคับแคบ นี่ยังถือว่าโชคดีที่ ‘เจียงอ้ายเสวีย’ ลุงรองของเจียงอี้แต่งงานโดยที่ฝ่ายชายเป็นฝั่งย้ายเข้าไปอยู่บ้านภรรยา เขาจึงพาภรรยาและลูกไปอยู่บ้านพ่อตาแทน ไม่งั้นบ้านคงจะยิ่งคับแคบกว่านี้
เจียงอี้หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวขึ้นบันได
“เธอ... เจียงอี้งั้นเหรอ?” บนทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังทำกับข้าวและยกสำรับอาหาร บางคนสังเกตเห็นเจียงอี้จึงมองเธอสองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
ในตอนนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของเจียงอี้ดูเรียบร้อยดี เพียงแต่การไปอยู่ชนบทสามปีทำให้เธออดอยากและทำงานหนัก ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งก็ดูผอมแห้งแรงน้อยอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเธออยู่อย่างลำบาก
เมื่อเห็นว่าใครมา เจียงอี้จึงรีบเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจว่า “ป้าหวังสบายดีไหมคะ ไม่ได้เจอกันนานเลย ที่บ้านเป็นยังไงบ้างคะ?”
“เอ่อ สบายดี ๆ ทุกคนสบายดี” ป้าหวังตอบรับโดยไม่ทันได้คิด พอตั้งสติได้จึงรีบถามต่อ “เจียงอี้ เธอจะกลับมาเมืองแล้วเหรอ? กลับมาเพื่อรับช่วงงานของพ่อเธอใช่ไหม?”
“รับช่วงอะไรนะคะ?”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเจียงอี้เผยความสับสน “ฉันได้ยินมาว่าพ่อขาหัก ถึงแม้ว่าพี่หว่านเยว่จะเขียนจดหมายมาบอกให้ฉันกับน้องชายไม่ต้องเป็นห่วง แต่แม่ก็ต้องทำงาน ไม่มีใครดูแลพ่อ ฉันเป็นห่วงเลยขอลาหยุดกลับมาดูพ่อค่ะ”
“ไม่มีใครบอกเธอเรื่องรับงานต่อเหรอ? แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ”
“พ่อเธอต้องพักฟื้นอย่างน้อยก็ปีกว่า งานนี้ต้องมีคนทำแทนไม่ใช่เหรอ? ถ้าพวกเธอไม่กลับมา แล้วใครจะรับช่วงต่อล่ะ?”
ผู้คนต่างพูดคุยกันเสียงดังระงม เจียงอี้ได้ยินแล้วถึงกับชะงัก ก่อนที่ขอบตาจะค่อย ๆ แดงก่ำ
"คุณป้าหมายความว่า..." เจียงอี้เว้นวรรค "งั้นไม่รบกวนอาแล้ว ฉัน… กลับบ้านไปดูพ่อก่อนนะคะ"
เจียงอี้พูดเพียงเท่านั้น แสร้งหันหน้าไปปาดน้ำตา แกล้งทำเป็นพูดไม่ออก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่ในใจกลับเยาะเย้ยอย่างเย็นชา 'เจียงหว่านเยว่ นี่เป็นของขวัญต้อนรับที่ฉันมอบให้ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นธาตุแท้ของเธอ วางใจเถอะ นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เตรียมรับมือไว้ได้เลย!'
เมื่อเจียงอี้จากไป ผู้คนที่อยู่ในบ้านก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเจียงอี้ก็ได้เผยข้อมูลสำคัญออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว
[1] หมู่ เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน เรียกได้อีกอย่างว่า ‘ไร่จีน’ มีขนาดพื้นที่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว