ผลาญโลหิตพิชิตใจอ๋อง-บทที่ 19 มีบางสิ่งน่าสงสัย

โดย  ตำหนักรัก

ผลาญโลหิตพิชิตใจอ๋อง

บทที่ 19 มีบางสิ่งน่าสงสัย

บทที่ 18 คำสัญญากำลังมา


"เจ้า… หึ เช่นนั้นก็ดี ข้าจะดูว่าเจ้ายังจะทะนงตนได้อีกแค่ไหนเมื่อข้าได้แต่งเข้าวังของไท่จื่อแล้ว"


เว่ยเจียวอิงมองเว่ยฉางอันที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยความคับแค้นใจ แต่ในเวลานี้นางมิอาจจัดการกับนายบ่าวทั้งสองได้


ประการแรก เว่ยฉางอันในปัจจุบันยังคงเป็นพี่สาวของนางอยู่ ประการที่สอง พวกนางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนแม่ทัพ หากเกิดการวิวาทขึ้น ทหารเวรคงจะเข้าข้างเว่ยฉางอันแน่นอน


ดังนั้นในตอนนี้ แม้นางจะคับแค้นใจเพียงใด ก็ไม่กล้าทำการใด ๆ


เว่ยฉางอันที่ยืนอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กน้อย นางรู้ทันถึงสิ่งที่เว่ยเจียวอิงกำลังคิดอยู่อย่างชัดเจน


"มารอดูกันว่า เจ้าจะสามารถเข้าวังของไท่จื่อได้หรือไม่ก่อนเถิด ซู่ซิน เราไปกันเถิด"


เว่ยฉางอันทิ้งท้ายถ้อยคำเหล่านั้นไว้ให้นาง แววตามีประกายแสงวาบผ่าน จากนั้นก็ไม่ได้รอช้า พาซู่ซินเดินผ่านไปภายใต้สายตาเดือดดาลของเว่ยเจียวอิง


นางเชิดคางขึ้นสูง แสงสว่างวาววับในดวงตา ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กน้อย ทำให้ผู้พบเห็นล้วนต้องหวาดหวั่นไปด้วย


คุณหนูเว่ยฉางอันที่เป็นเช่นนี้ ซู่ซินไม่เคยพบมาก่อน ท่าทางมั่นใจและมีความรู้สึกว่าตนเองมีพลังอำนาจอย่างยิ่ง รอยยิ้มเย้ยหยันนั้น สะท้อนถึงความมั่นใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่นางพูดออกไป


เป็นที่ชัดเจนว่า เว่ยเจียวอิงเองก็ไม่เคยพบเว่ยฉางอันที่พูดจากับนางในลักษณะนี้มาก่อน ในอดีตเว่ยฉางอันมักจะยอมทำตามคำสั่งของนางอย่างว่าง่าย


หากนางพูดอะไร เว่ยฉางอันจะไม่คัดค้านเด็ดขาด


ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเว่ยฉางอันในสภาพเช่นนี้ เว่ยเจียวอิงจึงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย และลืมที่จะซักถามความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นไปชั่วขณะ


"เจ้า...ถ้อยคำของเจ้านั้น..."


จนกระทั่งเว่ยฉางอันเดินพ้นประตูใหญ่ไปแล้ว จนผ่านฉากกำแพงใหญ่ในสวนนั้นไป เว่ยเจียวอิงถึงค่อยคืนสติ เมื่อจะถามหาความหมายของถ้อยคำนั้น ก็เหลือเพียงปลายผ้าคลุมด้านหลังของเว่ยฉางอันเท่านั้น


"เว่ยฉางอัน เจ้าคิดว่าจะหยิ่งผยองได้อีกนานแค่ไหนกัน แม้เจ้าจะแต่งงานกับชินอ๋อง แต่ในเวลานี้เขาก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า หากข้าสามารถครอบงำหัวใจองค์ไท่จื่อได้ การลงโทษเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดายเท่านั้น"


เว่ยเจียวอิงหัวเราะเสียงเย็น จ้องมองบริเวณที่นางเพิ่งเดินหายไป เมื่อนึกถึงตนเองที่สามารถเหยียบย่ำคนทั้งจวนแม่ทัพได้ จิตใจก็รู้สึกปีติยินดียิ่ง


ซู่ซินเดินตามเว่ยฉางอันมา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครไล่ตามจึงยิ้มแย้มอย่างแจ่มใสออกมา มองคุณหนูของตนที่กลายเป็นคนเก่งกาจก็พลอยดีใจไปด้วย


"คุณหนู ดีจริง ๆ เลย"


เว่ยฉางอันได้ยินดังนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้น ส่งเสียงสงสัยออกมาจากลำคอ


เมื่อเผชิญกับคำถามของนาง ซู่ซินรู้สึกประหม่าไปบ้าง กลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วสำรวจรอบ ๆ ด้วยสายตาคมกริบ จึงเอ่ยขึ้น


"ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคุณหนูจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทำให้คุณหนูรองต้องอ้าปากค้างไม่รู้จะโต้ตอบท่านอย่างไร"


แต่เว่ยฉางอันกลับไม่ได้ดีใจมากนัก ในใจกลับรู้สึกเสียใจและขมขื่นอยู่บ้าง


ในชาติก่อน ซู่ซินเคยระวังเว่ยเจียวอิงอยู่บ้าง แต่ตนในเวลานั้นถูกเว่ยเจียวอิงล่อลวงจนตาบอดสนิท ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี


ดังนั้นตอนนี้เมื่อตนรู้แล้ว ซู่ซินจึงดีใจขนาดนี้


"อื้ม ไม่ต้องกังวลไป คุณหนูของเจ้าตอนนี้เก่งกาจมาก จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานอีกแล้ว"


ภาพที่ซู่ซินตายอย่างทรมานผ่านเข้ามาในสายตา เว่ยฉางอันก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา สายตาแน่วแน่ เอ่ยรับปากกับนางไว้


"อะไรกันเจ้าคะคุณหนู ข้าไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานเลย คำพูดนี้มาจากไหนกันเจ้าคะ"


เห็นคุณหนูน้ำตารินไหล ซู่ซินก็ตกใจกลัว มองนางด้วยความกระวนกระวายใจ ถามอย่างระมัดระวังขึ้น


เมื่อได้ยินซู่ซินพูดเช่นนั้น จึงทำให้เว่ยฉางอันตั้งสติได้ นางจะซ่อนเรื่องราวที่ตนประสบไว้ในใจ มองดวงตากลมโตคู่นั้นของซู่ซิน ในอกก็รู้สึกเจ็บแปลบไปด้วย


นางหลับตาแน่นเพื่อกลั้นความเจ็บปวด แล้วแกล้งทำเป็นไม่สนใจ มองไปรอบ ๆ จวนแม่ทัพที่คุ้นเคย หลังจากนั้นก็แสร้งทำหน้าดุดันพูดกับซู่ซินว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่พูดจาวกวนไปบ้าง อย่าคิดมาก รีบกลับกันเถิด ข้ายังมีธุระอีกเรื่อง”


เมื่อเห็นเว่ยฉางอันเป็นเช่นนี้ ซู่ซินก็รู้ว่านางไม่ได้พูดโกหก อีกทั้งตอนนี้ก็รู้ว่านางกำลังรีบร้อนมาก


นางจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องพรรค์นั้นอีก รีบปิดปากเงียบ เร่งฝีเท้าตามหลังเว่ยฉางอันไปยังเรือนนอนด้วยความรีบร้อน


"เจ้าไปเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้ข้า และอย่าให้ใครมารบกวน"


เว่ยฉางอันส่งกระดาษที่ระบุสิ่งที่ต้องใช้ให้แก่ซู่ซิน คำนวณเวลาแล้ว ก็ไม่มีเวลาพูดอะไรมากไปกว่านั้น


เมื่อเห็นคุณหนูขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ซู่ซินก็รู้ว่าไม่ควรรบกวน จึงไม่ถามอะไรอีก รับกระดาษมา พยักหน้ารับคำ แล้วรีบไปเตรียมทันที


หลังจากนั้น เว่ยฉางอันก็ปิดตัวเองอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมให้ใครเข้าไป ซู่ซินจึงเฝ้าอยู่หน้าประตู


เช้ามืดค่อย ๆ สว่างขึ้น เสียงไก่ขันดังสนั่น บอกว่าวันใหม่มาถึงแล้ว


วันนี้เป็นวันที่เว่ยฉางอันและหรงหลีเซิงได้นัดหมายdyoไว้


ในจวนแม่ทัพ ประตูห้องที่เว่ยฉางอันปิดสนิทตลอดคืนมีเสียงดัง "กึกกัก" ก่อนประตูจะถูกเปิดออกจากด้านใน


นางไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ดวงตาจึงแดงก่ำ แต่จิตใจกลับกระปรี้กระเปร่า มุมปากปรากฏรอยยิ้มแห่งชัยชนะ มือกำผ้าไหมแน่น


เว่ยฉางอันเงยหน้ามองเวลา คำนวณเวลาแล้ว เข็มเงินพิเศษที่สั่งทำน่าจะเสร็จแล้วด้วย


แต่เมื่อนางกำลังจะเรียกคนมาช่วยแต่งตัว ก็พบว่าซู่ซินเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องนางตลอดคืน หลับนอนพิงอยู่ที่ธรณีประตู


มองเห็นนางหลับขยับปากจนน้ำลายจวนจะไหล เว่ยฉางอันพลันรู้สึกอบอุ่นใจ คิดในใจว่า "เด็กโง่ ยังจะมายืนเฝ้าหน้าประตูอีก"


ทันใดนั้น นางก็หันร่างเข้าไปในห้องพัก เมื่อออกมาอีกครั้ง มือของนางก็ถือผ้าห่มผืนบางไว้ นางปูให้ซู่ซินอย่างนุ่มนวล โดยไม่ปลุกผู้ใดให้ตื่นขึ้น หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกจากจวนแม่ทัพ


หลังจากรับเข็มเงินมาแล้ว เว่ยฉางอันก็ไม่ได้รอช้า รีบไปยังสถานที่ที่ได้นัดหมายไว้กับหรงหลีเซิง


ระหว่างทางนางเดินมาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว กลับไม่รีบร้อนอีกต่อไป


นางสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างช้า ๆ เมื่อพบว่า หรงหลีเซิงยังมาไม่ถึง จึงหาที่ลับตานั่งรอ


"คุณหนูเว่ยมาถึงนานแล้ว เหตุใดจึงไม่เข้ามาหาข้าเล่า?"


เสียงเย้ายวนผสมรอยยิ้มดังมาจากด้านหลังของนาง ขณะที่นางกำลังคิดว่าเมื่อหรงหลีเซิงมาถึง นางจะต้องตำหนิเขาให้หนักเสียหน่อยสำหรับการมาสาย และไม่เคารพเวลานัด


เว่ยฉางอันหันไปมองโดยสัญชาตญาณ หน้ากากเงินก็ปรากฏเข้ามาในสายตา พลางเหลือบมองถ้วยชาที่ไม่มีควันลอยแล้วในมือของเขา


คำพูดที่ตั้งใจจะว่ากล่าวออกมาก็ถูกนางกลืนกลับลงไป


"คุณหนูเว่ยจะกล่าวหาว่าข้ามาสายหรือ?"


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว