บ้านนี้เมียดุ!-บทที่ 20 เผด็จศึกองครักษ์

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

บ้านนี้เมียดุ!

บทที่ 20 เผด็จศึกองครักษ์

“ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลาเสียจริง”

หลังฟังเรื่องราวจบ ม่อจื่อซินก็ส่ายหน้าแล้วเขกหัวอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ เป็นถึงแม่ทัพทัพหน้า แค่องครักษ์ข้างกายคนเดียวกลับจัดการไม่ได้

“เจ็บนะ” เหลิ่งเอ้าเสวี่ยบ่นพลางเอนตัวหนี

“เด็กโง่ ข้าว่าในใจจิ่งซาผู้นั้นก็มีเจ้าเช่นกัน”

ภาพเหตุการณ์วันที่เข้าไปช่วยเหลือเหลิ่งเอ้าเสวี่ยยังคงชัดเจน จิ่งซาลงมือเหี้ยมโหด บุกเข้าไปคนเดียว ต่อสู้กับชนเผ่าคนเถื่อนนับร้อยอย่างไม่หวั่น นี่ไม่ใช่ความรักที่องครักษ์มีต่อเจ้านาย มันน่าจะมากกว่านั้น...

“ข้ารู้... แต่เขาไม่ยอมก้าวออกมา ข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร” เหลิ่งเอ้าเสวี่ยส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

“เจ้าเอียงหูมานี่ ข้ามีวิธี”

หลังฟัง ‘วิธี’ จากม่อจื่อซิน เหลิ่งเอ้าเสวี่ยก็ส่ายหน้าทันที สีหน้าแววตาฉายอารมณ์สับสน ทั้งตื่นตระหนก ตื่นเต้นและเขินอาย ใบหน้างดงามแดงจัด

“เชื่อข้าสิ วิธีนี้ต้องสำเร็จแน่” ม่อจื่อซินตบอกตนเองท่าทางขึงขังมั่นใจ

“แต่...” เหลิ่งเอ้าเสวี่ยหน้าแดง แววตาลังเล วิธีที่ม่อจื่อซินบอกมันไม่งามเลย ถึงจะเป็นแม่ทัพทัพหน้าของตระกูลเหลิ่ง แต่นางยังไม่ห้าวหาญถึงขั้นนั้น อย่างไรนางก็คือสตรีที่ยังไม่ออกเรือน

“ไม่มีแต่” สองมือม่อจื่อซินจับใบหน้าเหลิ่งเอ้าเสวี่ยให้หันมาสบสายกันไม่ให้หลบ “ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะแต่งงานกับเขาเพียงผู้เดียวใช่หรือไม่”

“ใช่” เหลิ่งเอ้าเสวี่ยพยักหน้าหนักแน่น นอกจากจิ่งซาแล้วชาตินี้นางไม่มีวันรักผู้ชายคนไหนได้อีกแน่นอน

“เช่นนั้นแผนของข้าก็ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องห่วง ข้าจะสนับสนุนเจ้าทุกทาง ทำตามแผนข้าเถอะ”

ความมั่นใจของม่อจื่อซินกำจัดความลังเลในใจเหลิ่งเอ้าเสวี่ยหมดสิ้น วูบหนึ่งใบหน้าพี่ชายสามคนผุดขึ้นในหัว แต่ถูกหญิงสาวปัดทิ้งรวดเร็ว หากทำสำเร็จต่อให้ถูกพี่ชายทั้งสามดุด่าก็ถือว่าคุ้ม! หากล้มเหลวอย่างน้อยนางก็ได้มอบครั้งแรกของตนให้ชายที่รัก ดังนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ล้วนคุ้มค่าที่จะลองทั้งนั้น พลันปลายหางตาก็เห็นร่างคุ้นตาก้าวเข้ามาในสวนผัก เหลิ่งเอ้าเสวี่ยยิ้มพลางตบบ่าอีกฝ่าย

“พี่รองมาแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ” พูดจบก็ยิ้มหอกเงินแล้วพุ่งทะยานตัวหายไปอย่างรวดเร็ว

“จื่อซิน น้องสาวข้าสร้างความลำบากให้ท่านหรือเปล่า” เหลิ่งเอ้ายวี่ส่งเสียงถามอย่างร้อนใจ สองเท้าเร่งเดินมาหาหญิงสาวที่ตนคิดถึง เพราะจิ่งซาบอกว่าน้องสาวมาหาม่อจื่อซิน ชายหนุ่มรู้นิสัยน้องตนเองดี เขาจึงรีบตรงมาสวนผักทันทีที่รู้เรื่อง

“ข้าไม่เป็นไร ดูสิ ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ” ม่อจื่อซินลุกยืน พอเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นก็กระโดดขึ้นลงสองทีเร็วๆ แสดงให้เขาเห็นว่าตนปกติดีทุกอย่าง

“อืม...เช่นนั้น...ดี...ก็ดี” เหลิ่งเอ้ายวี่พยักหน้า สายตากวาดมองขึ้นลงทั่วตัวหญิงสาวไปรอบ ไม่เห็นร่องรอยบาดเจ็บก็ค่อยโล่งอก

ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น ม่อจื่อซินก็ไม่พบชายหนุ่มอีกเลย ได้เห็นเขาวันนี้ก็รู้สึกเข้าใจความโกรธของเหลิ่งเอ้าเสวี่ยขึ้นมาทันใด บุรุษที่เคยหล่อเหลาสง่างามดุจหยกชั้นเลิศแลดูทรุดโทรม ใต้ดวงตาดำคล้ำ ร่างกายดูผ่ายผอมลงอย่างชัดเจน สภาพเขาทำม่อจื่อซินเจ็บปวดและรู้สึกผิด

“ข้า...ข้าขอตัวก่อน...” เหลิ่งเอ้ายวี่รีบร้อนหันหลังกลับ เดิมเข้าใจว่าถ้าไม่เห็นม่อจื่อซิน น้ำหนักนางในใจเขาคงจะค่อยๆ ลดน้อยลงไปเอง แต่พอมายืนอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงได้กระจ่างแก่ใจว่าความโหยหาที่คิดว่าสลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว แท้จริงเงาภาพของนางยังคงชัดเจน

“เหลิ่งเอ้ายวี่...”

พอเห็นชายหนุ่มหันหลังจะจากไป ม่อจื่อซินก็รีบคว้ามือเขาไว้ “พวกเราคุยกันก่อนเถอะ”

ทั้งสองจำเป็นต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน ม่อจื่อซินไม่อยากเสียสหายคนนี้ไป

เหลิ่งเอ้ายวี่ยืนนิ่งไม่ขยับ ครู่หนึ่งก็ทอดถอนใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เดินตามหลังหญิงสาวไปนั่งที่โต๊ะหินข้างกระท่อม ม่อจื่อซินไม่เลือกคุยในกระท่อมเพราะไม่อยากให้เหลิ่งเอ้ายวี่นึกถึงภาพในวันนั้นขึ้นมาอีก

ต่างฝ่ายต่างนั่งนิ่งเงียบ นานครู่ใหญ่เป็นม่อจื่อซินที่เอ่ยขึ้นก่อน หญิงสาวเข้าเรื่องไม่อ้อมค้อม “เอ้ายวี่ ข้าขอโทษ”

“ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดผิดต่อข้า ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดและไม่ต้องขอโทษข้าด้วย” เหลิ่งเอ้ายวี่ตอบเสียงหนักแน่น

หากจะถามหาคนผิดจากทั้งสามคน แน่นอนว่าคนผิดก็คือเขาคนเดียว เขาไม่ควรมีความรู้สึกที่ไม่สมควรกับพี่สะใภ้ของตน หลังเกิดเรื่องพี่ใหญ่ไม่ตำหนิเขาแม้สักครึ่งคำ วันนี้ม่อจื่อซินยังขอโทษเขาอีก ทั้งสองคนทำให้เขาละอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าแล้ว


ตั้งแต่ต้นเหลิ่งเอ้ายวี่คิดอยู่เสมอว่าพี่ชายไม่เต็มใจแต่งงานกับม่อจื่อซิน แต่ขัดราชโองการไม่ได้

พี่ชายไม่จัดพิธีแต่งงาน ทั้งยังส่งหญิงสาวมาอยู่กระท่อมสวนผักที่ห่างไกลผู้คน เหลิ่งเอ้ายวี่ยิ่งเชื่อว่าพี่ชายไม่มีใจให้ม่อจื่อซินแน่นอน แต่ภาพที่เห็นในกระท่อมวันนั้นทำให้รู้ว่าเขาคิดผิด

พี่ใหญ่เป็นคนเก็บอารมณ์ แม้เป็นพี่น้องที่สนิทกัน เหลิ่งเอ้ายวี่ก็ยังไม่กล้าพูดว่าตนเองอ่านสีหน้าพี่ชายออก

หลังเหลิ่งเอ้าเสวี่ยเกิด บิดามารดาก็เสียชีวิตจากไป ความลำบากต่อจากนั้นเขาจดจำได้ทุกอย่าง เด็กเล็กที่ไร้บิดามารดาคุ้มครองปกป้อง สี่พี่น้องถูกผู้อาวุโสขับไล่ออกจากตระกูล พี่ใหญ่พาน้องๆ ร่อนเร่ไปหลายที่ หากไม่ได้อาจารย์ผู้มีพระคุณรับเลี้ยงดูพวกเขา สั่งสอนความรู้และวิทยายุทธ์ต่างๆ ให้ เกรงว่าวันนี้คงไม่มีตระกูลเหลิ่งที่แสนยิ่งใหญ่แห่งซีเป่ยแล้ว

หลังม่อจื่อซินเข้ามาอยู่ในจวน ถึงภายนอกพี่ชายดูเย็นชา แต่แววตาเปี่ยมด้วยความสุขก็ชัดเจนจนปิดไม่มิด ไม่เพียงเท่านั้น พี่ใหญ่ยังพูดคุยและหัวเราะมากขึ้นด้วย การเปลี่ยนแปลงของพี่ชายทำให้น้องๆ ดีใจมาก ความสุขของพี่ชายคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เหลิ่งเอ้ายวี่ยอมตัดใจจากม่อจื่อซิน

ความลำบากทั้งชีวิตของเหลิ่งเอ้าเทียนล้วนทำเพื่อน้องๆ ทั้งสาม เพื่อราษฎร เพื่อแคว้น ดังนั้นเพื่อความสุขของพี่ใหญ่ ไม่มีอะไรที่น้องชายทำให้ไม่ได้

เรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเอ้าเทียนทำม่อจื่อซินนิ่งอึ้งอย่างคาดไม่ถึง บิดามารดาเสียชีวิต สี่พี่น้องถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างไม่เป็นธรรม เด็กอายุแค่สิบขวบต้องรับหน้าที่ดูแลน้องถึงสามคน ที่เขาต้องแข็งกร้าวก็เพื่อให้ตนเองสามารถยืนหยัดปกป้องน้องๆ ได้ เพื่อค้ำยันครอบครัว เพื่อให้น้องชายน้องสาวมีชีวิตที่ดี

ภาพลักษณ์ของเหลิ่งเอ้าเทียนในใจหญิงสาวดีขึ้นทันใด จู่ๆ นางก็รู้สึกยอมรับนิสัยเผด็จการเอาแต่ใจของเขาได้บ้างแล้ว

“เอ้ายวี่ เช่นนั้นพวกเรายังคงเป็นสหายกันอยู่ไหม”

เหลิ่งเอ้ายวี่เป็นบุรุษที่ดี เขาสมควรได้ภรรยาที่ดีกว่านาง บางทีอาจเพราะนางถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของเหลิ่งเอ้าเทียน จิตใจส่วนลึกจึงไม่เปิดใจให้ชายอื่น มากสุดคือชื่นชมยกย่องแต่ไม่รัก

“แน่นอน พวกเราจะเป็นสหายกันตลอดไป” เหลิ่งเอ้ายวี่ยิ้มตอบ ชีวิตนี้ได้รู้จักหญิงสาวที่ฉลาดและกล้าหาญเช่นม่อจื่อซินได้ ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียใจแล้ว

“ข้าจะพูดกับพี่ใหญ่ให้รีบจัดงานแต่ง ท่านจะได้มีตำแหน่งที่ถูกต้องเสียที”

สำหรับสตรีชื่อเสียงสำคัญยิ่งชีวิต การที่ม่อจื่อซินอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเหลิ่งโดยไร้สถานะเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ราชโองการจากฮ่องเต้ก็ยังไม่เพียงพอจะรับรองสถานะให้นาง

ถึงม่อจื่อซินจะไม่แสดงท่าทียอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน ท่าทีนี้ทำเหลิ่งเอ้ายวี่ขมขื่นใจไม่น้อย ต่อจากนี้เขาคงต้องเตรียมทำความเคารพอีกฝ่ายในฐานะพี่สะใภ้ได้แล้ว

หลายวันต่อมาเหลิ่งเอ้ายวี่ก็ส่งคนมาแจ้งว่า ใกล้ถึงเวลาทำศึกกับพวกชนเผ่าคนเถื่อนแล้ว จำเป็นต้องเลื่อนงานแต่งออกไปก่อน หลังเสร็จศึกจึงค่อยจัดพิธีให้ถูกต้องและสมเกียรติ

ม่อจื่อซินรับรู้อย่างเข้าใจ

ระหว่างนั้นเหลิ่งเอ้าเทียนก็แวะมาเยี่ยมเยียนหญิงสาวหลายครั้ง แม้ทั้งสองจะไม่มีเรื่องพูดคุยกันมากนัก แต่รอยยิ้มบางเบาที่นางแอบเห็นหลายครั้งก็ทำให้ม่อจื่อซินเชื่อว่า ความสัมพันธ์พี่น้องของเขากับเหลิ่งเอ้ายวี่ยังคงผูกพันเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง

และเชื่อว่าเขาคงพึงพอใจกับเจ้าสาวตามราชโองการคนนี้อยู่บ้าง

ไม่มากก็น้อยนั่นล่ะ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว