วันต่อมาขบวนเริ่มออกเดินทางในยามเหม่า ฟ้ายังไม่สว่างนัก
ม่อจื่อซินเก็บชุดเจ้าสาวและเครื่องประดับต่างๆ ไว้ในห่อสัมภาระ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดเรียบง่ายที่สะดวกในการขี่ม้า ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้ายกสูง เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าเหลิ่งเอ้ายวี่ ทั้งตัวก็เต็มเปี่ยมด้วยความกระฉับกระเฉง
“คุณหนูม่อ นี่คือม้าของท่าน”
มองตามสายตาของเหลิ่งเอ้ายวี่ไปก็เห็นม้ากำยำสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง คอยาว ดวงตาสุกใส ขนสีน้ำตาลได้รับการดูแลตัดแต่งอย่างดีทำให้มันยิ่งดูน่าเกรงขาม ดูองอาจแข็งแกร่งสมกับที่ม้าศึก ม่อจื่อซินพยักหน้าพอใจ
เหลิ่งเอ้ายวี่ยืนพิงหลังกับเสาไม้ ในปากคาบต้นหญ้ากัดเล่น สองแขนกอดอก มุมปากยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกายรอดูเรื่องสนุก ม้าซีเป่ยทั่วไปมีนิสัยพยศ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงม้าศึก ต่อให้คุณหนูม่อจะขี่ม้าเป็น แต่การขึ้นขี่ม้าศึกไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นสตรีตัวเล็กอ้อนแอ้นเช่นนี้ยิ่งยากจะทำได้
คิดว่าจะได้เห็นข้าทำเรื่องน่าหัวเราะให้อับอายงั้นหรือ ฝันไปเถอะ
ม่อจื่อซินอ่านความหมายในแววตาเหลิ่งเอ้ายวี่ออก นางเพียงยิ้ม จากนั้นก็เดินตรงไปหาม้าที่อีกฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้ มือนุ่มเล็กตบหลังม้าเบาๆ เขย่งปลายเท้ากระซิบถ้อยคำข้างหูม้าตัวใหญ่ ท่าทางของนางทำให้ทหารตระกูลเหลิ่งจับตามองอย่างสงสัยและประหลาดใจ
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทหารตระกูลเหลิ่ง ม่อจื่อซินเหยียบบังโกลนแล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว เพียงกระตุกบังเหียนครั้งเดียว ม้าศึกตัวใหญ่ก็วิ่งควบไปอย่างรวดเร็ว ดั่งลูกธนูที่ถูกยิงออกจากคันศร
รอยยิ้มเหลิ่งเอ้ายวี่แข็งค้างก่อนจะรีบวิ่งกระโดดขึ้นหลังม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ควบม้าไล่ตามม่อจื่อซินไปทันที
“ทุกคนรอรับคำสั่งอยู่ที่นี่!”
นั่นเป็นม้าศึกของกองทัพเชียวนะ! นิสัยพยศร้ายกาจ เหตุใดจึงยอมให้หญิงสาวที่ไม่เคยพบหน้าขึ้นขี่ได้ง่ายๆ แบบนี้ ถ้ามันพยศดีดม่อจื่อซินตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บ เขาจะหาพระชายาจากที่ไหนไปให้พี่ชายเล่า!
ม่อจื่อซินหัวเราะเสียงดัง ควบม้าอย่างมีความสุข รู้สึกว่าความอึดอัดที่กดทับมาหลายวันสลายสิ้น ยิ้มกับเสียงสายลมที่ดังข้างหู สูดหายใจรับอากาศสดชื่นยามเช้า สัมผัสถึงอิสระขณะที่ม้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า จนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเหยียดสองแขนแล้วลุกขึ้นยืนรับลม
“คุณหนูม่อ! ท่านทำบ้าอะไร!”
เสียงตะโกนร้อนใจของเหลิ่งเอ้ายวี่ดึงม่อจื่อซินจากภวังค์ความสุข แวบแรกคิดจะเอี้ยวตัวหันไปดูด้านหลัง แต่ก็เปลี่ยนใจเป็นหยุดนิ่งแล้วนั่งลง ยังเร็วเกินไปที่จะเผยตัวตนแท้จริงให้ผู้อื่นรู้ อย่างไรอีกฝ่ายก็คือน้องชายสามี นางต้องเก็บซ่อนตัวตนไว้ก่อน เผื่อวันหน้าคิดหนีจะได้ไม่ยากเกินไป เพราะคงไม่มีใครคิดระวังตัวกับคุณหนูผู้อ่อนแอและโง่เขลาแน่
ทันใดนั้นม่อจื่อซินก็รู้สึกถึงแรงรัดแน่นที่เอว ฉับพลันร่างเล็กก็ถูกดึงขึ้นกลางอากาศ เบื้องหน้าคือท้องฟ้ากว้าง สัมผัสด้านหลังคือแผงอกแข็งแกร่ง พริบตาท้องฟ้าสีครามกับผืนหญ้าสีเขียวก็เป็นภาพสลับหมุนวนไปมาหลายรอบ เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง ภาพที่ปรากฏคือใบหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งเอ้ายวี่ สองแขนของเขายันอยู่ข้างตัวนาง ดวงตาสีเข้มกำลังมองนางด้วยความโมโหจัด
“ม่อจื่อซิน! ท่านไม่ต้องการมีชีวิตแล้วงั้นหรือ!” เหลิ่งเอ้ายวี่ตวาดเสียงดุ หายใจหอบแรง
“ข้าก็ไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่หรือ” ม่อจื่อซินยิ้มตอบด้วยสีหน้าใสซื่อ ริมฝีปากยิ้มกว้าง ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายระยิบระยับ บอกให้รู้ว่านางกำลังอารมณ์ดีมาก
เหลิ่งเอ้าเทียนถูกราชโองการของฮ่องเต้บังคับให้ต้องแต่งงานกับบุตรสาวของคู่อริสำคัญในราชสำนัก แน่นอนว่าเขาย่อมต้องมีท่าทีรังเกียจเธอ ม่อจื่อซินเข้าใจได้ ส่วนท่าทีดูแคลนและไม่ต้อนรับที่เหลิ่งเอ้ายวี่แสดงออกก็เป็นสิ่งที่หญิงสาวคาดไว้เช่นกัน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องเผชิญเมื่อไปถึงซีเป่ย
ดังนั้นการทำให้เหลิ่งเอ้ายวี่เสียการควบคุมตัวเอง เลิกวางท่าเย็นชาดูถูกนาง แม้จะแค่ชั่วครู่ชั่วยามก็สามารถทำให้เธออารมณ์ดีได้แล้ว
ท้องนภาสีคราม มวลเมฆาสีขาว หญ้าสีเขียวสดโยกไหว
โฉมงามนอนราบอยู่บนผืนหญ้า มีบุรุษสูงใหญ่เท้าแขนสองข้างคร่อมอยู่ด้านบน ดวงตาดวงตาสองคู่สบประสานกัน
“รองแม่ทัพ พวกท่าน...อ๊ะ!”
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วรีบวิ่งมาหาทั้งสอง แต่พอเข้าใกล้ก็หยุดชะงัก ยืนปากอ้าตาค้างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะรีบหันหลังแล้วส่ายหน้าไปมา เหมือนพยายามบอกให้ทั้งคู่รู้ว่าเขาไม่เห็นอะไรเลย
“ขออภัย”
เหลิ่งเอ้ายวี่พลันได้สติ รู้ว่าท่าทางของทั้งสองตอนนี้ดูคลุมเครือนัก ชายหนุ่มรีบลุกยืน ใบหน้าขึ้นสีแดงจางๆ เท้าถอยห่างจากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
ม่อจื่อซินลุกยืน สองมือปัดฝุ่น เอ่ยเสียงเรียบ “ทักษะการขี่ม้าของข้า รองแม่ทัพเหลิ่งคงหมดข้อกังขาแล้วใช่หรือไม่”
“อืม” เหลิ่งเอ้ายวี่พยักหน้ารับอย่างฝืนๆ แต่ความสงสัยยังไม่หมด ขณะหญิงสาวเดินกลับไปหาม้าตนเอง เขาก็เอ่ยถามเสียงแข็ง
“เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับม้า” ม้าศึกแห่งซีเป่ย ต่อให้เป็นทหารกล้ารูปร่างสูงใหญ่ยังยากจะควบคุมได้ เหตุใดนางที่เป็นสตรีตัวเล็กบอบบางจึงทำได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ม่อจื่อซินชะงักฝีเท้าก่อนหมุนตัวกลับมา ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยถาม “ท่านอยากรู้จริงหรือ”
“ใช่” เหลิ่งเอ้ายวี่พยักหน้า เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มของม่อจื่อซินดูแปลกประหลาดนัก
“ข้าบอกมันว่าหากเชื่อฟังข้าจะมีเนื้อให้กิน” ม่อจื่อซินขยิบตาครั้งหนึ่งก่อนจะหัวเราะเสียงกังวานใส ไม่สนใจทหารสองคนที่ยืนตัวแข็งเป็นตุ๊กตาไก่ไม้อีก ขึ้นหลังม้าแล้วขี่กลับโรงเตี๊ยมไป
เมื่อเป็นม้าศึกย่อมเคยผ่านสนามรบและสถานการณ์เข่นฆ่ามาอย่างโชกโชน อีกทั้งนิสัยก็มีความพยศดื้อรั้นโดยธรรมชาติ แต่เธอเป็นสายลับที่มีความสามารถพิเศษที่เป็นความลับอย่างหนึ่ง นั่นคือเธอสื่อสารกับสัตว์ได้ การจะทำให้ม้าศึกเชื่อฟัง ไม่ใช่แค่ใช้กำลังยังต้องอาศัยความสามารถอื่นช่วยด้วย
“ให้กินเนื้อ” ทหารผู้น้อยเงยหน้ามองเหลิ่งเอ้ายวี่ ถามอย่างงุนงง “รองแม่ทัพ ม้าต้องการกินเนื้อจริงหรือขอรับ”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” ชัดเจนว่าม่อจื่อซินกำลังล้อเล่นกับพวกเขา ใบหน้าเหลิ่งเอ้ายวี่ดำทะมึน สีหน้าขึงตึงไม่สบอารมณ์ “เรื่องวันนี้เป็นเหตุสุดวิสัย ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด!”
“ขอรับ รองแม่ทัพ” ทหารชั้นผู้น้อยตอบรับเสียงหนักแน่น สีหน้าเคร่งขรึม ถึงในใจจะรู้สึกว่าภาพที่ตนเห็นทำให้คิดไปไกลก็ตาม
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา” เหลิ่งเอ้ายวี่สั่งให้ทุกคนรออยู่ที่โรงเตี๊ยม การที่ทหารผู้นี้ขี่ม้าตามมาแสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญมากพอให้ฝ่าฝืนคำสั่งแน่นอน
“มีจดหมายจากท่านแม่ทัพใหญ่ถึงท่านขอรับ” หลังยื่นกระบอกใส่จดหมายส่งให้ก็ถอยหลังไปหลายก้าว
หลังอ่านข้อความจบ สีหน้ารองแม่ทัพหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด กระดาษในมือถูกขยำจนยับย่น “ถ่ายทอดคำสั่ง เร่งเดินทางไปยังชายแดนเหนือให้เร็วที่สุด”
ทหารพูดหนึ่งไม่มีสอง ใช้เวลาไม่นานทหารตระกูลเหลิ่งก็เดินทางออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าสู่ชายแดนเหนือ
เหลิ่งเอ้ายวี่พาคนเร่งรุดเดินทางไม่หยุด ยามนี้แม้ม่อจื่อซินคิดอยากนั่งเกี้ยวก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว
เร่งเดินทางผ่านไปสามวันก็ถึงสถานีพักม้า เหลิ่งเอ้ายวี่สั่งเปลี่ยนม้า คนส่วนหนึ่งต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแล คนที่เหลือรีบเดินทางต่อ
เดิมเหลิ่งเอ้ายวี่คิดอยากทิ้งม่อจื่อซินไว้ที่สถานีพักม้าแต่ก็เปลี่ยนใจ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา ให้นางอยู่ในสายตาไว้น่าจะดีกว่า สำคัญที่สุดคือม่อจื่อซินทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย สามวันที่ผ่านมานางสามารถเร่งขี่ม้าไปพร้อมเหล่าทหารได้ ไม่ว่าการกินอยู่หลับนอนจะลำบากเพียงใดก็ไม่ปริปากบ่น ไม่แม้แต่จะชักสีหน้าไม่พอใจ ไม่มีท่าทีอ่อนแอเปราะบางอย่างบุตรสาวขุนนางใหญ่ ในใจเหลิ่งเอ้ายวี่จึงชื่นชมในความเข้มแข็งอดทนของหญิงสาวยิ่งนัก
อันที่จริงม่อจื่อซินไม่รู้สึกลำบากอะไร ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป นางจึงฝืนใช้ร่างกายนี้ให้เกินขีดจำกัดอย่างไม่ปรานี การเร่งขี่ม้าไม่พักตลอดหลายวันทำให้ผิวบอบบางบริเวณต้นขาเกิดเป็นแผลตกสะเก็ด แม้ร่างกายจะอ่อนล้าแต่ยังยืนหยัดได้ ในที่สุดร่างนี้ก็ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ถือว่าที่ยอมทรมานหลายวันไม่เสียเปล่าแล้ว
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่