ขอโทษนักอ่านที่รออ่านวันนี้ค่ะ เมื่อวานพายุเข้า(ตอนแรกบอกว่าเป็นทอนาโดแต่โชคดีที่เป็นแค่พายุแต่ค่อนข้างรุนแรงกว่าปีไหน ๆ ที่เคยมีมา)ลมแรงมากต้นไม้หักโค่นทั่วทุกบริเวณทำให้ไฟฟ้าดับเพราะเสาไฟและสายไฟหักโค่นไปหลายจุด ระบบอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ไม่สามารถโพสต์หรือแม้แต่ส่งข้อความและโทรหาใครก็ไม่ได้เลยค่ะ วันนี้ก็เลยมาช้าไปหน่อย ต้องขออภัยค่ะ
ตอนนี้ไฟยังไม่มาแต่ที่บ้านใช้เครื่องปั่นไฟสำรองใช้ อินเทอร์เน็ตก็จะติด ๆ ดับ ๆ หน่อยนะคะ เอาเป็นว่าถ้าหายไปเลยภายในสองสามวันนี้แสดงว่าเข้าเน็ตและใช้มือถือไม่ได้นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ แวะคอมเมนต์และส่งหัวใจให้คนละดวงสองดวงเพื่อให้กำลังใจนักเขียนได้ค่ะ
-----------
“โธ่โว้ย”
ภูตะวันทุบกำปั้นลงบนพื้นทรายอย่างแรงรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยคนที่ทำให้หัวใจสั่นไหวได้ นั่งชกทรายอยู่ครู่ใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนเมื่อคิดได้ว่าต้องรีบออกเดินทางไปโอมาร่าเพื่อช่วยน้องสาวแต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างเล็กที่เขาต้องการตามหาวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วอีกครั้งพร้อมกับกลุ่มผู้ชายพวกนั้นอีกแล้ว
“เร็วเข้า”
ร่างสูงที่ยืนขึ้นเต็มความสูงได้ก็คว้ามือของคนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จับจูงกันวิ่งหนีไปยังทิศทางที่ทหารองครักษ์ของชีคมาคีรออยู่ด้วยหัวใจเต้นระส่ำระสาย หากเขาและเธอถูกจับได้รับรองว่าคงกลายเป็นผีเฝ้าตลาดปานาคาสแห่งนี้เป็นแน่ อาวุธปืนน่ะเขามีแต่กระบอกเดียวคงสู้อีกห้ากระบอกหรือมากกว่าของชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่ได้ ภูตะวันกระชับฝ่ามือเล็กนุ่มนั้นแน่นขึ้นก่อนจะพาหญิงสาววิ่งอ้อมห้องน้ำที่เขาตั้งใจจะมาปลดทุกข์ทว่าตอนนี้มีทุกข์ในใจมาแทนที่เสียนี่
“คุณภูตะวัน!”
ทหารองครักษ์ของชีคมาคีเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจเมื่อเห็นทั้งสองวิ่งเข้าไปใกล้
“อย่าเพิ่งถามอะไรครับ ช่วยจัดการที เรากำลังหนีชายฉกรรจ์พวกนั้นอยู่ไม่รู้เป็นโจรหรือเปล่า ผมจะพาเธอไปรอที่อูฐ”
“พวกกระผมจัดการเองขอรับ”
ว่าจบทั้งห้าคนก็กระจายตัวกันดักกลุ่มเป้าหมายที่ภูตะวันชี้ให้ดู สองหนุ่มสาวไม่มีเวลาหันไปสนใจว่าเหล่าองครักษ์จะจัดการคนร้ายพวกนั้นได้หรือไม่ เขาพาหญิงสาววิ่งอ้อมกลับไปยังอูฐที่ฝากไว้ ทั้งคู่หอบหายใจอย่างหนักทว่าภูตะวันกลับเป็นคนที่เหนื่อยหอบมากกว่าคนข้างกาย เธอวิ่งหนีคนร้ายมากกว่าเขาแต่ยังไม่เห็นหอบหายใจเท่าไหร่นัก
“ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยเราอีกรอบ”
ลูน่ากล่าวพลางหันซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีคนตามมาแล้วจึงปล่อยมือทว่ากลับเป็นภูตะวันที่จับมือนั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ผมตกลง”
“ตกลงเรื่องอะไร”
ดวงตาคู่สวยไหวระริกแวบหนึ่งด้วยความดีใจที่ชายหนุ่มผู้นี้ยอมตกลงช่วยเหลือ ทว่าระหว่างที่ถูกมือใหญ่ของเขากอบกุมพาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนนั้นลูน่าสำนึกขึ้นมาได้ว่าหากเธอให้เขาช่วย ชีวิตของเขาก็อาจจะเป็นอันตรายได้ จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต่อสู้กับปัญหานี้เพียงลำพัง
“ก็เรื่องที่คุณขอก่อนหน้านี้ไงเป็นปลาทองไปแล้วหรือถึงได้ความจำสั้น”
ภูตะวันกล่าวเสียงเข้ม ชักสีหน้าไม่พอใจที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนจำไม่ได้มาขอเป็นเมียเขาแล้วทำเป็นลืม
“ไม่ได้ความจำเสื่อมแต่เราคิดดีแล้ว หากเราต้องตาย เราไม่ควรให้ใครเดือดร้อน ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจที่ท่านช่วยเหลือครั้งนี้ เราจะไม่ลืมพระคุณของท่านเลย”
ลูน่าปล่อยมือใหญ่ที่เธอจะไม่มีวันลืมหมุนตัววิ่งหนีอีกครั้งทว่าก้าวขาได้เพียงสามก้าวก็ถูกรวบตัวจากด้านหลังเสียก่อน
“ผมไม่ให้คุณไป คุณขอเป็นเมียผมแล้วนะ ห้ามคืนคำ”
ภูตะวันตามมารวบร่างอรชรของลูน่าแนบอกแน่น หัวใจแกร่งของเขาเจ็บปวดเมื่อเธอบอกว่าจะตายเพียงลำพังคนเดียว ทำไมเธอต้องทำให้เขารู้สึกว่าเธอเหลือตัวเพียงคนเดียวอยู่บนโลกใบนี้ เธอเป็นใครมาจากไหน แล้วหนีตายทำไม หนีจากใคร คำถามมากมายผุดขึ้นในสมอง สองมือสองแขนก็กอดกระชับร่างอรชรแน่นจนหญิงสาวหายใจแทบไม่ออก
“ท่านปล่อยเราก่อน กอดแน่นไปแล้ว เราขอโทษที่ก่อนหน้านี้พูดไม่คิด แต่ตอนนี้คิดได้แล้วว่าชีวิตของเรา ไม่ควรมีใครมาเดือดร้อนไปด้วย”
ลูน่าดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดที่รัดแน่นอันแสนอบอุ่น กลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลเอาไว้ ยิ่งเขาเป็นคนดีเช่นนี้ชีวิตของเขาควรอยู่ในที่ที่ดีและปลอดภัยหากเธอเห็นแก่ตัวเขาอาจจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตเพราะเธอ คงรู้สึกผิดและเสียใจไปตลอดชีวิต
“แต่ผมอยากให้คุณมีผมอยู่ในชีวิตของคุณ”
ภูตะวันว่าพลางจับร่างเล็กที่พยายามดิ้นหนีให้หันหน้ามาหา ก่อนจะทาบริมฝีปากครอบครองกลีบปากจิ้มลิ้มที่เอ่ยคำปฏิเสธนี้ทันที ทำไมเขาต้องรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่ถูกริมฝีปากคู่สวยเย้ายวนนี้ปฏิเสธก็ไม่รู้
“อื้อ”
ลูน่าอ้าปากจะร้องประท้วง จึงถูกลิ้นใหญ่เลาะล้วงกวาดชิมความหวานภายในโพรงปากอย่างหิวกระหายทว่าทุกสัมผัสนั้นนุ่มนวลและหนักหน่วงสลับกันไป ภูตะวันมอบจุมพิตแสนหวานด้วยความรู้สึกหวงแหน หากต้องตายเขาจะปกป้องดูแลเธอจนวินาทีสุดท้าย
“ยังไงคุณก็ต้องไปเป็นเมียผมตามที่ขอไว้ ห้ามผิดคำพูด”
ภูตะวันเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำเมื่อถอนริมฝีปากออกจากกลีบปากอิ่มที่สั่นระริก
“ไม่…”
“อื้อ”
ลูน่ายังไม่ทันได้ปฏิเสธภูตะวันก็กดจูบลงมาอีกครั้ง เร่าร้อนและดุเดือดยิ่งกว่าเมื่อครู่
“ไม่อะไร พูดให้ดี ๆ”
ถอนจุมพิตออกพลางจับจ้องดวงหน้าหวานที่กำลังแดงระเรื่อราวมะเขือเทศสุก
“ม~ไม่รู้”
ลูน่าก้มหน้างุดตอบก่อนจะรีบดึงผ้าขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ห้าคนเดินมาหาเตรียมตัวจะวิ่งหนีอีกรอบเพราะคิดว่าอาจจะเป็นคนที่ถูกส่งให้มาจับตัวเธอด้วยความตื่นกลัว ภูตะวันหันไปตามสายตาของลูน่าจึงรู้ว่าเป็นกลุ่มของทหารองครักษ์
“ไม่ต้องกลัว ห้าคนนี้เขามากับผมครับ”
ชายหนุ่มรั้งร่างบอบบางที่เตรียมจะวิ่งหนี ทำไมเขาต้องรู้สึกโหวงหวิวทุกครั้งที่เธอกำลังจะวิ่งหนีจากเขาไป
“พวกเราจับคนพวกนั้นมัดไว้ที่ตลาดแล้วขอรับ เราเดินทางต่อกันเถอะเดี๋ยวจะมืดค่ำเกินไป”
“ผมต้องพาเธอไปด้วยครับ”
ภูตะวันมองลูน่าที่ตอนนี้ก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าเงยขึ้นมาสบตาใครด้วยความเป็นห่วง
“จะดีเหรอขอรับ การเดินทางของเราอาจจะล่าช้า”
“ดีไม่ดีไม่รู้ แต่ผมทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้ครับ”
“งั้นก็ตามใจคุณภูตะวันเลยขอรับ”
“ขอบคุณครับ”
ภูตะวันอุ้มลูน่าขึ้นอูฐซึ่งหญิงสาวก็ขึ้นได้อย่างคล่องแคล่วแล้วปีนขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลัง หญิงสาวเงียบไปตลอดทางนานนับชั่วโมง
“คิดอะไรอยู่ครับฮึ บอกแล้วไงว่ายังไงคุณก็เปลี่ยนใจไม่ได้”
ภูตะวันโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างใบหูเล็กหลังจากที่คนด้านหน้าเอาแต่นั่งเงียบมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว ร่างเล็กค่อย ๆ เอนมาซบอกแกร่งของภูตะวันทำให้เขารู้ว่าหญิงสาวนั้นหลับไปแล้วตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“โธ่นั่งเงียบมาตั้งนาน ที่แท้ก็หลับหนีกันไปเสียแล้ว”
รอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าคมคร้ามของภูตะวัน เขากระชับอ้อมกอดรัดร่างน้อยแนบอกแน่นขึ้นอีกนิดพรมจูบลงบนกลางศีรษะผ่านผ้าคลุมผมผืนบางด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ทหารองครักษ์ขยับฝีเท้าอูฐขึ้นมาเทียบก่อนจะเอ่ยปากถามสหายรักของเจ้าเหนือหัว
“คุณภูตะวันรู้หรือเปล่าว่าเธอเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงหนีกลุ่มชายฉกรรจ์พวกนั้นมาขอรับ”
“ผมไม่รู้ครับ ชื่อของเธอผมก็ยังไม่รู้เลยครับ”
นั่นสิขนาดชื่อเสียงเรียงนามเจ้าหล่อนเขายังไม่รู้จักเลยแล้วนี่จะไปเป็นเมียของเขาให้มันได้อย่างนี้สินายภูตะวัน หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของบิดามารดาของเขาคงถูกหัวเราะเยาะแน่ ๆ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะไปเอ่ยปากขอให้ใครต่อใครเป็นสามีมาแล้วกี่คน ภูตะวันหน้าบึ้งทันทีเมื่อคิดว่ามีผู้ชายกี่คนที่หญิงสาวในอ้อมกอดไปขอความช่วยเหลือ ไปเสนอตัวเป็นเมีย ทว่าเขาก็รับรู้จากสัมผัสและจูบที่เจ้าหล่อนมอบให้เขาตรงหน้าห้องน้ำมันเงอะงะราวกับยังไม่เคยจูบใครมาก่อน
“อ้าว ชื่อก็ยังไม่รู้จักเหรอขอรับ?”
องครักษ์ของชีคมาคีเกาศีรษะแกรก ๆ เห็นทีพวกเขาคงต้องเชื่อในพรหมลิขิตจากเทพแห่งทรายเสียแล้ว หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของเจ้าเหนือหัวจากองครักษ์เอกมือขวาที่พวกเขาเคารพ ตอนแรกยังไม่กล้าปักใจเชื่อเต็มร้อย คราวนี้คงต้องเชื่อหมดใจ ว่าการที่ใครสักคนจะผ่านเข้ามาในชีวิตของใครอีกคนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ภูตะวันอยู่ไกลอีกฟากฟ้าห่างจากบาเรน่านับสิบชั่วโมงหากเดินทางโดยเครื่องบิน เพิ่งเดินทางมาถึงแผ่นดินทะเลทรายสีทองนี้ตอนเช้าตกบ่ายมาก็พาผู้หญิงกลับไปด้วยเสียแล้ว ถ้าไม่เรียกพรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไรดี
“นั่นสิครับ แม้แต่ชื่อก็ยังไม่ทันได้รู้จักเลยครับ”
ภูตะวันหัวเราะร่วนตอบองครักษ์พลางกระชับอ้อมกอดที่เขาไม่อยากจะปล่อยเลยให้ตายเถอะ ถ้าคุณหยาดพิรุณกับคุณภูวเนตรรู้เข้าจะหัวเราะเยาะเขาจนท้องขดท้องแข็งหรือเปล่านะ
‘เมื่อไหร่ลูกจะมีเมียสักที แม่อยากอุ้มหลานแล้ว’
คุณหยาดพิรุณถามคำถามนี้กับเขามานานนับห้าปีและคำตอบเดิม ๆ ที่เขามีให้ท่านก็คือ
‘ผมไม่อยากมีใคร ไม่อยากวุ่นวาย และชาตินี้คงไม่มีวันจะมีเมียครับคุณแม่กับคุณพ่อรออุ้มหลานจากยัยน้องละกันนะครับ’
“หึ ไม่อยากมีเมียมาเป็นสิบปี ตอนนี้เกิดอยากมีขึ้นมา เพราะเธอเลยนะแม่ตาหวาน”
ภูตะวันกระซิบชิดกระหม่อมบางกดจูบเบา ๆ ด้วยหัวใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ หลังจากที่มันตายด้านเย็นชามานานนับสิบปีตั้งแต่ที่เขาถูกรักแรกทิ้งไปกระทั่งวันนี้มันกลับมาเต้นแรงมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
-----------------------------------------
ไปตามหาน้องแต่ไหงได้เมียกลับบ้านแทนล่ะพี่ภูตะวัน คนไม่อยากมีเมียมานานหิ้วว่าที่เมียกลับไร่แล้วนั่น
ติดตามอ่านเรื่องราวของชีครามิลและชีคมาคีได้ตามลิงก์ข้างล่างนี้นะคะ
หวามรักในฮาเร็มที่นี่ค่ะ >>> https://www.hongsamut.com/fiction/9165/หวามรักในฮาเร็ม+%28จบแล้ว+มีE-book%29
ดั่งหยาดฝนพรมเม็ดทราย >>> https://www.hongsamut.com/fiction/9402/ดั่งหยาดฝนพรมเม็ดทราย
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว