ชาติที่แล้วสูญเสียทุกสิ่ง ข้าจึงเป็นมารหญิงเพื่อชิงทุกอย่าง [นิยายแปล]-บทที่ 19 การหมั้นหมายที่ถูกลืม

โดย  Camellianovel

ชาติที่แล้วสูญเสียทุกสิ่ง ข้าจึงเป็นมารหญิงเพื่อชิงทุกอย่าง [นิยายแปล]

บทที่ 19 การหมั้นหมายที่ถูกลืม



“โม่โม่ เป็นอะไรลูก รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ขณะที่หลิวชิงเหม่ยกำลังตรวจสอบอาการจวินเสี่ยวโม่ นางสังเกตเห็นลูกสาวยกมือนวดหน้าผากจึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา

คนเป็นพ่อแม่ไม่มีทางหมดห่วงลูก

“ท่านแม่ ข้าสบายดี ไม่ต้องห่วง” จวินเสี่ยวโม่กอดแขนออดอ้อนหลิวชิงเหม่ย นางแลบลิ้นขยิบตาแล้วฉีกยิ้มซุกซนสดใส

หลิวชิงเหม่ยเขกหัวจวินเสี่ยวโม่เบาๆ พร้อมกับหัวเราะ “เด็กซน”

พฤติกรรมเด็กน้อยทำให้หลิวชิงเหม่ยคลายความกังวลลงได้เล็กน้อย

หลิวชิงเหม่ยรู้นิสัยบุตรสาวของตนเองดี ตั้งแต่ยังเล็กจวินเสี่ยวโม่โตมาโดยมีคนคอยประคบประหงม นอกจากข้อกำหนดเข้มงวดในเรื่องการฝึกตนแล้ว บุตรสาวของนางก็ไม่เคยพบเจออุปสรรคความยากลำบากอะไรเลย ดังนั้นหลิวชิงเหม่ยจึงมั่นใจว่าถ้าบุตรสาวรู้สึกไม่สบายตรงไหนจริงๆ ก็คงจะโผตัวเข้าอ้อมแขนของนางและโอดครวญให้ฟังแล้ว อย่างน้อยก็คงไม่ร่าเริงอยู่แบบนี้

แน่นอนว่าหลิวชิงเหม่ยไม่รู้เลยว่าจวินเสี่ยวโม่ต้องผ่านความทุกข์ทรมานมากเพียงใดก่อนจะกลับมาเกิดใหม่

เยว่ซิวเหวินสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในการกระทำของศิษย์น้อง เขายังจำคำพูดของจวินเสี่ยวโม่ตอนอยู่ในตำหนักลงทัณฑ์ได้

“ข้าจำเป็นต้องแสดงอาการไม่สบายผ่านทางสีหน้าด้วยหรือ แสดงไปแล้วจะได้ประโยชน์อันใด เพื่อให้ผู้คนสงสารและเห็นอกเห็นใจข้าอย่างนั้นหรือ ความสงสาร ความเห็นใจ ความเมตตา จวินเสี่ยวโม่ผู้นี้หาได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ไม่ เพราะข้าคือลูกของจวินหลินเซวียน ข้ามีศักดิ์ศรีมากพอ”

ตอนนี้ดูเหมือนอาจไม่ใช่แค่ ‘ศักดิ์ศรี’ ที่ทำให้นางเลือกซ่อนความไม่สบายทางร่างกายไว้ อีกเหตุผลหนึ่งน่าจะเป็นเพราะไม่อยากให้คนที่นางรักต้องเป็นกังวล

จวินเสี่ยวโม่ไม่คิดเลยว่าการพยายามปลอบมารดาของนางจะทำให้เยว่ซิวเหวินประเมินนางใหม่ หลังจากเล่นหูเล่นตาใส่มารดานางก็หันกลับไปเห็นว่าเยว่ซิวเหวิน...เหมือนกำลังมองนางอยู่

นางรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นศิษย์พี่เยว่มองจ้องมา จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือแตะใบหน้าแล้วถามขึ้น “ศิษย์พี่เยว่ มีอะไรติดอยู่หน้าข้าอย่างนั้นหรือ”

เยว่ซิวเหวินละสายตาไปทางอื่นพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่มีอะไรหรอกศิษย์น้อง ช่วยยื่นมือศิษย์น้องไปให้มารดาของเจ้าตรวจสอบระดับการฝึกตนได้ไหม”

ขณะนี้ทั้งสามเข้ามานั่งด้านในแล้วและเยว่ซิวเหวินก็ดึงหัวข้อการสนทนากลับมาที่ประเด็นหลักได้อย่างมีชั้นเชิง

จวินเสี่ยวโม่รู้ว่าคงเลี่ยงไม่พ้นจึงหันไปยิ้มแหยบอกกับมารดา

“ไม่มีอะไรให้ตรวจสอบหรอก ก็แค่...แค่...แค่ระดับการฝึกตนของข้าตกไประดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง”

“อะไรนะ! ตั้งแต่เมื่อไร! ทำไมไม่บอกแม่!” หลิวชิงเหม่ยขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความโกรธ

“ท่านแม่ จะ...ใจเย็นนะเจ้าคะ” จวินเสี่ยวโม่ลูบหลังมารดาแล้วพึมพำขึ้นเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ระดับการฝึกตนตกลง ฝึกฝนใหม่ได้เสมอ”

อย่างน้อยก็ดีกว่ามีปราณมารติดตัวป้องกันไม่ให้ระดับการฝึกตนคืบหน้าไปไหน

จวินเสี่ยวโม่คิดต่อในใจ

“บ้าไปแล้ว! หมายความว่าอย่างไรที่ว่า ‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่’ เจ้าคิดว่าง่ายมากหรือที่จะฝึกฝนจนบรรลุระดับบำรุงปราณขั้นแปดอีกหน อีกทั้งความเร็วในการฝึกคนมักจะพัฒนาได้เร็วเมื่อเริ่มตอนอายุยังน้อย ตอนนี้เจ้ากลับไปอยู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง พยายามฝึกฝนอีกสิบหกปีก็อาจกลับไปอยู่ระดับบำรุงปราณขั้นแปดไม่ได้อีก ถ้าบรรลุไปไม่ถึงระดับสร้างรากฐาน เจ้าก็จะเจ็บป่วยและตายไปเหมือนคนธรรมดา อยากให้พวกข้าเฝ้ามองเจ้าตายไปก่อนหรือ!”

จวินเสี่ยวโม่เห็นมารดาอารมณ์คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบรินชามาบริการพร้อมกับพูดขึ้น “ท่านแม่ มันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ท่านคิด”

ดวงตาของหลิวชิงเหม่ยแดงก่ำ ลมหายใจถี่รัวขึ้น สุดท้ายนางก็ทำได้แค่จ้องมองบุตรสาวและรับน้ำชามาจิบ

หลังจากอารมณ์คุกรุ่นในหน้าอกคลายลง นางก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ยื่นมือมา”

เห็นมารดายังคงมีน้ำโหอยู่ จวินเสี่ยวโม่ก็วางมือราบลงบนโต๊ะอย่างว่าง่าย

หลิวชิงเหม่ยวางนิ้วมือลงบนข้อมือของบุตรสาวแล้วส่งเสี้ยวปราณวิญญาณเข้าไปตรวจเส้นลมปราณและจุดตันเถียน

จวินเสี่ยวโม่ไม่ได้พูดอะไรอีก ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ตรงข้อมือของตนพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย บอกไม่ได้เลยว่าตอนนี้นางคิดอะไรอยู่

เยว่ซิวเหวินไม่ใช่คนช่างพูด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็เลือกที่จะไม่พูด ดังนั้นเขาจึงนั่งเงียบๆ รอฟังการประเมินสภาพร่างกายของจวินเสี่ยวโม่จากหลิวชิงเหม่ย

ชั่วขณะนั้นบรรยากาศในห้องตึงเครียดและหนักอึ้ง

“บอกแม่มา เจ้าพบว่าระดับการฝึกตนของตนเองตกลงตั้งแต่เมื่อใด” หลิวชิงเหม่ยรู้ว่าความจริงอันน่าเศร้านี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ น้ำเสียงของนางจึงสงบลงมากตอนที่เอ่ยถามจวินเสี่ยวโม่ ถึงกระนั้นสีหน้าของนางก็ยังแสดงออกชัดเจนว่ายังคงขุ่นเคืองอยู่

นางโกรธที่บุตรสาวปิดบังเรื่องสำคัญเช่นนี้จากนางและโกรธที่ตัวเองไม่รู้เรื่องเร็วกว่านี้

ถ้ารู้เร็วกว่านี้ บางทีโม่โม่อาจจะ...

“ท่านแม่ ไม่ใช่ความผิดท่านนะเจ้าคะ” จวินเสี่ยวโม่เห็นว่ามารดาของตนกำลังโทษตัวเอง นางจึงจับมือหลิวชิงเหม่ยไว้แล้วพูดต่อ “แท้จริงแล้วกระทั่งข้าก็ไม่พบความผิดปกติอะไรในทีแรก โอสถที่เจ้าสำนักให้ใช้ได้ผลดี ข้ารู้สึกว่าร่างกายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่...”

จวินเสี่ยวโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาโอสถเหมือนจะเสื่อมฤทธิ์ โดยเฉพาะตอนที่กินเม็ดสุดท้ายเข้าไป จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหนื่อยและอ่อนแรง ข้าคิดว่าคงเป็นผลสืบเนื่องจากอาการบาดเจ็บและจะฟื้นตัวหลังพักผ่อนสักสองสามวัน แต่แม้จะพักผ่อนอยู่หลายวัน อาการก็มิได้ทุเลาลงเลย พอข้าตรวจสอบสภาพร่างกายดูวันนี้ก็พบว่าระดับการฝึกตนตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง...ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องนี้จากท่าน”

พูดจบจวินเสี่ยวโม่ก็ก้มหัวลง สีหน้าของนางดูเป็นทุกข์ เห็นเช่นนั้นหลิวชิงเหม่ยก็ไม่กล้าตำหนิบุตรสาวต่อ

หลิวชิงเหม่ยพิจารณาสิ่งที่จวินเสี่ยวโม่บอกอย่างละเอียดแล้วพบประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง “เจ้าบอกว่าจู่ๆ โอสถของเจ้าสำนักก็เสื่อมฤทธิ์หรือ”

“เอ่อ...ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” จวินเสี่ยวโม่เงยหน้าแล้วพยักหน้าอย่างลังเล “จากนั้นไม่นานข้าก็เริ่มรู้สึกอ่อนแรง”

“ระหว่างนั้นเจ้าได้กินอะไรผิดแปลกหรือไม่”

“ไม่” จวินเสี่ยวโม่ส่ายหัวยืนยันหลังจาก ‘ไตร่ตรอง’ อยู่ครู่หนึ่ง

หลิวชิงเหม่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้น “โม่โม่ยังเก็บโอสถที่เจ้าสำนักให้มาไว้ไหม”

“ข้า...ข้ากินหมดแล้ว” จวินเสี่ยวโม่ก้มหน้าลงอีกครั้งเพื่อซ่อนแววตาของตนเอง

หลิวชิงเหม่ยขมวดคิ้วและดำดิ่งสู่ห้วงความคิด

เยว่ซิวเหวินมองจวินเสี่ยวโม่ด้วยความสายตาประหลาดใจ

ถ้าไม่เห็นจวินเสี่ยวโม่ใช้ฝ่ามือทำร้ายหยูว่านโหร่วรุนแรงเสียจนระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายเกือบจะลดลง เขาอาจจะถูกการแสดงออกในปัจจุบันของนางหลอกเอาได้

การแสดงออกที่ไร้เดียงสาของจวินเสี่ยวโม่ชัดเจนมากจนไม่สามารถบอกได้ว่านางกำลังโกหกอยู่ แต่เยว่ซิวเหวินรู้ดีว่าจวินเสี่ยวโม่กำลังโกหก เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนระดับการฝึกตนของจวินเสี่ยวโม่ไม่ได้ตกสู่ระดับบำรุงปราณขั้นหนึ่ง มิเช่นนั้นแค่ฝ่ามือเดียวคงปล่อยพลังระดับนั้นไม่ได้ เยว่ซิวเหวินคิดว่าจวินเสี่ยวโม่ตัดสินใจโกหกผู้อาวุโสทั้งสามในตำหนักลงทัณฑ์เพื่อเลี่ยงการลงโทษ แต่ตอนนี้นางถึงกับโกหกอาจารย์แม่ด้วยเลยหรือ

ทำไมนางต้องปิดบังความจริงเกี่ยวกับระดับการฝึกตนที่ลดลงด้วย

เยว่ซิวเหวินรู้สึกงุนงง

ยิ่งไปกว่านั้นคำอธิบายทั้งหมดของจวินเสี่ยวโม่ยังดูเหมือนจะชี้ปัญหาไปทางเจ้าสำนัก ราวกับนางมั่นใจว่าโอสถที่เจ้าสำนักเหอจางมอบให้มีบางอย่างปกติ แต่ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

เยว่ซิวเหวินรู้ว่าหลิวชิงเหม่ย จวินหลินเซวียน และเหอจางเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเดียวกัน ความสัมพันธ์ต่อกันก็ค่อนข้างดี เห็นได้จากการอ้อนวอนต่อผู้อาวุโสให้เมตตาจวินเสี่ยวโม่ที่รุกล้ำเขตหวงห้ามสำนัก อีกทั้งเหอจางที่เป็นเจ้าสำนักก็ต้องมีโอสถล้ำค่ามากมาย การที่เขามอบโอสถให้จวินเสี่ยวโม่ทันทีแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเป็นห่วงที่มีต่อนาง

จากมุมมองนี้จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้จวินเสี่ยวโม่บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างเหอจางกับหลิวชิงเหม่ย แต่นางก็เลือกที่จะทำเช่นนั้น

ยังไม่รวมกับวาทศิลป์ระดับดีเยี่ยมของจวินเสี่ยวโม่ที่สามารถโกหกได้โดยไม่มีช่องโหว่จนผู้อาวุโสทั้งสามไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดนาง นอกจากนั้นแล้วนางยังฉวยโอกาสนี้เล่นงานหยูว่านโหร่วกลับ แสดงให้เห็นว่าศิษย์น้องคนนี้มีไหวพริบเล่ห์เหลี่ยมพอตัว

อย่างไรก็ตาม ‘แผนการ’ ที่จวินเสี่ยวโม่ใช้นั้นน่าสงสัยมาก เยว่ซิวเหวินไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้

เดิมทีเยว่ซิวเหวินวางแผนจะบอกอาจารย์แม่ว่าจวินเสี่ยวโม่อาจมีปราณมารแฝงอยู่ในกาย แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจจะไม่ทำเช่นนั้น

ในเมื่อจวินเสี่ยวโม่ต้องการซ่อนสภาพร่างกายจากอาจารย์แม่ก็หมายความว่านางต้องมีแผนการบางอย่าง หากเปิดโปงความลับของจวินเสี่ยวโม่ไปตอนนี้อาจจะเป็นการขัดขวางแผนการของนาง เยว่ซิวเหวินคิดในใจ

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาต้องการร่วมมือกับแผนของจวินเสี่ยวโม่ เขาแค่รู้สึกว่าจวินเสี่ยวโม่สามารถจัดการเรื่องตัวเองได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง

ส่วนเรื่องที่จวินเสี่ยวโม่พูดโกหกเพราะแผนใหญ่ที่วางไว้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความกังวลของเยว่ซิวเหวิน เขาคิดว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำสำหรับจวินเสี่ยวโม่ที่จะทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอาจารย์และอาจารย์แม่เดือดร้อนเพราะความโง่เขลาและไม่ทันคนของนาง

ต้องบอกเลยว่าเยว่ซิวเหวินมองการณ์ไกลทีเดียว

หลังจากพิจารณาเรื่องราวทั้งหมดเยว่ซิวเหวินก็เงียบไปโดยสิ้นเชิง

ในจังหวะนั้นหลิวชิงเหม่ยก็พูดขึ้นในที่สุด “จากเบาะแสที่มีอยู่ตอนนี้เราบอกไม่ได้ชัดเจนว่าปัญหาเกิดจากโอสถที่เจ้าสำนักมอบให้ เพราะโอสถของเจ้าสำนักก็ออกฤทธิ์ดีในช่วงแรก เฮ้อ เป็นความผิดของแม่เองที่คิดว่าเจ้าหายดีแล้วจึงออกไปปฏิบัติภารกิจนอกสำนัก มิเช่นนั้นแม่คงช่วยป้องกันไม่ให้อาการของลูกแย่ถึงเพียงนี้ได้”

“ท่านแม่...” จวินเสี่ยวโม่ไม่รู้จะปลอบมารดาอย่างไรจึงได้แต่จับมือของนางไว้แน่น

มีหลายสิ่งที่จวินเสี่ยวโม่ไม่สามารถบอกหลิวชิงเหม่ยโดยตรงได้ นางจึงได้แค่บอกอ้อมๆ และพยายามอย่างเต็มที่ในการปกป้องผู้คนที่นางห่วงใยที่สุด

เด็กสาวรู้ว่าไม่มีทางที่จะเปิดโปงความหน้าซื่อใจคดอันน่าเกลียดของเหอจางได้ในเวลาสั้นๆ แต่นางยังเหลือเวลาอีกมาก ตราบใดที่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ในใจของมารดาได้ สักวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นก็จะหยั่งรากและงอกเงยขึ้นมา

“จริงสิ พ่อเจ้าน่าจะออกจากการปิดด่านฝึกตนเร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นค่อยให้ท่านพ่อตรวจสอบอาการเจ้าอีกที แล้วก็เราต้องเริ่มคุยกับเจ้าสำนักเรื่องการแต่งงานของเจ้ากับฉินหลิงหยูด้วย”

จวินเสี่ยวโม่ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบอะไรในช่วงครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังกลับทำให้นางตกใจจนแทบจะสะดุ้งโหยง

“อะไรนะ! ท่านแม่! ข้าเพิ่งอายุสิบหกปีเอง!”

ชัดเจนว่าในชาติที่แล้วบิดามารดาของนางคิดว่าฉินหลิงหยูไม่ใช่สามีที่ดี เหตุใดในชาตินี้ถึงกังวลใจเรื่องการแต่งงานถึงเพียงนี้ได้!


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว