ชาติที่แล้วสูญเสียทุกสิ่ง ข้าจึงเป็นมารหญิงเพื่อชิงทุกอย่าง [นิยายแปล]-บทที่ 16 เจตนาแอบแฝงของผู้อาวุโสรอง

โดย  Camellianovel

ชาติที่แล้วสูญเสียทุกสิ่ง ข้าจึงเป็นมารหญิงเพื่อชิงทุกอย่าง [นิยายแปล]

บทที่ 16 เจตนาแอบแฝงของผู้อาวุโสรอง



หยูว่านโหร่วเป็นคนหน้าซื่อใจคดจริงๆ แต่นางไม่เคยคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับการเป็นคนหน้าซื่อใจคด ถ้าแม่ของนางในชาติก่อนไม่สามารถชิงความรักจากพ่อได้ด้วยการแสร้งทำตัวน่าสงสารได้สำเร็จ ในฐานะลูกนอกกฎหมายที่เกิดจากภรรยาน้อย ทั้งสองคนโดยภรรยาหลวงผู้โหดเหี้ยมและน่าพรั่นพรึงกดขี่ข่มเหงเอาได้

ดังนั้นตามหลักการใช้ชีวิตของหยูว่านโหร่ว ตราบใดที่สามารถบรรลุเป้าหมายจะใช้วิธีไหนก็ได้ทั้งนั้น แม้ว่าจะต้องเหยียบหัวคนอื่นเพื่อปีนขึ้นไปก็ตาม

หยูว่านโหร่วไม่เคยสนใจจวินเสี่ยวโม่เลย แม้จวินเสี่ยวโม่จะเป็นคู่หมั้นของฉินหลิงหยู ตราบใดที่หัวใจของฉินหลิงหยูอยู่กับตนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงเท่านั้น นอกจากจวินเสี่ยวโม่จะโง่เขลาและขาดประสบการณ์แล้ว นางยังมักจะช่วยเหลือแผนผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวด้วย ดังนั้นหยูว่านโหร่วจึงดูแคลนจวินเสี่ยวโม่มาโดยตลอด

ใครจะไปคิดเล่าว่าวันหนึ่งนางจะตกสู่สถานการณ์เช่นนี้เพราะจวินเสี่ยวโม่!

แม้หยูว่านโหร่วจะไม่รังเกียจที่จะใช้วิธีพิเศษบางอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง แต่นางก็ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เจตนาเบื้องลึกของตน ดังนั้นเมื่อจวินเสี่ยวโม่เปิดโปงต่อผู้คนทั้งตำหนักลงทัณฑ์ว่านางเป็นพวกชอบเสแสร้ง ใบหน้าของหยูว่านโหร่วก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

ราวกับมีคนฉีกผิวหนังออกจากใบหน้าของนาง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้หัวใจของหยูว่านโหร่วหยุดเต้นไปชั่วขณะ

แต่เนื่องจากนางอยู่ห่างจากผู้อื่นและเชิดหน้าขึ้น คนอื่นจึงมองไม่เห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของหยูว่านโหร่ว พวกเขาคิดเพียงว่านางตกใจเพราะท่าทีข่มขู่ของจวินเสี่ยวโม่และอดถอนหายใจขึ้นมาไม่ได้

จวินเสี่ยวโม่มีอำนาจข่มจริงๆ นางกล้าพูดอย่างโผงผางและไร้เมตตา

กระนั้นครั้งนี้ความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อจวินเสี่ยวโม่นั้นลดน้อยลง ขณะนี้พวกเขาบอกไม่ได้ว่าหยูว่านโหร่วมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรเพราะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับนางมากนัก ดังนั้นจึงไม่รู้จะสรุปสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี

หยูว่านโหร่วมีชื่อเสียงที่ดีในสำนักมาโดยตลอดจากความใจกว้างมีเมตตา แต่จวินเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้นิสัยแย่จนเกินไป นางเป็นคนเรียบง่าย ตรงไปตรงมา แสดงความเกลียดชังชัดเจน เย่อหยิ่งเล็กน้อย และทะนงตนเหมือนดังตัวชะมด นิสัยเหล่านี้ไม่ใช่นิสัยที่น่ารังเกียจเลย

ถึงผู้อื่นจะไม่เห็นความหน้าซื่อใจคดของหยูว่านโหร่ว แต่จวินเสี่ยวโม่มองเห็นได้อย่างชัดเจน นางยิ้มบางให้อีกฝ่ายราวกับจะบอกว่านี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น

หยูว่านโหร่วกำชายกระโปรงแน่นโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของตนเอง

ขณะนี้เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมการพิจารณาคดีมองจวินเสี่ยวโม่สลับกับหยูว่านโหร่วไปมา คำอธิบายของจวินเสี่ยวโม่ฟังดูสมเหตุสมผลและแผ่รัศมีศีลธรรมสูงข่มหยูว่านโหร่ว แต่ใบหน้าเคล้าน้ำตาของหยูว่านโหร่วทำให้นางดูจะเต็มไปด้วยความอับอายและคับข้องใจ ดูแล้วไม่เหมือนการแสร้งทำ อีกทั้งผู้อาวุโสก็ตรวจพบอาการบาดเจ็บของหยูว่านโหร่วจริง ในสถานการณ์นี้บอกได้ยากมากกว่าใครพูดความจริง ใครพูดโกหก

ขณะที่เหล่าศิษย์กำลังจับจ้องด้วยความงุนงง ผู้อาวุโสรองที่สังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ มาเป็นเวลานานก็สูดหายใจแล้วพูดขึ้น

“ความจริงแล้วมีหนึ่งสิ่งที่ข้าไม่ได้ชี้ให้เห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยปราณมารเล็กน้อยในจุดตันเถียนของศิษย์ว่านโหร่ว แต่เนื่องจากเกิดการผสมผสานจนมีความคล้ายคลึงกับปราณวิญญาณมาก ข้าจึงไม่มั่นใจนักในตอนแรก ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าหยูว่านโหร่วอาจโดนทำร้ายโดยผู้ฝึกตนสายมาร เพราะก็เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นมาก่อน ตอนนั้นมีผู้ฝึกตนสายมารแฝงตัวเป็นศิษย์สำนักซวี่หยางและทำร้ายศิษย์ในสำนักของเราเพื่อก่อให้เกิดความขัดแย้งภายใน”

อะไรนะ! ปราณมาร!

ศิษย์ทุกคนตกตะลึง สำนักซวี่หยางเป็นสำนักฝ่ายธรรมะซึ่งเกลียดชังวิถีผู้ฝึกตนสายมารเสมอมา ใครจะไปคิดเล่าว่าเหตุการณ์นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนสายมาร!

แต่ทำไมผู้อาวุโสรองถึงเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ ทุกคนเกิดข้อสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับผู้อาวุโสสำนักโดยตรง

จวินเสี่ยวโม่หลับตาซ่อนอารมณ์ที่ผันผวนอย่างรุนแรงในใจ

เห็นไหม! พวกตาเฒ่าในสำนักแยกแยะปราณมารและปราณวิญญาณได้จริงๆ เช่นนั้นแล้วเหตุใดชาติที่แล้วจึงไม่มีใครบอกข้าเรื่องปราณมารในร่าง แต่กลับรอจนปราณมารในร่างข้าตื่นขึ้นมาถึงเริ่มไล่ล่าตัวข้าอย่างไม่ลดละด้วยข้ออ้างกำจัดความชั่วร้ายและส่งเสริมคุณธรรมในโลก!

จวินเสี่ยวโม่รู้สึกปวดขมับอย่างรุนแรง ความโกรธในใจคุกรุ่นขึ้น เสียงกระซิบพูดคุยรอบข้างทำให้นางหวนนึกถึงความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวยามโดนไล่ล่าเมื่อชาติที่แล้ว

“เงียบ!” ผู้อาวุโสรองปล่อยแรงกดดันทรงพลังไปทั่วตำหนักลงทัณฑ์ แรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับเกิดอมตะไม่ใช่สิ่งที่ทานทนได้ง่าย หลายคนรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจไม่สะดวกทันที ความอึดอัดนี้ทำให้พวกเขาเงียบเสียงลง

ผู้อาวุโสรองยกเปลือกตาพร้อมกับพูดขึ้น

“เนื่องจากทั้งจวินเสี่ยวโม่และหยูว่านโหร่วต่างมีเหตุผลของตนเองและสมเหตุสมผลกันทั้งคู่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ฝึกตนสายมารมาเกี่ยวข้อง เราจึงขอพักการพิจารณาคดีไว้ก่อน หลิงหยู” ผู้อาวุโสรองเรียกฉินหลิงหยูที่ยืนประคองฉินชานชานอยู่เงียบๆ

“ขอรับผู้อาวุโสรอง โปรดให้คำแนะนำว่าข้าควรทำเช่นไรต่อไป” ฉินหลิงหยูไม่สามารถโค้งคารวะได้ในขณะนี้จึงได้แต่ก้มหัวลงเท่านั้น

“พาศิษย์สำนักสองสามคนไปค้นป่านอกสำนักเพื่อดูว่ามีร่องรอยผู้ฝึกตนสายมารหรือไม่”

“รับคำสั่งผู้อาวุโสรอง” ฉินหลิงหยูตอบรับด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

ผู้อาวุโสรองพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะลุกขึ้นพูดกับศิษย์คนอื่นๆ ในตำหนักลงทัณฑ์

“เรื่องนี้ให้จบลงที่นี่ ถือเป็นการย้ำเตือนกับทุกคน ห้ามทำร้ายศิษย์สำนักเดียวกัน มิเช่นนั้นจะโดนลงโทษตามกฎสำนัก! แยกย้ายได้”

“คารวะผู้อาวุโส” ศิษย์ทุกคนลุกขึ้นโค้งคารวะส่งผู้อาวุโสทั้งสามออกจากตำหนักลงทัณฑ์ด้วยความเคารพ

ทันทีที่ผู้อาวุโสรองออกจากตำหนักลงทัณฑ์ เสียงระเบ็งเซ็งแซ่ถกกันเรื่องเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ดังขึ้นทันที บางคนรู้สึกงงงวยที่ผู้อาวุโสรองปิดบังเรื่องปราณมารในกายหยูว่านโหร่ว ในขณะที่อีกส่วนเชื่อว่าความจริงนั้นอยู่กับจวินเสี่ยวโม่และหยูว่านโหร่ว ด้วยเหตุนี้ศิษย์หลายคนจึงเหลือบไปมองพวกนางราวกับคาดหวังว่าจะพบเบาะแสบางอย่างจากสีหน้าของทั้งสอง

จวินเสี่ยวโม่กำหมัดแน่นพร้อมกับมองไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสทั้งสามเดินกลับออกไป

นางอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมผู้อาวุโสรองเปิดเผยเรื่องปราณมารที่แฝงอยู่ในอาการบาดเจ็บของหยูว่านโหร่วเพียงเพราะจะปกป้องอีกฝ่ายจากข้อกล่าวหา ‘ใส่ร้ายเพื่อนร่วมสำนัก’

เหตุใดจึงทำเช่นนั้น ผู้อาวุโสรองกับหยูว่านโหร่วไม่ได้เป็นญาติสนิทหรือมิตรสหาย เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย

นอกจากนั้นแล้วถ้าผู้อาวุโสรองสัมผัสได้ถึงร่องรอยปราณมารในอาการบาดเจ็บของหยูว่านโหร่ว เหตุใดตอนที่การฝึกบำเพ็ญตนของข้าหยุดชะงักไม่รุดหน้าไปไหนในชาติก่อน ผู้อาวุโสรองมาตรวจดูกลับบอกเพียงว่าหาสาเหตุของปัญหาไม่เจอ

เขาจับสัมผัสปราณมารที่สั่งสมในร่างกายข้าไม่ได้จริงๆ หรือตั้งใจปิดบังความจริงกันแน่?

ดวงตาของจวินเสี่ยวโม่แข็งกร้าวและเย็นเยียบขึ้นขณะที่คิด

“ว่านโหร่ว อาการเป็นเช่นไร กลับเองไหวไหม” เสียงศิษย์ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากไม่ไกลขัดจังหวะความคิดของจวินเสี่ยวโม่ เมื่อมองไปตามทิศทางของเสียง จวินเสี่ยวโม่ก็พบว่าเจ้าของเสียงคือหนึ่งในผู้คลั่งไคล้หยูว่านโหร่วจากยอดเขาเดียวกัน

“ข้า...ข้าคิดว่าคงไม่เป็นอะไร” ใบหน้าของหยูว่านโหร่วยังเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา นางพยายามลุกยืนขึ้นระหว่างที่พูดแต่ร่างกายยังอ่อนแรงจากอาการบาดเจ็บ ขาของนางพยุงร่างไว้ไม่ไหวจึงเซจะล้มลง ศิษย์ชายยื่นแขนออกไปคว้าตัวไว้ได้ทัน

“ข้าพาเจ้ากลับดีกว่า” ศิษย์ชายพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงขณะที่สายตาแสดงชัดเจนถึงความรักใคร่เอ็นดูหยูว่านโหร่ว

เห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขทีได้มีโอกาสใกล้ชิดกับสาวงาม

“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนศิษย์พี่เคอ” ระหว่างตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาของนางเหลือบมองไปทางฉินหลินหยูโดยไม่รู้ตัว

อีกด้านหนึ่งหลังจากฉินหลิงหยูสั่งงานศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเกี่ยวกับการค้นหาตัวผู้ฝึกตนสายมาร เขาก็อุ้มฉินชานชานออกจากตำหนักลงทัณฑ์ไป ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามองหยูว่านโหร่วหรือจวินเสี่ยวโม่

เห็นเช่นนั้นหยูว่านโหร่วก็ก้มศีรษะลง ในใจรู้สึกขมขื่น แม้นางจะรู้ว่าท่าทีเย็นชาของฉินหลิงหยูมีเจตนาป้องกันไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง แต่นางก็อดไม่พอใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะทั้งใจของหยูว่านโหร่วในขณะนี้สนเพียงฉินหลิงหยู

ช่างปะไร จวินเสี่ยวโม่เป็นคู่หมั้นของฉินหลิงหยูแต่เขากลับไม่สนใจนางแม้แต่น้อยเช่นกัน

หยูว่านโหร่วปลอบใจตนเองให้ใจเย็นลง

คิดเช่นนั้นหยูว่านโหร่วก็เงยหน้าขึ้นด้วยความคิดว่าจวินเสี่ยวโม่ก็คงมีสีหน้าผิดหวังไม่ต่างกัน แต่นางก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแค่หลังไวๆ จวินเสี่ยวโม่รีบออกจากตำหนักลงทัณฑ์ราวกับว่ากำลังตามใครบางคนไป

อืม คงจะตามหลิงหยูไปแน่

หยูว่านโหร่วเย้ยหยันในใจ

เอาเลย ไม่ว่าเจ้าจะไล่ตามแค่ไหน คนที่หลิงหยูรักก็ยังคงเป็นข้า!

แน่นอนว่าจวินเสี่ยวโม่ไม่ได้ไล่ตามฉินหลิงหยู ตั้งแต่ได้กลับมาเกิดใหม่หัวใจของนางก็อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังและขยะแขยงเมื่อเห็นศัตรูจากชาติก่อน เช่นนั้นแล้วนางจะทนทุกข์ทรมานไล่ตามฉินหลิงหยูทำไม

คนที่นางไล่ตามคือเยว่ซิวเหวิน ไม่กี่ชั่วยามก่อนนางเห็นร่างของเยว่ซิวเหวินในป่านอกสำนักและใช้เวลาพักใหญ่ตามหาตัวอีกฝ่าย สุดท้ายแล้วคนที่นางพบกลับเป็นหยูว่านโหร่วซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตนตาฝาดไปหรืออย่างไร

ต่อมานางสังเกตเห็นเยว่ซิวเหวินอีกครั้งในตำหนักลงทัณฑ์ ร่างที่ดูราวจะตัดขาดจากโลกนี้ยังฝังลึกอยู่ในใจของนาง ทำให้หวนนึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยจากที่พึ่งสุดท้ายในชาติก่อน

แต่จวินเสี่ยวโม่ในชาติก่อนกลับทำลายความอบอุ่นนี้เพราะความเขลา

ในชาตินี้คนที่นางอยากพบมากที่สุดนอกจากบิดามารดาก็คือเยว่ซิวเหวิน นางอยากพบศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน แต่ความปรารถนาอยากพบบิดามารดาและเยว่ซิวเหวินนั้นแรงกล้ากว่าใคร

จวินเสี่ยวโม่สาบานกับตัวเองว่าถ้าเยว่ซิวเหวินตกหลุมรักใครสักคนในชีวิตนี้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต นางก็จะพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้เขาได้คู่ครองที่เหมาะสม นี่คือหนี้ที่นางติดค้างเยว่ซิวเหวิน

แน่นอนว่าคู่ครองของเยว่ซิวเหวินจะต้องเป็นน่าเชื่อถือและมีคุณธรรม ส่วนสตรีชั่วช้าจางซูเยว่จากชาติก่อน จวินเสี่ยวโม่พร้อมแทงกระบี่ใส่ให้ได้ลิ้มรสโดยไม่ลังเล!

“ศิษย์พี่เยว่!” จวินเสี่ยวโม่ร้องเรียกร่างสีขาวเบื้องหน้าด้วยความร้อนรนใจขณะเร่งฝีเท้าพุ่งไปด้านหน้า สภาพร่างกายของนางในปัจจุบันอ่อนแอมากเนื่องจากระดับการฝึกตนที่ตกลง แต่นางก็ใช้ใจอันมุ่งมั่นเป็นแหล่งพลังในการผลักดันตนเข้าไปหาชายหนุ่ม

นางไม่รู้ว่าเหตุในตนจึงเลือกทำเช่นนี้ แต่รู้สึกว่าถ้าไม่ยืนยันถึงการมีอยู่ของเยว่ซิวเหวิน นางคงรู้สึกว่าที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อลืมตาตื่นอีกครั้งก็จะพบตัวเองอยู่ในคุกมืดมิดและเปียกชื้น

เยว่ซิวเหวินหยุดฝีเท้าและค่อยๆ หันหลังกลับ

“ศิษย์พี่เยว่!” จวินเสี่ยวโม่ร้องเรียกอีกครั้ง ดวงตาของนางแดงก่ำขึ้นมา

ตอนที่ต้องหลบหนีในชาติก่อน กี่ครั้งแล้วที่ศิษย์พี่เยว่ยืนหยุดรอไม่ไกลรอให้นางตามได้ทัน

แต่นางคือสาเหตุที่ทำให้ศิษย์พี่เยว่ต้องตาย...

เยว่ซิวเหวินในตอนนี้ไม่คิดว่าจวินเสี่ยวโม่จะเรียกหาตน ที่แปลกใจยิ่งกว่าคือการที่จวินเสี่ยวโม่พุ่งเข้ามาหาราวกับลูกธนูที่เพิ่งปล่อยจากคันศร

หมวกม่านที่สวมใส่ปิดบังความประหลาดใจในดวงตา ก่อนที่เยว่ซิวเหวินจะทันได้ตอบสนอง ร่างน้อยก็วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนและกอดเอวของเขาไว้แน่นพร้อมกับซุกใบหน้าอุ่นไว้ตรงหน้าอก

เยว่ซิวเหวินยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว