ตอนที่ฉินหลิงหยูได้รับกระเรียนกระดาษสื่อสาร เขากำลังนั่งอย่างสำรวมอยู่เบื้องหน้าเหอจางและรายงานเรื่องในสำนักให้กับอาจารย์ของตน
ฉินหลิงหยูเป็นศิษย์เอกของเหอจาง เมื่อใดที่เหอจางมีเรื่องเร่งด่วนหรือสำคัญต้องไปจัดการ เขาจะมอบอำนาจส่วนหนึ่งให้ฉินหลิงหยูเพื่อให้จัดการเรื่องต่างๆ แทนตนเอง
ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดสีเขียวหยก กำลังนั่งหลังตรงอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนเสื่อรองนั่ง ด้วยรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาอันหล่อเหลารวมถึงพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งทำให้ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนทั้งในและนอกสำนักหลงใหล ที่สำคัญที่สุดคือเขายังเป็นศิษย์ในนามของผู้อาวุโสจางชิงจากสำนักเสวียนจี๋ด้วย ศักยภาพของเขาเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด
สำนักซวี่หยางเป็นเพียงสำนักระดับกลาง เหนือขึ้นไปยังมีสำนักระดับสูง สำนักระดับสูงสุด และสำนักที่ซ่อนอยู่ สำนักเสวียนจี๋จัดอยู่ในสำนักระดับสูงที่รับเฉพาะผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานและมีศักยภาพเท่านั้น ฉินหลิงหยูบรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับบำรุงปราณขั้นสิบสองตอนอายุเพียงยี่สิบสามปีและเตรียมจะบรรลุไประดับสร้างรากฐานแล้ว ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในโลกเซียน จึงเป็นธรรมดาที่ผู้อาวุโสจางชิงจากสำนักเสวียนจี๋จะรู้สึกสนใจในตัวเขา
เหอจางเคยเป็นศิษย์สำนักเสวียนจี๋ ดังนั้นจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นฉินหลิงหยูได้เป็นศิษย์ในนามของสำนักเสวียนจี๋
ยิ่งมีศิษย์สำนักซวี่หยางเข้าสำนักเสวียนจี๋ภายใต้การดูแลของเหอจางมากเท่าไร ความสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นเท่านั้นและตำแหน่งของเหอจางในฐานะเจ้าสำนักก็จะยิ่งมั่นคงยิ่งขึ้น
หลังจากได้รับข้อความจากหยูว่านโหร่ว ฉินหลิงหยูเก็บกระเรียนกระดาษสื่อสารไว้ในแขนเสื้อเงียบๆ และไม่ได้ออกเดินทางในทันที
เขาชอบความนุ่มนวลอ่อนหวาน เสน่ห์ และความเร่าร้อนตอนจูบกับหยูว่านโหร่ว ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่จวินเสี่ยวโม่ผู้ดื้อรั้นและเอาแต่ใจไม่สามารถมอบให้ได้
ว่ากันตามตรงถ้าไม่ใช่เพราะเป็นคำสั่งของเหอเจอ เขาก็ไม่มีทางอยากหมั้นหมายกับจวินเสี่ยวโม่ สำคัญด้วยหรือที่บิดาของจวินเสี่ยวโม่เป็นเจ้ายอดเขา ฉินหลิงหยูมั่นใจว่าในชีวิตนี้ตนไปได้ไกลกว่าบิดาของนางแน่นอน
เหอจางเห็นถึงความไม่เต็มใจของฉินหลิงหยู ดังนั้นเขาจึงย้ำว่าถ้าแต่งงานกับจวินเสี่ยวโม่ ฉินหลิงหยูจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรมากมายในยอดเขาหลินเทียนได้
บิดาของจวินเสี่ยวโม่เป็นเจ้ายอดเขา สินสอดที่เขามอบให้ต้องค่อนข้างล่ำซำทีเดียว นอกจากนั้นแล้วการสมรสเป็นคู่ฝึกตนไม่ใช่ว่าจะยุติไม่ได้ อายุขัยของผู้ฝึกตนนั้นยาวนานมาก ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกที่คู่ฝึกตนจะเลือกแยกทางกันเพราะความสัมพันธ์ที่จืดชืด
ในเมื่อการแต่งงานกับจวินเสี่ยวโม่มีแต่กำไรไม่มีอะไรเสียหาย เช่นนั้นทำไมจะต้องมัวกังวลเรื่องความรู้สึก เหอจางวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของการแต่งงานกับจวินเสี่ยวโม่ให้ศิษย์เอกของตนฟังโดยละเอียด
ฉินหลิงหยูเป็นชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน เขาเชื่อตามคำวิเคราะห์ของเหอจางอย่างที่สุด ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาจึงปฏิบัติต่อจวินเสี่ยวโม่อย่างมีอัธยาศัยไมตรี อาจไม่สามารถบอกได้ว่าดีเลิศเลอแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์
ในสายตาของฉินหลิงหยู จวินเสี่ยวโม่เป็นผู้หญิงใจง่าย ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติกับจวินเสี่ยวโม่อย่างไรนางก็ยังคงมองเขาเป็นดวงใจเสมอ ขณะเดียวกันการกระทำของจวินเสี่ยวโม่ก็ไม่ได้ทำให้ฉินหลิงหยูรู้สึกประทับใจเช่นกัน แท้จริงแล้วยิ่งจวินเสี่ยวโม่ทำตัวเกาะติดมากเท่าไรเขาก็ยิ่งรู้สึกดูถูกนางมากขึ้นเท่านั้น
อัตตาในใจฉินหลิงหยูถูกยกสูงเฉียดฟ้าเพราะความสนใจที่ได้รับจากจวินเสี่ยวโม่และผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ ดังนั้นฉินหลิงหยูจึงคิดว่าผู้ฝึกตนหญิงซึ่งเป็นที่ไขว่คว้าของผู้ฝึกตนชายเท่านั้นที่เหมาะสมกับเขา อีกทั้งหยูว่านโหร่วยังอ่อนโยนและช่างใส่ใจมากไม่เหมือนคนแข็งทื่ออย่างจวินเสี่ยวโม่ที่พูดเป็นแค่คำว่า ‘รัก’ เท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้นการสานสัมพันธ์ระหว่างฉินหลิงหยูและหยูว่านโหร่วก็ต้องเก็บเป็นความลับ ถ้าผู้อื่นพบว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ลับต่อกันผลลัพธ์ต้องเกินจะหยั่งถึงแน่ นอกจากสิ่งอื่นที่อาจจะได้รับแล้ว แค่ความเดือดดาลของบิดาจวินเสี่ยวโม่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขากินไม่ได้เดินไม่ไหวแน่ๆ!
จากข้อความที่ได้รับจากหยูว่านโหร่ว ฉินหลิงหยูรู้ว่านางตกอยู่ในอันตราย แต่แม้ใจจะเป็นกังวลเขาก็คิดว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวลมากพอที่จะละทิ้งหน้าที่และขอปลีกตัวจากการพบเหอจาง
สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับฉินหลิงหยูก็คือตัวเขาเอง!
เหอจางเห็นว่าศิษย์เอกของตนดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โดยปกติเขาก็ค่อนข้างใจกว้างและผ่อนปรนกับฉินหลิงหยูอยู่แล้ว จึงพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือ “ข้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ ถ้ามีธุระต้องจัดการก็ไปทำเสีย อาจารย์ก็ต้องพักผ่อนเช่นกัน”
ฉินหลิงหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายในขณะรักษาท่าทีสำรวม เขาคำนับเหอจางด้วยความเคารพก่อนจะกลับออกไป
หลังออกจากที่พำนักของเหอจาง ฉินหลิงหยูก็เร่งฝีเท้าไปยังป่านอกสำนัก ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้า
หากผู้อื่นรู้ว่าเขาเป็นคนแรกที่หยูว่านโหร่วติดต่อมาเมื่อตกอยู่ในอันตรายก็คงจะอธิบายเหตุผลได้ยาก เพราะเขาไม่ใช่ศิษย์พี่โดยตรงของนาง ไม่ว่าจะด้วยแง่ความสัมพันธ์หรือตรรกะเหตุผลคนแรกที่หยูว่านโหร่วติดต่อไม่ควรเป็นเขา
ความสุขุมรอบคอบในเรื่องนี้ได้ชัยไป เพื่อหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้เขาจึงถีบเท้าลงบนพื้นและพุ่งตัวไปทิศทางอื่น
ไม่ใช่ว่าเขาทอดทิ้งหยูว่านโหร่ว เขาแค่เลือกทางที่ปลอดภัยกว่าคือหาศิษย์ร่วมสำนักสองสามคนและใช้ข้ออ้างในการออกไปซื้อของเพื่อ ‘บังเอิญ’ ไปเจอกับหยูว่านโหร่วที่กำลังประสบภัยอยู่
ฉินหลิงหยูคงไม่คิดว่าหยูว่านโหร่วกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์เสี่ยงตายจริงๆ และถ้าเขามัวล่าช้าเช่นนี้นางอาจเหลือเพียงเศษขี้เถ้า
หรือบางทีเขาอาจคิดดูแล้วแต่ในใจกลับสรุปว่าชีวิตของหยูว่านโหร่วไม่สำคัญเท่ากับอนาคตของตนเอง
หยูว่านโหร่วไม่รู้ว่าฉินหลิงหยูนึกลังเลก่อนที่จะมาช่วงนางเพราะคิดว่าตัวนางกับฉินหลิงหยูรักกันอย่างลึกซึ้ง นางเชื่อมั่นว่าด้วยความรู้สึกของฉินหลิงหยูที่มีต่อนาง เขาจะปรากฏตัวในไม่ช้า
แต่ผ่านไปหนึ่งก้านธูป สองก้านธูป และครึ่งชั่วยาม ฉินหลิงหยูก็ยังไม่ปรากฏตัว หัวใจของหยูว่านโหร่วเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาอาจล่าช้าด้วยสาเหตุบางอย่าง
หยูว่านโหร่วกัดริมฝีปากล่างพลางครุ่นคิด ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกทำให้นางหน้ามืดเป็นช่วงๆ
เมื่อครู่นางทนความเจ็บปวดแสนสาหัสไม่ไหวจึงหยดน้ำจากบ่อน้ำวิญญาณสองสามหยดเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บ แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดเล็กน้อย นางวางแผนว่าจะไม่รีบรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองเพื่อที่จะได้เรียกความสงสารได้น่าเชื่อถือมากขึ้น ทว่าแม้จะผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วฉินหลิงหยูกลับยังไม่ปรากฏตัว
ฉินหลิงหยู นี่หรือคือที่ท่านหมายถึงตอนที่บอกว่าชอบข้า
ความไม่พอใจก่อตัวขึ้นในใจของหยูว่านโหร่ว
กรอบแกรบๆ
เสียงฝีเท้าดังขึ้นห่างไปไม่ไกล หัวใจของหยูว่านโหร่วพองโตขึ้นมาพร้อมคาดหวังว่าเสียงฝีเท้านั้นคือฉินหลิงหยู นางหลับตาลงและตีหน้าน่าสงสารในทันใด
ว่าตามตรงด้วยสภาพของนางในตอนนี้ แม้จะไม่ได้แสร้งทำเช่นนั้นนางก็ดูน่าสงสารและอ่อนแอมาก
ครู่ต่อมาเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ดังลั่นป่า หยูว่านโหร่วซึ่งหลับตาอยู่ใจหล่นวูบเมื่อรู้ว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้
เสียงกรีดร้องนั้นแหลมสูง ชัดเจนว่าคนที่ผ่านมาเป็นผู้หญิง
“ศิษย์พี่ว่านโหร่ว เกิดอะไรขึ้นกับท่าน!” ฉินชานชานรีบวิ่งเข้าไปหา นางทาบนิ้วมืออันสั่นเทาลงใต้จมูกของหยูว่านโหร่วเพื่อตรวจสอบลมหายใจ
ฉินชานชานเพิ่งกลับจากตลาดตรงเชิงเขา ขณะที่กำลังเดินผ่านป่าหางตาก็เหลือบไปเห็นหยูว่านโหร่วล้มพับอยู่ใต้ต้นไม้ อาภรณ์ของนางเลอะไปด้วยเลือด เห็นแล้วชวนตกใจยิ่งนัก
เห็นหยูว่านโหร่วนนอนนิ่งไม่ขยับ ฉินชานชานก็ตื่นตระหนกและหวาดกลัว นางบอกไม่ได้ในแวบแรกว่าหยูว่านโหร่วเป็นหรือตาย ทั้งชีวิตสิบห้าปีนางไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน เมื่อเห็นคนตายอยู่ต่อหน้าจึงรู้สึกตกใจสุดขีด
“ศิษย์พี่ว่านโหร่ว?” ฉินชานชานพยายามเรียกชื่อนางอีกครั้ง
เมื่อตรวจดูด้วยนิ้วมือนางก็พบว่าหยูว่านโหร่วยังหายใจอยู่อย่างอ่อนแรง
โชคดีที่ยังไม่ตาย
ความตื่นกลัวในใจฉินชานชานลดลงมาก แม้จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยกับความสามารถในการเข้าหาผู้อื่นของหยูว่านโหร่ว แต่อีกฝ่ายมีภูมิหลังยากลำบากและไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสูง ดังนั้นฉินชานชานจึงไม่รู้สึกอิจฉานางมากนัก อีกทั้งตอนนี้ฉินชานชานยังอายุแค่สิบห้า จิตใจยังไม่แข็งกร้าวพอที่จะเห็นศิษย์ร่วมสำนักตายต่อหน้าต่อตา
ฉินชานชานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบกระเรียนกระดาษสื่อสารออกมาจากแหวนคลังมิติ นางร่ายอาคมลงบนกระเรียนกระดาษแล้วพูดขึ้น
“พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ว่านโหร่วได้รับบาดเจ็บ โปรดพาใครมาให้ความช่วยเหลือโดยด่วน” พูดจบนางก็ส่งกระเรียนกระดาษสื่อสารให้บินไป
หยูว่านโหร่วได้ยินเสียงของฉินชานชานจึงตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป เพราะฉินชานชานเป็นน้องสาวของฉินหลิงหยู หากบอกนางว่าเป็นฝีมือของจวินเสี่ยวโม่ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน
หยูว่านโหร่วมองเห็นถึงความอิจฉาของฉินชานชานที่มีต่อจวินเสี่ยวโม่ ดังนั้นนางจึงไม่รังเกียจที่จะใช้เด็กสาวคนนี้เป็นเครื่องมือเผยแพร่ให้โลกรู้ถึงการทำร้ายเพื่อนร่วมสำนักของจวินเสี่ยวโม่ผู้หัวรั้นและเอาแต่ใจ
บางทีวิธีนี้อาจทำให้จวินเสี่ยวโม่เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ดีกว่านางกล่าวหาด้วยตนเอง เพราะหยูว่านโหร่วไม่อยากทำลายภาพลักษณ์ใจดีและมีเมตตาของตนเอง นางอยากให้คนอื่นรู้ว่าแม้จวินเสี่ยวโม่จะทำร้ายนางโดยไร้เหตุผล แต่นางก็ยินยอมที่จะให้อภัยพฤติกรรมเกเรของจวินเสี่ยวโม่เพราะมิตรภาพของเพื่อนร่วมสำนัก
หลังจากวางแผนเสร็จ หยูว่านโหร่วก็ค่อยๆ ‘ได้สติ’ และร้องโอดครวญขึ้นภายใต้สายตาเป็นกังวลของฉินชานชาน
“ชานชานหรือ เจ้ามาทำอะไรที่นี่” หยูว่านโหร่วถามอย่างอ่อนแรง สีหน้าของนางดูประหลาดใจ
“ศิษย์พี่ว่านโหร่ว ท่านอย่าเพิ่งเป็นห่วงเรื่องข้า ทำไมท่านถึงได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเยี่ยงนี้” ฉินชานชานร้อนใจมาก นางตกใจจนแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นสภาพของหยูว่านโหร่วก่อนหน้านี้ จึงไม่แปลกที่ตอนนี้นางจะยังสุขุมใจเย็นได้
“ร้ายแรง...บาดเจ็บร้ายแรงอย่างนั้นหรือ แค่กๆๆ...”
เมื่อหยูว่านโหร่วไออย่างควบคุมไม่ได้ราวกับจะขาดใจตายทำให้ฉินชานชานตื่นตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
“จุ๊ๆ...ท่านอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” ฉินชานชานลนลานมากไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงนั้นอย่างไร
อาการไอของหยูว่านโหร่วค่อยๆ ทุเลาลง นางผุดยิ้มบางให้กับฉินชานชานพร้อมกับแสดงความขอบคุณผ่านสีหน้าอันอ่อนแรง หลังจากนั้นก็ก้มหัวลงด้วยความหดหู่ราวกับแบบเรื่องหนักอึ้งไว้ในใจ
ฉินชานชานมองหยูว่านโหร่วอย่างช่วยไม่ได้ นางรู้สึกว่าศิษย์พี่ผู้นี้เหมือนจะมีอะไรอยู่ในใจ สัญชาตญาณของนางบอกว่าต้องเป็นบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งฉินชานชานก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ศิษย์พี่หว่านโหร่ว อาการบาดเจ็บของท่าน...”
“อาการบาดเจ็บของข้าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดเลย เกิดจากตัวข้าไม่ระมัดระวังเอง” หยูว่านโหร่วรีบตอบกลับ คำตอบที่เหมือนเตรียมไว้ก่อนแล้วทำให้ยิ่งชัดเจนว่านางพยายามปกปิดอะไรบางอย่าง
“ศิษย์พี่หว่านโหร่วโปรดอย่าโกหกข้า ใครจะทำร้ายตัวเองได้เพียงนี้!” ฉินชานชานแค่นเสียงไม่พอใจใส่หยูว่านโหร่ว เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจที่หยูว่านโหร่วไม่ยืนหยัดเพื่อตัวเอง
นางรู้ว่าหยูว่านโหร่วเป็นคนจิตใจดี กระทั่งมดหรือแมลงวันก็ไม่กล้าทำร้าย ชัดเจนว่าหยูว่านโหร่วพยายามปกป้องคนที่ทำร้ายตนเอง
ทันใดนั้น ฉินชานชานก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว
“ศิษย์พี่ว่านโหร่ว อาการบาดเจ็บของท่านเกิดจากจวินเสี่ยวโม่ใช่หรือไม่” แม้นางจะบอกออกไปเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ
หยูว่านโหร่วเงยหน้าขึ้นด้วยความ ‘ประหลาดใจ’ นางเหลือบมองฉินชานชานก่อนจะหลบสายตาพร้อมกับกระซิบเสียงเบา “ไม่มีอะไร ข้าบอกแล้วว่าเกิดจากความประมาทของข้าเอง ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ใดทั้งนั้น”
“ศิษย์พี่ว่านโหร่ว หยุดปกป้องนางได้แล้ว! นอกจากจวินเสี่ยวโม่แล้วจะมีใครมาหาเรื่องท่าน เป็นเพราะท่านไม่กล้ายืนหยัดเพื่อตนเองนางจึงคอยตามรังควานท่าน นางจะกล้ารังแกผู้อื่นด้วยหรือ ศิษย์พี่ว่านโหร่ว ความใจดีของท่านทำร้ายตัวเอง!” ฉินชานชานโกรธจัด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจวินเสี่ยวโม่ไม่ยอมซื้อปิ่นปักผมให้ความเกลียดชังในใจก็ยิ่งทวีคูณ
“คุณหนูใหญ่ผู้ดื้อรั้นและเอาแต่ใจเช่นนั้นเคยสนใจความรู้สึกผู้อื่นด้วยหรือ! ศิษย์พี่ว่านโหร่ว โปรดบอกข้าว่าเหตุใดนางจึงมารังควานท่านครั้งนี้”
“นาง...นางคิดว่าข้ากับพี่ชายของเจ้ามีความสัมพันธ์ไม่เหมาะสมต่อกัน นางจึง...” หยูว่านโหร่วก้มหัวและพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับว่าตนเองอับอายและคับข้องใจที่โดนใส่ร้าย
“หา?! นางทำร้ายท่านเพราะเหตุผลนี้หรือ!” ความโกรธของฉินชานชานทวีคูณยิ่งขึ้น “พฤติกรรมสมกับเป็นนาง ข้าไม่อยากได้นางเป็นพี่สะใภ้เลย! ศิษย์พี่ว่านโหร่ว ไม่ต้องกลัว ข้าจะบอกเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ คอยดูว่านางจะยังกล้าจองหองอยู่อีกหรือไม่!”
จวินเสี่ยวโม่ทำให้นางและหยูว่านโหร่วต้องอับอาย ฉินชานชานสาบานด้วยนามของตัวเองว่าจะบอกพี่ชายของตนเรื่องนี้เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับพวกนาง
“บอกข้าเรื่องอะไร” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากไม่ไกล ครู่ต่อมาร่างสูงหลายร่างก็เดินออกมาจากป่า ผู้นำของกลุ่มนั้นคือฉินหลิงหยู
มาถึงสักที!
หยูว่านโหร่วล้มตัวพิงต้นไม้ ‘อย่างอ่อนแรง’ ริมฝีปากของนางกระตุกยิ้มซึ่งยากที่จะมองเห็นได้
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว