ผู้ใดกล่าวว่าคุณหนูใหญ่อย่างข้าเป็นดาวกาลกิณี! [นิยายแปล]-ตอนที่ 22 ผู้มีสถานะสูงส่งถึงจะมีอำนาจเอ่ยวาจา

โดย  Camellianovel

ผู้ใดกล่าวว่าคุณหนูใหญ่อย่างข้าเป็นดาวกาลกิณี! [นิยายแปล]

ตอนที่ 22 ผู้มีสถานะสูงส่งถึงจะมีอำนาจเอ่ยวาจา

“องค์ชายแปดต้องถามให้แน่ชัดมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ลู่จือเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามหลินอี้หนานด้วยดวงตาวาวโรจน์ “นั่นเป็นเรื่องของตระกูลลู่เรา ข้าไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกล่วงรู้”


  “ข้าไม่เคยชอบบีบบังคับผู้ใด หากเจ้าไม่อยากบอก เช่นนั้นก็ไม่ต้องบอก”


  เสียงบุรุษซึ่งทุ้มต่ำและงามสง่าทำให้ลู่จือเหยาอดโล่งใจไม่ได้ แต่ถ้อยคำที่ตามมาของหลินอี้หนานทำนางต้องขมวดคิ้วอีกครา


  “ประตูอยู่ทางนั้น ไปเสียเถิด”


  หลินอี้หนานก้มศีรษะ แพขนตาดกหนาปิดบังดวงตาสีนิลลุ่มลึก หลินอี้หนานช้อนดวงตามองลู่จือเหยาพร้อมถามระคนหัวเราะ ราวกับสัมผัสถึงสายตาโกรธขึ้งของนางได้ “เจ้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด?”


  ความหมายโดยนัยของหลินอี้หนานก็คือนางอยู่ในพื้นที่ของเขา ไม่มีสิทธิ์เจรจาต่อรอง และยิ่งไม่มีสิทธิ์บอกให้เขาเชื่อฟังคำสั่งของนาง ความหวาดกลัวค่อย ๆ ผุดขึ้นภายในใจลู่จือเหยา หากไม่บอกตามความจริงก็ไม่อาจพาตัวเซี่ยหานจากไปได้เช่นนั้นหรือ


  “พวกนางสังหารท่านแม่ข้า ข้าต้องการแก้แค้น” ลู่จือเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากข้าไม่ลงมือก็ต้องถูกพวกนางทำร้ายจนตาย ข้าหมดหนทางแล้ว”


  “แก้แค้น?” หลินอี้หนานรู้สึกว่าสองคำนี้หลุดออกมาจากปากลู่จือเหยาช่างเป็นเรื่องน่าหัวร่อยิ่งนัก “แก้แค้นอย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเย่เหลียนหรงเป็นใคร?”


  ลู่จือเหยาไม่ได้เอ่ยชื่อเย่เหลียนหรงออกมาโดยตรง ถึงกระนั้นหลินอี้หนานกลับรู้ว่า “พวกนาง” ที่นางเอ่ยถึงนั้นเป็นใคร หรือเขาล่วงรู้อะไรบางอย่าง

  “โอรสสวรรค์กระทำความผิดมีโทษเท่าสามัญชน ข้าไม่สนใจว่าพวกนางเป็นใคร ข้ารู้เพียงว่านางสังหารท่านแม่ข้า”


  “ช่างเป็นโอรสสวรรค์กระทำความผิดมีโทษเท่าสามัญชนที่ดียิ่งนัก แต่เจ้าต้องรู้อีกว่าผู้มีสถานะสูงส่งถึงจะมีอำนาจเอ่ยวาจา ลำพังแค่เจ้าจะสู้ตระกูลเย่ได้หรือ?” หลินอี้หนานพลันลุกขึ้นและเดินเข้าหาลู่จือเหยา เขาทอดสายตามองตั๋วแลกเงินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะของนางพร้อมเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าตอนนั้นข้าขอน้อยเกินไปจริง ๆ”


  “องค์ชายแปดท่านมิอาจคืนคำนะ!” ลู่จือเหยาได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ร้อนใจ


  “เหตุใดข้าถึงคืนคำไม่ได้? ข้าจะคืนคำเสียอย่าง เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”


  ท่าทางร้อนใจของลู่จือเหยาทำให้หลินอี้หนานนึกสนุก “ทิ้งเงินไว้ ส่วนเจ้าก็จากไปได้ เซี่ยหานตัวโตขนาดนี้ อาศัยอยู่ในจวนของข้า คงไม่อาจไม่กินไม่ดื่มได้กระมัง เงินนี้ถือว่าให้ข้าช่วยเลี้ยงดูนางก็แล้วกัน เจ้าเห็นเป็นเช่นไร?”


  “ท่านพูดจากลับกลอก!” ลู่จือเหยาพลิกมือแล้วกระชากตั๋วแลกเงินปึกนั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว นางมอง หลินอี้หนานด้วยความระแวดระวัง กล่าวกับเขาด้วยความเดือดดาล “ท่านอย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านบุกรุกจวนอัครมหาเสนาบดียามวิกาล ที่แท้มีความลับใดกันแน่?”


  “ร้อนใจ? เลยคิดข่มขู่ข้า?” หลินอี้หนานถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีนึกว่านางเป็นคนฉลาด คิดไม่ถึงว่าจะหงายไพ่กับตนรวดเร็วถึงเพียงนี้ “หากเจ้าพานางกลับจวนอัครมหาเสนาบดีแล้วจะบอกบิดาเจ้าอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าบิดาเจ้าจะจำนางไม่ได้จริง ๆ? เซี่ยเจิ้นคุนเป็นขุนนางผู้มีโทษติดตัว ตระกูลเซี่ยสมควรจบชีวิตทั้งตระกูล แต่ตอนนี้เจ้ากลับต้องการให้คนนอกรู้ว่าเซี่ยหานยังมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องการช่วยนางจริงหรือว่าต้องการทำร้ายนางกันแน่?”


  “เช่นนั้นองค์ชายแปดเล่า? องค์ชายแปดเก็บนางไว้ต้องการช่วยนางหรือทำร้ายนางกันแน่?”

  “ข้าเก็บนางไว้ย่อมมีประโยชน์ หากไร้ประโยชน์แล้ว ไม่แน่วันใดอารมณ์ดีอาจมอบให้เจ้าเป็นของขวัญก็ได้”


  ถ้อยคำไม่เจ็บไม่คันของหลินอี้หนานทำให้ลู่จือเหยาโกรธจนกัดฟันกรอด พูดเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องการใช้เซี่ยหานล่อตนมาที่นี่ตั้งแต่แรก หลินอี้หนานผู้นี้คิดอ่านรอบคอบ ที่แท้ต้องการใช้เซี่ยหานทำสิ่งใด


  ตั้งแต่ต้นจนจบลู่จือเหยามิอาจคาดเดาความคิดของหลินอี้หนานได้แม้แต่น้อย ราวกับว่านางกำลังยืนอยู่บนปากเหวซึ่งเบื้องหน้าไร้หนทางให้นางก้าวเดินต่อไป เขาพูดถูก ผู้มีสถานะสูงส่งถึงจะมีอำนาจเอ่ยวาจา ต่อให้นางมีฝีปากดีอีกสักเพียงใด หากไร้อำนาจผลประโชน์และความสามารถก็เท่ากับเสียแรงเปล่าโดยสิ้นเชิง นางต้องการฆ่าเย่เหลียนหรงและหลินอี้เสียง หากคิดช่วยเซี่ยหานกลับไปก็ต้องมีสถานะที่สูงส่งกว่าคนพวกนี้ แต่นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ควรทำเช่นไรถึงจะบรรลุเป้าหมาย


  ลู่จือเหยาพยายามคิดหาหนทาง ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ไหวติง ส่วนหลินอี้หนานกลับยืนเป็นเพื่อนนางอย่างสบายอารมณ์เช่นกัน ครั้นเห็นลู่จือเหยามองตนหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงรอฟังคำตอบของนาง


  “องค์ชายแปดอยากให้ข้าทำสิ่งใดก็บอกมาตามตรงเถิด”


  “หมายความว่าอย่างไร?” หลินอี้หนานประหลาดใจที่ลู่จือเหยากล่าวเช่นนี้ เขามองลู่จือเหยาด้วยสีหน้างุนงง หารู้ไม่ว่าท่าทีซึ่งดูเหมือนไม่มีพิษภัยและเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ของเขานี้ กลับทำให้ลู่จือเหยาอกสั่นขวัญแขวน


  “เรื่องที่ข้าต้องการจะทำ หากปราศจากความช่วยเหลือจากองค์ชายแปดย่อมมิอาจทำสำเร็จ เมื่อครู่ท่านเตือนสติข้าแล้วมิใช่หรือ? ตระกูลเย่มีอำนาจล้นฟ้า หากข้าอยากแก้แค้นก็ต้องหาผู้ที่ยืนอยู่สูงกว่าคนพวกนั้นถึงจะได้ องค์ชายแปดต้องการเก็บเซี่ยหานไว้ หากข้าเดาไม่ผิด ท่านคงอยากรู้ความลับอะไรบางอย่างของตระกูลเซี่ย ประจวบเหมาะพอดี ข้ารู้เรื่องตระกูลเซี่ยตั้งมากมาย มิหนำซ้ำรับรองได้ว่าไม่น้อยกว่าเซี่ยหานแน่”


  “พูดจาใหญ่โตขนาดนี้เชียว? เจ้ารู้เรื่องตระกูลเซี่ยมากกว่าคนตระกูลเซี่ยเชียวหรือ?” หลินอี้หนานมิได้โต้แย้ง ยอมรับโดยปริยายว่าเขาจงใจพูดเช่นนั้น เมื่อเห็นลู่จือเหยาผงกศีรษะโดยปราศจากความลังเล หลินอี้หนานจึงยิ่งทวีความสนใจนาง


  “ถ้าองค์ชายแปดไม่เชื่อจะลองทดสอบดูได้ หากช่วยท่านได้ ข้าย่อมช่วยแน่นอน เพียงแต่ข้าใคร่เรียนถามองค์ชายแปดสักอย่าง ท่านกับองค์ชายเจ็ดรวมถึงรัชทายาทใช่พวกเดียวกันหรือไม่?”


  ลู่จือเหยามีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาฉายประกายเข่นฆ่าออกมาให้เห็นราง ๆ ประหนึ่งว่าหากหลินอี้หนานตอบว่า “ใช่” นางจะสังหารเขาในบัดดล แม้หลินอี้หนานยังมีข้อกังขาตั้งมากมาย แต่เขารู้เช่นกันว่าเรื่องบางอย่างมิอาจรีบร้อน มิหนำซ้ำขอเพียงเซี่ยหานผู้นั้นยังอยู่ในกำมือ ก็ไม่กลัวว่าลู่จือเหยาจะหลบลี้หนีหน้าไปที่ใด


  “ไม่ใช่” หลินอี้หนานมอบคำตอบที่ลู่จือเหยาต้องการ จากนั้นจึงพูดเสียงดังขึ้นอีกนิด กล่าวกับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ส่งนางกลับจวนอัครมหาเสนาบดี”


  “เรื่องเซี่ยหานต้องรบกวนองค์ชายแปดแล้ว” เรื่องมาถึงขั้นนี้ ลู่จือเหยารู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่าหากตนพูดมากไปกว่านี้ก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว ดังนั้นจึงหมุนกายแล้วเดินออกจากห้องไป สายลมเย็นสบายยามราตรีทำให้ลู่จือเหยาพลันสมองปลอดโปร่งไม่น้อย


  ผู้ที่ยืนรออยู่นอกประตูจวนมิใช่ใครอื่น คือหลานรั่วหลินนั่นเอง ลู่จือเหยาเดินกลับจวนอัครมหาเสนาบดีโดยมีนางคอยคุ้มกัน ทั้งสองต่างเงียบงันมิได้เปล่งวาจาตลอดเส้นทาง


  ลู่จือเหยาเคยพบหลานรั่วหลินผู้นี้ อีกทั้งยังเคยได้ยินชื่อของนางอยู่หลายครั้ง เนื่องจากหลานรั่วหลินมีฝีมือล้ำเลิศและเป็นผู้จับกุมนักโทษคดีอุกฉกรรจ์มามากมาย ดังนั้นสมัยก่อนเซี่ยเจิ้นคุนจึงคิดซื้อใจหลานรั่วหลินเพื่อดึงตัวเข้ากองทัพ ทว่าน่าเสียดายที่นางปฏิเสธ


  ลู่จือเหยาสงสัยมาตลอดว่าเป็นสตรีอยู่ดีไม่ว่าดีไม่ยอมทำสิ่งอื่น เหตุใดถึงชอบไปไล่จับคนพวกนั้นและทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นด้วย


  ลู่จือเหยาชะลอฝีเท้าเมื่อถึงจุดที่อยู่ไม่ไกลจากจวนอัครมหาเสนาบดีพร้อมผินหน้ามองหลานรั่วหลินลู่จือเหยายิ้มขออภัย กล่าวกับนางด้วยเสียงแผ่วเบา “รบกวนแม่นางหลานแล้ว ส่งเพียงเท่านี้เถิด ที่เหลือข้าเดินต่อเองได้”


  “ระวังตัวด้วย” หลานรั่วหลินไม่ปฏิเสธเช่นกัน นางผงกศีรษะพร้อมมองส่งลู่จือเหยาเดินจากไป ครั้นเห็น ลู่จือเหยาเดินเข้าประตูหลังของจวนอัครมหาเสนาดีอย่างระแวดระวังแล้ว ร่างหลานรั่วหลินก็ขยับวูบและติดตามเข้าไป


  หลานรั่วหลินมิได้ใช้เส้นทางเดียวกับลู่จือเหยา แต่แอบเข้าจวนโดยวิธีการที่รวดเร็วมากที่สุด ครั้นบรรลุถึงละแวกเรือนของลู่จือเหยาและเห็นนางเดินเข้าห้องกับตา หลานรั่วหลินจึงถือว่าทำหน้าที่ของตนลุล่วงและกลับไปด้วยความสบายใจ


  ดึกมากแล้ว เมื่อหลานรั่วหลินกลับถึงจวน ห้องของหลินอี้หนานก็ดับไฟมืดแล้วเช่นกัน นางกล้ำกลืนความกังขา คิดว่าต้องหาเวลาเพื่อไต่ถามหลินอี้หนานว่าที่แท้คิดจะทำเช่นไรต่อลู่จือเหยาผู้นั้นให้จงได้


  ลู่จือเหยากลับถึงห้องก็ถอดเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อพักผ่อน ทว่าขณะนางกำลังถอดเสื้อคลุมออกนั้นก็พบว่าตั๋วเงินที่นางชิงกลับมากลับหายโดยไร้ร่องรอยไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้!


  ลู่จือเหยาล้มตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ต้องคิดมาก ต้องเป็นการเล่นตุกติกของหลินอี้หนานผู้นั้นแน่! ต้องโทษนางที่ประมาทเลินเล่อไปชั่วขณะ ตอนนี้ดีเลย เงินที่หามาด้วยความยากลำบากสูญไปเสียแล้ว ถึงเวลาหากหลินอี้หนานคิดใช้ลูกไม้ ต้องการให้นางนำเงินไปอีก นางจะไปหาให้เจ้าได้จากที่ใด?!


  ลู่จือเหยากำหมัดด้วยความหงุดหงิด ลอบจดจำความแค้นนี้ไว้ จากนั้นจึงหลับไปด้วยความสะลึมสะลือ วันต่อมาอวี่เตี๋ยเข้ามาปลุกนางตั้งแต่เช้าตรู่


  ลู๋จือเหยาเลือกชุดที่ลู่หย่วนเจิงสั่งให้คนนำมาให้เมื่อวานออกมาจากตู้เสื้อผ้า นางนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางมองคนในคันฉ่องด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้สตรีผู้นั้นดูผอมซูบซีด แต่นับว่าดีกว่าตอนที่นางเพิ่งครอบครองสังขารนี้มากเหลือเกิน


  สาวใช้สองคนเดินเข้ามาเพื่อเตรียมประทินโฉมลู่จือเหยา ทว่าเมื่อเห็นท่วงท่าของพวกนางแล้ว ลู่จือเหยาก็ส่ายศีรษะเบา ๆ พูดกับพวกนางว่า “ช่างเถอะ ข้าทำเอง”


  แม้พวกนางมองลู่จือเหยาด้วยความแปลกใจ แต่นางก็ไม่ล้มเลิกความคิด ลู่จือเหยามองอวี่เตี๋ยด้วยสายตาเรียบเฉยคราหนึ่ง อวี่เตี๋ยจึงพาคนทั้งสองออกไปรออยู่ข้างนอกอย่างรู้ทัน นางไม่รู้ว่าลู่จือเหยาคิดทำสิ่งใด หรือพวกนางสองคนยังเชี่ยวชาญสู้ลู่จือเหยาไม่ได้


  กาลเวลาผันผ่าน สาวใช้สองคนที่ลู่หย่วนเจิงส่งมาแต่งตัวให้ลู่จือเหยาเริ่มอดรนทนไม่ไหว ต่างเริ่มกระซิบกระซาบบ่นลู่จือเหยา มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าวันนี้เป็นวันอะไร ลู่จือเหยากำลังจะเข้าวังนะ หากชักช้าเสียเวลา ความรับผิดชอบนี้จะตกอยู่กับผู้ใด


  ขณะที่พวกนางเริ่มเร่งให้อวี่เตี๋ยเข้าไปดูในห้องว่าลู่จือเหยากำลังทำอะไร ลู่จือเหยาพลันเปิดประตูและเดินออกมา


  ลู่จือเหยายืนอยู่ตรงประตู ปรายตามองคนทั้งสามอย่างแช่มช้า ขยับโอษฐ์สีชาด เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “สายแล้ว ไปกันเถิด”


  อวี่เตี๋ยกระพริบตา จ้องมองลู่จือเหยาไม่วางตาอย่างเสียกิริยาอยู่บ้าง


  ลู่จือเหยาสวมชุดสีฟ้าสดเรียบง่าย แขนเสื้อสีเงินยวง ปกเสื้อสีฟ้าน้ำทะเล สดชื่นทว่างามสง่า เรือนผมสีนิลปล่อยลงมาตามสบาย ผูกด้วยผ้าผืนยาวหลวม ๆ ยามสายลมเอื่อยพัดผ่าน เรือนผมงามพลิ้วไหวเล็กน้อย ผ้าผูกผมเริงระบำตามสายลม


  ลู่จือเหยาย่างไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อรู้สึกตัวว่าคนด้านหลังไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง จึงทำได้เพียงรั้งฝีเท้าและหันกลับมามอง รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า คิ้วคมเข้ม นัยน์สีดำขลับสุกใสประดุจธารน้ำ แววตานุ่มนวลและอ่อนโยน สงบนิ่งทว่างามสง่า นางไม่ถึงขั้นเพริดแพร้วพิลาสล่มเมือง ถึงกระนั้นเพียงมองเช่นนี้ กลับงดงามจนคนต้องตกตะลึง


  “อวี่เตี๋ย คิดอะไรอยู่น่ะ?” ลู่จือเหยาส่งเสียงเรียกชื่ออวี่เตี๋ย ทำให้นางเหยียดตัวตรงและสบตาลู่จือเหยาในบัดดล


  “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไปกันเถอะ” อวี่เตี๋ยยกยิ้ม เดินมาถึงข้างกายลู่จือเหยาพร้อมพูดติดตลก “แค่จู่ ๆ รู้สึกว่าดูเหมือนครั้งนี้ข้าจะติดตามเจ้านายถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”


รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว