ผู้ใดกล่าวว่าคุณหนูใหญ่อย่างข้าเป็นดาวกาลกิณี! [นิยายแปล]-ตอนที่ 18 ณ จวนองค์ชายแปด

โดย  Camellianovel

ผู้ใดกล่าวว่าคุณหนูใหญ่อย่างข้าเป็นดาวกาลกิณี! [นิยายแปล]

ตอนที่ 18 ณ จวนองค์ชายแปด

ลู่จือเหยายั่วโมโหลู่จือฉิงจนนางโกรธจนตัวสั่น ใคร่ลงไม้ลงมือต่อลู่จือเหยาอยู่หลายครา ทว่าลู่จือเหยาก็หลบพ้น


  “มัวยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ยังไม่รีบช่วยข้าตบนางอีก!” ลู่จือฉิงหันหน้ากลับไปตวาดเสียงดังลั่นใส่ เย่ว์ฉานอย่างเสียสติ


  “คะ คุณหนู” เย่ว์ฉานเห็นลู่จือฉิงบ้าคลั่งก็รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย “หากนายท่านกลับมาแล้วทราบว่าข้าเป็นผู้ลงมือ ต้องไม่ละเว้นข้าแน่เจ้าค่ะ...”


  “เศษสวะ!”


  เย่ว์ฉานไม่กล้าลงมือ ทำให้ลู่จือฉิงรู้สึกว่าตนเลี้ยงสุนัขเสียข้าวสุก ถึงกระนั้นใช่ว่าเย่ว์ฉานกังวลใจอย่างไร้เหตุผล คุณหนูรองทำร้ายคุณหนูใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรนายท่านไม่มีทางลงโทษคุณหนูรองจริง ๆ แต่หากบ่าวเช่นนางลงมือทำร้ายคุณหนูใหญ่ นั่นไม่ใช่เพียงการว่ากล่าวตักเตือนเพียงไม่กี่ประโยคธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน แม้เย่ว์ฉานไม่อยากยอมรับว่าลู่จือเหยาคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนอัครมหาเสนาบดีก็ตาม แต่ช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นนายท่านให้ความโปรดปรานนาง จึงทำให้นางจนใจเช่นกัน


ลู่จือฉิงไม่อาจทำร้ายลู่จือเหยา โทสะจึงเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายจึงวิ่งเข้าไปอาละวาดภายในห้องลู่จือเหยายกใหญ่ โยนข้าวของที่ลู่หย่วนเจิงเพิ่งจะมอบให้เหล่านั้นลงบนพื้น พฤติกรรมหาเรื่องโดยไร้เหตุผลของลู่จือฉิงกลับทำให้ลู่จือเหยาสงบเยือกเย็นมากขึ้น


  อวี่เตี๋ยยืนมองการแสดงละครฉากนี้อยู่บริเวณหัวมุมของเรือนอย่างเงียบเชียบ นางไม่เข้าใจว่า ลู่จือเหยายั่วโทสะลู่จือฉิงเช่นนี้ด้วยเหตุผลอันใด หากเพียงแค่ต้องการให้นายท่านลงโทษคุณหนูรอง วุ่นวายจนถึงขั้นนี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ


  หวั่นเย่ว์วิ่งไปถึงเรือนลู่หย่วนเจิง ถึงกระนั้นกลับมิได้พบเงาร่างของเขา ขณะกำลังปวดเซียรเวียนเกล้าอยู่นั้น หวั่นเย่ว์ก็เห็นบ่าวรับใช้ซึ่งคอยติดตามข้างกายลู่หย่วนเจิงเสมอมา จึงรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อขวางเขาไว้


  “นายท่านไปที่ใดแล้ว?” หวั่นเย่ว์เอ่ยถามด้วยอาการกระหืดกระหอบ


  “เจ้าเป็นใครน่ะ?” ชายผู้นั้นไม่รู้จักนาง มองหวั่นเย่ว์ด้วยความงุนงงสงสัย “หานายท่านมีธุระอันใด?”


  “จะถามมากมายเช่นนั้นไปเพื่ออะไร! รีบบอกมาเร็วเข้าว่านายท่านไปที่ใด!” หวั่นเย่ว์รู้ว่าตนไม่มีเวลาพูดจาไร้สาระกับเขานานมากนัก นางนึกถึงคำสั่งก่อนที่จะจากมาของลู่จือเหยาว่าต้องพานายท่านกลับไปให้จงได้ หวั่นเย่ว์จึงตวาดเสียงดังลั่นใส่ชายผู้นั้น “หากชักช้าเสียเวลาจนเกิดเรื่องถึงแก่ชีวิต เจ้ารับผิดชอบไหวเช่นนั้นหรือ!?”


  เกิดเรื่องถึงแก่ชีวิต?!


  เมื่อชายผู้นั้นเห็นสีหน้าร้อนรนของหวั่นเย่ว์และได้ฟังถ้อยคำของนางก็ตื่นตระหนกในบัดดล หลังจากใช้ความคิด ชายผู้นั้นจึงกล่าวด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย “นายท่านออกไปข้างนอกนานแล้ว คิดว่าน่าจะไปที่จวนองค์ชายแปด”


  “จวนองค์ชายแปด?” ครั้นหวั่นเย่ว์ได้ยินเขาตอบเช่นนี้ก็ตะลึงงัน เช่นนี้จะให้นางตามหาอย่างไร แต่เมื่อนึกถึงลู่จือเหยากับอวี่เตี๋ยซึ่งกำลังถูกลู่จือฉิงข่มเหงรังแกอยู่ตอนนี้ หวั่นเย่ว์หลับตาพร้อมปลุกปลอบความกล้า หมุนกายแล้ววิ่งออกไปทันที


  นางรู้จักจวนองค์ชายแปด หรือจะบอกว่าทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้จัก หวั่นเย่ว์สมองขาวโพลน วิ่งห้อตะบึงไปข้างหน้า ถึงกระนั้นกลับคิดไม่ออกว่าเมื่อวิ่งไปถึงแล้วควรพูดเช่นไรดี


  เสียงสายลมหวีดหวิวพัดผ่านข้างใบหู หวั่นเย่ว์วิ่งไปถึงที่หมายอย่างไม่คิดชีวิต นางหอบหายใจคำโตยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางทอดสายตามององครักษ์ซึ่งกำลังจ้องมองตนจากหน้าประตูที่ปิดสนิทบานนั้น หวั่นเย่ว์กลืนน้ำลาย จากนั้นจึงเดินเข้าไปแล้วถามว่า “ขอเรียนถามว่านายท่านของพวกเราอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”


  “นายท่านของพวกเจ้า?” องครักษ์ทั้งสองนายต่างมองหน้ากัน จากนั้นจึงมองหวั่นเย่ว์แล้วถามว่า “นายท่านของพวกเจ้าคือผู้ใด?”


  “อัครมหาเสนาบดี!!!” หวั่นเย่ว์ตะเบ็งเสียงดังลั่นใส่องครักษ์ทั้งสอง “นายท่านของพวกเราคืออัครมหาเสนาบดี!!! ท่านอยู่ที่นี่หรือไม่? เร็วเข้า เกิดเรื่องที่บ้านของพวกเราแล้วเจ้าค่ะ!”


  ครั้นคนทั้งสองได้ยินว่าหวั่นเย่ว์มาตามหาลู่หย่วนเจิง อีกทั้งยังกล่าวด้วยความร้อนรนว่าเกิดเรื่องที่จวน จึงรีบพาหวั่นเย่ว์เข้าไปในจวนและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ลู่หย่วนเจิงกำลังอยู่ ณ ขณะนี้


  ลู่หย่วนเจิงเพิ่งมาถึงได้สักครู่ เขาวนอยู่ภายในจวนเป็นเวลานาน สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะมาที่จวนองค์ชายแปดสักครา มิใช่เพื่ออื่นใด แต่เพื่อหลานรั่วหลินซึ่งอยู่ที่จวนแห่งนี้เท่านั้น


  หลานรั่วหลินเป็นมือปราบผู้เลื่องชื่อ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้รับผิดชอบการจับกุมมหาโจรเด็ดบุปผาฉู่จื่อเชียน เดิมทีลู่หย่วนเจิงไปหานางที่กรมอาญาก็ได้ ทว่าน่าเสียดายที่เผอิญว่าหลานรั่วหลินกำลังลาป่วยอยู่พอดี ลู่หย่วนเจิงจึงทำได้เพียงจำใจมาที่จวนองค์ชายแปดแห่งนี้


  ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลานรั่วหลินเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชายแปด ยามปกติหากมิได้อยู่ที่กรมอาญาก็ต้องอยู่ที่นี่ อีกทั้งต่างรู้ดีว่าองค์ชายแปดเป็นหนามทิ่มแทงนัยน์ตาของรัชทายาท เนื่องจากเป็นผู้ที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดรองจากรัชทายาทนั่นเอง ดังนั้นลู่หย่วนเจิงจึงต้องตัดสินใจอย่างหนักที่จะมาในช่วงเวลาเช่นนี้


  ลือกันว่ามหาโจรเด็ดบุปผาฉู่จื่อเชียนผู้นั้นชื่นชอบการลักสวาทสตรีที่ออกเรือนหรือหมั้นหมายแล้วโดยเฉพาะ ขณะนี้ลู่จือเหยากำลังจะเข้าวังเพื่อรับการคัดเลือกเป็นพระชายารัชทายาท ลู่หย่วนเจิงไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายในช่วงเวลาเช่นนี้ มิเช่นนั้นต่อให้เขามีศีรษะมากเพียงใดก็ไม่เพียงพอที่จะให้หลุดออกจากบ่าแล้วจริง ๆ


  การมาเยือนของลู่หย่วนเจิงนอกจากทำให้หลานรั่วหลินคาดไม่ถึงแล้ว ยังทำให้หลินอี้หนานประหลาดใจเช่นกัน หลินอี้หนานทอดสายตามองลู่หย่วนเจิงซึ่งกำลงเดินก้มหน้าเดินเข้าหาตน เขาส่งสายตาให้หลานรั่วหลินโดยปราศจากพิรุธ จากนั้นจึงถามขึ้นมาว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีนึกเช่นไรถึงมาที่จวนของข้า? มีธุระอย่างนั้นหรือ?”


  “เรียนองค์ชายแปด ข้ามีเรื่องต้องการพบแม่นางหลาน”


  “พบข้า?” หลานรั่วหลินนิ่งอึ้ง เอ่ยถามด้วยความกังขา “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”


  ลู่หย่วนเจิงได้ยินหลานรั่วหลินเอ่ยถามเช่นนี้ก็ทำได้เพียงลอบทอดถอนใจ พยายามคิดวิธีสอบถามข้อมูลของฉู่จื่อเชียนผู้นั้น “แม่นางหลาน ข้าได้ยินว่าคดีของฉู่จื่อเชียนมาอยู่ในมือเจ้าแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นแม่นางหลานพอรู้เบาะแสช่วงที่ผ่านมาของเจ้าโจรชั่วผู้นี้บ้างหรือไม่? มันมาถึงเมืองหลวงแล้วหรือยัง?”


  เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เอ่ยถามถึงโจรบุปผาในยุทธภพเพื่ออะไร


  หลานรั่วหลินมองลู่หย่วนเจิงด้วยความสงสัยใคร่รู้ แต่มิได้เลี่ยงคำถามเขาเช่นกัน นางผงกศีรษะพร้อมตอบว่า “ถูกต้อง คดีนี้มาอยู่ในมือข้าแล้วจริง ๆ มีข่าวลือแพร่มาว่าช่วงนี้ฉู่จื่อเชียนมาที่เมืองหลวง เพียงแต่ท่านอัครมหาเสนาบดีทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร? มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ถึงจะถูก”


  วาจาของหลานรั่วหลินทำให้ลู่หย่วนเจิงเกิดเพลิงโทสะคุโชนในบัดดล เดิมทีเขานึกว่าเย่เหลียนหรงอาจถูกใส่ความจริงหรือไม่ ทว่าบัดนี้...ลู่หย่วนเจิงยิ้มให้หลานรั่วหลินด้วยความกระอักกระอ่วนใจ กล่าวอธิบายว่า “ไม่มีอะไร แค่เคยได้ยินขุนนางท่านอื่น ๆ เอ่ยถึงคนผู้นี้จึงใคร่เรียนถามแม่นางหลานสักคำ อย่างไรเสียที่บ้านข้าก็มีบุตรีอยู่สองคน ข้า...”


  ลู่หย่วนเจิงพูดจาอ้ำอึ้ง ทำให้หลานรั่วหลินเข้าใจเจตนาของเขา “ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าจะพยายามทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อจับกุมเจ้าโจรชั่วผู้นี้อย่างสุดความสามารถ หากท่านห่วงคุณหนูทั้งสองที่จวน หลายวันนี้ข้าจะส่งคนจำนวนหนึ่งไปเดินลาดตระเวนละแวกจวนอัครมหาเสนาบดี เพียงแต่เมื่อดูจากพฤติกรรมของเจ้าฉู่จื่อเชียนผู้นั้น มันไม่น่าลงมือกับสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน”


  “เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางหลานแล้ว”


  ระหว่างที่ลู่หย่วนเจิงกับหลานรั่วหลินสนทนากันนั้น หลินอี้หนานฟังด้วยความตั้งใจอยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่เชื่อคำแก้ตัวลู่หย่วนเจิงแม้แต่น้อย มีขุนนางใหญ่คนใดบ้างที่อยู่ดีไม่ว่าดี จู่ ๆ มาเอ่ยถึงฉู่จื่อเชียนกับเขากันเล่า ต่อให้เขาเป็นห่วงบุตรีทั้งสองของครอบครัวจริง ก็ไม่สมควรเลือกมาหาตนในเวลานี้ หลานรั่วหลินพักผ่อนเพียงไม่กี่วันก็จะกลับไปทำงานที่กรมอาญา ลู่หย่วนเจิงรออีกสักหน่อยและไปหานางที่กรมอาญาเลยก็ได้มิใช่หรือ หลินอี้เสียงเพิ่งไปพบลู่หย่วนเจิง เรื่องนี้หาใช่ความลับไม่ ทว่าบัดนี้ลู่หย่วนเจิงกลับมาที่จวนของตน ไม่รู้ว่าหากหลินอี้เสียงและหลินอี้เฉินล่วงรู้จะคิดเช่นไร


  ลู่หย่วนเจิงสนทนากระซิบกระซาบกับหลานรั่วหลิน ขณะที่กำลังคิดว่าจะหาเหตุผลไปจากที่นี่อย่างไรดี จู่ ๆ ก็มีคนขัดการสนทนาของพวกเขา


  “นายท่าน สตรีผู้นี้แจ้งว่ามีธุระต้องการพบท่านอัครมหาเสนาบดีขอรับ”


  ครั้นทุกคนมองไปตามเสียงก็มองเห็นองครักษ์ผู้นั้นรวมถึงหวั่นเย่ว์ซึ่งมีเหงื่อท่วมศีรษะทางด้านข้างหวั่นเย่ว์ดวงตาเป็นประกายทันทีที่เห็นลู่หย่วนเจิง ทว่าต่อมาก็รู้สึกท้อใจเล็กน้อย นางเสียเวลาไปมากมายถึงเพียงนี้ คุณหนูรองคงอาละวาดเสร็จนานแล้วกระมัง?!


  “เจ้ามาทำอะไร?” ลู่หย่วนเจิงย่นหัวคิ้วพร้อมลุกขึ้น เขามองหวั่นเย่ว์ เอ่ยถามนางว่า “มีเรื่องอะไร?”


  “นายท่านแย่แล้วเจ้าค่ะ เกิดเรื่องกับคุณหนู ท่านรีบตามข้ากลับไปดูเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หวั่นเย่ว์ขาดสติ กล่าวกับลู่หย่วนเจิงโดยมิได้ขบคิด “ยากเย็นนักกว่าข้าจะตามหาท่านพบ หากช้าเกินไปจะไม่ทันการนะเจ้าคะ!”


  ลู่หย่วนเจิงได้ยินคำพูดของหวั่นเย่ว์ก็ใจหายวาบ เดินสองก้าวเข้าหาหวั่นเย่ว์พร้อมกระซิบถามนางว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องกับจือเหยาอย่างนั้นหรือ?”


  “เจ้าค่ะ! เกิดเรื่องแล้ว!” หวั่นเย่ว์ผงกศีรษะอย่างหนักหน่วง ทำให้ลู่หย่วนเจิงทวีความกังวลมากขึ้น เขาผินหน้ากลับไปมองหลานรั่วหลินกับหลินอี้หนานพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “องค์ชายแปด เกิด เกิดเรื่องที่บ้านของข้า คงต้องขอตัวก่อน วันหน้าค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่ขอรับ”


  หลินอี้หนานมองลู่หย่วนเจิงอย่างครุ่นคิด เมื่อเขาเดินไปได้เพียงสองก้าว หลินอี้หนานพลันเอ่ยปากเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน” เมื่อเผชิญสายตาฉงนสนเท่ห์ของของลู่หย่วนเจิง หลินอี้หนานจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ข้าไปกับท่านด้วย ข้ามีธุระต้องการพบบุตรีของท่านอยู่พอดี”


  “มี มีธุระพบบุตรีของข้า?” ลู่หย่วนเจิงสูดลมหายใจ ไม่เข้าใจว่าหลินอี้หนานหมายความเช่นไร ทำได้เพียงถามกลับไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น


  “ถูกต้อง พบบุตรีคนโตของท่าน” หลินอี้หนานมอบคำตอบที่ชัดเจนแก่ลู่หย่วนเจิง จากนั้นจึงย่างก้าวไปข้างหน้า “มัวอึ้งอะไรอยู่อีก? บอกว่าหากช้าเกินไปจะไม่ทันการมิใช่หรือ?”


  ลู่จือเหยายั่วโทสะจนลู่จือฉิงเดือดดาลเป็นล้นพ้น ทั้งโวยวายและด่าทออยู่ภายในเรือนของนาง มีหลายครั้งที่จะลงมือตบตีลู่จือเหยา แต่นางก็หลบพ้นทั้งสิ้น เมื่อเย่ว์ฉานคิดเกลี้ยกล่อมให้ลู่จือฉิงจากไป ลู่จือเหยาก็จงใจพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ลู่จือฉิงโมโหจนความคิดสับสน อยากจะแล่เนื้อเถือหนังกลืนกินนางทั้งเป็น เหตุการณ์เกิดเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลู่จือฉิงขว้างปาทุกสิ่งที่ขว้างปาได้ ถึงกระนั้นก็มิอาจทำร้ายลู่จือเหยาได้แม้แต่ครั้งเดียว


  ลู่จือเหยาเห็นว่าเวลาล่วงเลยนานมากแล้ว จึงมิได้ฝากความหวังไว้กับหวั่นเย่ว์อีกต่อไป บ่าวไพร่ซึ่งแล่นมาชมดูความสนุกสนานภายนอกเรือนเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ลู่จือฉิงหาเรื่องโดยไร้เหตุผลอีกสักเพียงใด ก็ควรรู้ว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องหยุดมือแล้ว


  ลู่จือเหยาหลุบเปลือกตา ส่ายหน้าด้วยความจนใจและเดินเข้าหาลู่จือฉิง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยุติ อาละวาดใหญ่โตถึงเพียงนี้ แต่นางไม่โดนทำร้ายแม้แต่น้อย ไม่ว่าอย่างไรผู้อื่นย่อมประหลาดใจ น่าเสียดายที่ต้องกระทำผิดต่อใบหน้านี้ของตน คงต้องถูกตบอีกคราเสียแล้ว


  ครั้นอวี่เตี๋ยเห็นลู่จือเหยาเป็นฝ่ายเดินเข้าหาลู่จือฉิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาพลันกระจ่างวูบ รีบเดินตามนางไปทันที


  “น้องหญิง แค่พอสมควรก็พอแล้ว” ลู่จือเหยายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าลู่จือฉิง “ทำลายข้าวของมากมายเช่นนี้ ยังไม่คลายโทสะอีกหรือ?”


  “หึ!” ลู่จือฉิงแค่นเสียเย็นชาคราหนึ่ง นางอาละวาดจนเหนื่อยแล้วเช่นกัน ลงมือตั้งหลายครั้งแต่มิอาจกระทบถูกร่างลู่จือเหยาได้เลย ทำให้นางคร้านที่จะลงมืออีกต่อไป “เย่ว์ฉาน พวกเราไปกันเถอะ”


  “อย่าสิ น้องหญิง หากเจ้ายังไม่คลายโทสะก็ตบข้าสักสองทีก็ได้ หากส่งผลต่ออาการป่วยของเจ้าจริง พี่ย่อมรู้สึกผิดเช่นกัน”


  “เจ้านึกว่าข้าไม่กล้าเช่นนั้นหรือ?” ลู่จือฉิงปฏิบัติตามถ้อยคำของลู่จือเหยา หมุนกายกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าลู่จือเหยา คิดไม่ถึงว่าคราวนี้ลู่จือเหยากลับไม่หลบหลีก ปล่อยให้นางตบอย่างว่าง่ายเช่นนั้น

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว