“ยากันยุง?” หวั่นเย่ว์กระพริบตา ไม่เข้าใจว่าลู่จือเหยาหมายความเช่นไร “ท่านคงไม่คิดอดตาหลับขับตานอนซักผ้าให้นางตลอดคืนหรอกนะ? นางสั่งให้ท่านต้องซักเสร็จก่อนพรุ่งนี้เช้าหรือเจ้าคะ?”
“เปล่า” ลู่จือเหยาส่ายศีรษะ พูดสิ่งที่ทำให้หวั่นเย่ว์ขบคิดไม่เข้าใจ “เจ้าแค่นำมาให้ข้าก็พอ ส่วนเรื่องอื่น วันหลังข้าจะบอกเจ้าเอง”
ขณะที่ลู่จือเหยากำลังเอื้อนเอ่ยวาจา ความมั่นใจซึ่งทำให้หวั่นเย่ว์มิอาจปฏิเสธได้อย่างหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากกายนาง หวั่นเย่ว์ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ผงกศีรษะรับปากคำขอของลู่จือเหยา
หลังจากหวั่นเย่ว์นำยากันยุงมาให้จำนวนหนึ่ง ลู่จือเหยาจึงสั่งให้นางกลับไป หลังจากสาละวนอยู่ภายในห้องเป็นเวลานาน ในที่สุดลู่จือเหยาก็เดินออกมาอย่างแช่มช้า โปรยสิ่งที่อยู่ในมือลงไปในอ่างที่แช่ชุดเหล่านั้น รุ่งเช้าวันต่อมา ลู่จือเหยากินอิ่มนอนหลับ เมื่อแขวนชุดที่ซักเสร็จแล้วจนเต็มลานเรือนก็มองชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตนอย่างอารมณ์ดี
ลู่จือเหยาควรคิดได้ตั้งแต่แรกว่าตราบใดที่นางยังไม่ตาย ใครบางคนภายในจวนอัครมหาเสนาบดีแห่งนี้ไม่มีวันปล่อยให้นางอยู่ดีมีสุขแน่ จริงดังคาด ครั้นนางซักเสื้อผ้าเสร็จและพักผ่อนได้ไม่ทันไร ลู่จือฉิงก็พาคนเดินส่ายอาด ๆ เข้ามาแล้ว
“อุ๊ยตาย ซักเร็วเหมือนกันนี่นา” ลู่จือฉิงมองลู่จือเหยาพลางหัวเราะเย้ยหยัน “ได้ คราวหน้าไปที่เรือนของข้าอีก นำชุดของเย่ว์ฉานกลับมาซักด้วย”
“คุณหนู จะทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ? เย่ว์ฉานมิอาจรับไหว” เย่ว์ฉานปฏิเสธข้อเสนอของลู่จือฉิงด้วยท่าทีเสแสร้ง “บ่าวจะกล้าให้พี่สาวของคุณหนูซักเสื้อผ้าให้บ่าวได้อย่างไร?”
“พี่สาวข้า?” ลู่จือฉิงแค่นเสียง ผินหน้ากล่าวกับเย่ว์ฉานว่า “อย่าล้อเล่นสิ นางใช่บุตรีของท่านพ่อข้าหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ข้ามิกล้ารับพี่สาวคนนี้โดยง่ายหรอกนะ”
สองนายบ่าวคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ วัตถุประสงค์เพียงเพราะถ้อยคำที่ลู่จือเหยากล่าวกับเย่ว์ฉานเมื่อวาน ลู่จือเหยามองลู่จือฉิงซึ่งระบายโทสะเพื่อสาวใช้ด้วยความโอหังอวดดี นางน้อมรับอย่างเงียบ ๆ โดยมิได้เอื้อนเอ่ยอันใด ทำให้ลู่จือฉิงได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“วันดี ๆ เช่นนี้ หากไม่ออกไปเดินเล่นคงเสียเปล่าแล้วจริง ๆ เย่ว์ฉาน พวกเราไปกันเถอะ หากแปดเปื้อนไออัปมงคลในห้องนี้มากเกินไป ข้าจะไม่สบาย”
“คุณหนูกล่าวถูกต้อง ลองดมกลิ่นอับในห้องนี้สิเจ้าคะ รับไม่ได้จริง ๆ” เย่ว์ฉานประคองลู่จือฉิงเดินออกนอกประตู ทว่าลู่จือฉิงกลับรั้งฝีเท้าทันทีที่ออกจากห้อง
ลู่จือฉิงมองลู่จือเหยาด้วย “ความหวังดี” พลางกล่าวด้วยเสียงหยาดเยิ้ม “เจ้าไม่ได้เดินภายในจวนนานมากแล้วสินะ? ต้องให้ข้าพาเจ้าเดินเล่นให้ทั่วหรือไม่?”
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณน้องหญิงแล้ว” ลู่จือเหยารู้ดีว่าลู่จือฉิงเชิญชวนเช่นนี้ย่อมไม่มีเรื่องดีแน่ แต่นางยังคงตกปากรับคำโดยปราศจากความลังเล เนื่องจากการเดินวนรอบจวนอัครมหาเสนาบดียามกลางวันคือความต้องการของนางเช่นกัน
ลู่จือฉิงกับเย่ว์ฉานเดินอยู่ข้างหน้า ลู่จือเหยาเดินตามหลังคนทั้งสองตามลำพัง ผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวอาจคิดว่าลู่จือฉิงกับเย่ว์ฉานเป็นนาย ส่วนลู่จือเหยาคือสาวใช้ของนางสองคน เนื่องจากแม้แต่ชุดที่อยู่บนกายเย่ว์ฉานยังดีกว่าที่ลู่จือเหยาสวมใส่อยู่บนร่างเล็กน้อย
คนทั้งสองทางด้านหน้าต่างพูดคุยหยอกเย้า บางครั้งยังเหน็บแนมลู่จือเหยาทางด้านหลัง กระทั่งมีคนปรากฏตรงเบื้องหน้า ลู่จือฉิงจึงหยุดเดิน
ลู่จือฉิงยืนลำตัวเหยียดตรง จ้องมองผู้ที่เดินเข้ามาอย่างแช่มช้าด้วยสีหน้าประหม่าเล็กน้อย ส่วนลู่จือเหยาทางด้านหลังก็มองคนผู้นั้นไม่วางตาเช่นกัน เพียงแต่ความรู้สึกของคนทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง
ลู่จือเหยาคิดไม่ถึงว่าตนจะมีโอกาสพบหลินอี้เสียงถึงสองคราภายในช่วงระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน ลู่จือเหยาเคยแอบฟังเซี่ยเจิ้นคุนกับเซี่ยเทียนสนทนาถึงหลินอี้เสียง หลินอี้เสียงอยู่ฝ่ายสนับสนุนรัชทายาท ส่วนตระกูลเซี่ยของพวกนางเคยเป็นขุนนางคนสนิทและฝ่ายสนับสนุนรัชทายาทเช่นกัน ดังนั้นขณะนั้นลู่จือเหยาจึงไม่เข้าใจว่าตระกูลของพวกนางกับหลินอี้เสียงต่างมอบกายถวายชีวิตให้เจ้านายคนเดียวกัน แต่ไฉนท่านพ่อกลับคัดค้านมิให้นางครองคู่กับหลินอี้เสียงมาตลอด คิดว่าท่านพ่อคงมองหลินอี้เสียงผู้นี้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงกังวลชีวิตภายภาคหน้าของนาง
แม้ว่าอัครมหาเสนาบดีลู่หย่วนเจิงจะดำรงตำแหน่งสูงส่งในราชสำนัก แต่ไม่เคยได้ยินว่าไปมาหาสู่รัชทายาท บัดนี้หลินอี้เสียงผู้นี้มาเยือนจวนอัครมหาเสนาบดีครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าต้องการดึงลู่หย่วนเจิงมาเป็นพวก ตระกูลเซี่ยล่มสลายไปแล้ว ขณะนี้รัชทายาทต้องการผู้ช่วยอื่นเพื่อสร้างความมั่นคงแก่ตำแหน่งรัชทายาทของตน และอัครมหาเสนาบดีผู้นี้คือตัวเลือกที่ดีที่สุดโดยปราศจากข้อยกเว้น
ลู่หย่วนเจิงฟังหลินอี้เสียงเอ่ยวาจาด้วยสีหน้าหนักอึ้ง ครั้นเห็นลู่จือเหยากับลู่จือฉิงก็อดนิ่งอึ้งไม่ได้ เนื่องจากหาได้ยากนักที่บุตรีทั้งสองจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องออกมาเดินเล่น
“ท่านพ่อ!” ลู่จือฉิงเผยรอยยิ้มหวาดหยาดเยิ้ม เปล่งเสียงเรียกลู่หย่วนเจิงด้วยท่าทีน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าสายตานั้นกลับมองหลินอี้เสียงที่อยู่ข้างกายลู่หย่วนเจิงเป็นระยะ
หลินอี้เสียงรูปร่างหน้าตาสง่างาม ทว่านิสัยใจคอกลับเย็นชาประดุจน้ำค้างแข็ง ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ยังมิได้ออกเรือนส่วนใหญ่ภายในเมืองหลวงลอบมอบดวงใจให้ ทว่าจนใจที่เขาปักใจเพียงเซี่ยเหยาแห่งตระกูลเซี่ยเท่านั้น สุดท้ายจึงสู่ขอเซี่ยเหยาเป็นภรรยา บัดนี้ตระกูลเซี่ยถูกกวาดล้าง แต่กลับดูเหมือนว่าหลินอี้เสียงจะลอบปล่อยตัวเซี่ยเหยาผู้นั้นไป ความจริงใจที่หลินอี้เสียงมีต่อเซี่ยเหยาทำให้หลายคนเกิดจิตริษยา แน่นอนว่ารวมถึงลู่จือฉิง
“ทั้งสองคือบุตรีของท่านอัครมหาเสนาบดีเช่นนั้นหรือ?” หลินอี้เสียงย่อมมองเห็นแววตาอันร้อนแรงของลู่จือฉิง ถึงกระนั้นสายตาอันเย็นชาของลู่จือเหยาก็ทำให้หลินอี้เสียงเพ่งความสนใจเป็นล้นพ้นเช่นกัน “ผู้ที่อยู่ทางด้านหลังนั้นคือใคร?”
“นางคือบุตรีของข้าขอรับ” ลู่หย่วนเจิงตอบอย่างไม่เต็มใจ
“อ้อ? นางคือลู่จือเหยาเช่นนั้นหรือ?” หลินอี้เสียงประหลาดใจยิ่งนัก เนื่องจากเขาเคยได้ยินชื่อลู่จือ เหยา เห็นทีสตรีผู้นี้คงมีสติไม่สมประกอบอยู่บ้างจริง ๆ มิเช่นนั้นจะมองตนเองอย่างอุกอาจตั้งแต่แรกพบเช่นนี้ได้อย่างไร
ครั้นลู่จือเหยาได้ยินหลินอี้เสียงเปล่งวาจาก็อยากจะพุ่งเข้าหาเพื่อฉีกกระชากหน้ากากจอมปลอมที่อยู่บนใบหน้า จากนั้นก็ลงมือสังหารเพื่อแก้แค้นให้บุพการีที่อยู่ในปรโลกยิ่งนัก! อย่างไรก็ตามนางปราศจากความมั่นใจว่าหากลงมือตอนนี้จะมีชัยเหนือหลินอี้เสียงได้หรือไม่
คืนวันอภิเษกสมรส ลู่จือเหยาเห็นหลินอี้เสียงลงมือเป็นครั้งแรก ถึงแม้นางดื่มสุราจนพละกำลังถดถอย แต่นั่นมิอาจทำให้นางกล้าเพิกเฉยต่อวรยุทธ์ของหลินอี้เสียงโดยง่ายได้อยู่ดี
หลินอี้เสียงกับลู่หย่วนเจิงรั้งอยู่ไม่นานก็จากไป สายตาของลู่จือฉิงตรึงอยู่บนแผ่นหลังหลินอี้เสียงโดยตลอด เมื่อแผ่นหลังพ้นจากครรลองจักษุแล้วถึงรั้งสายตากลับคืนมา ลืมเลือนแม้กระทั่งลู่จือเหยา นางลากตัวเย่ว์ฉานพลางวิ่งมุ่งหน้าไปยังเรือนปีกข้างของเย่เหลียนหรงด้วยความตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ?” เย่เหลียนหรงมองลู่จือฉิงซึ่งกำลังส่งเสียงหอบฟืดฟาด วางกำไลหยกซึ่งตนกำลังเลือกอยู่ในมือพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องเรียนถามท่านเจ้าค่ะ!” ลู่จือฉิงสั่งให้สาวใช้ภายในห้องออกไป เมื่อปิดประตูแล้วจึงกระซิบถามว่า “เมื่อครู่ข้าพบองค์ชายเจ็ดอีกแล้ว เขามาที่จวนเราเพราะเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
ความคิดของลูกสาวตนจะรอดพ้นสายตาเย่เหลียนหรงได้อย่างไร เย่เหลียนหรงเปล่งเสียงหัวเราะเบา ๆ พร้อมกล่าวทำร้ายจิตใจลู่จือฉิง “ไม่ได้มาเพราะเจ้า เจ้าจงตายใจเสียเถอะ”
“ท่านแม่!” ลู่จือฉิงออดอ้อนพลางแกว่งแขนเย่เหลียนหรง “ลูกกำลังคุยเรื่องสำคัญกับท่านอยู่นะเจ้าคะ!”
“องค์ชายเจ็ดมาหาท่านพ่อของเจ้าย่อมมีเรื่องที่พวกเขาต้องสนทนา แม่มิได้ล่วงรู้มากนัก เพียงแต่ได้ยินว่าดูเหมือนรัชทายาทประสงค์จะดึงท่านพ่อของเจ้าสนับสนุนเขา” เย่เหลียนหรงพูดไปพูดมาก็เผยสีหน้าวิตกกังวล มองลู่จือฉิงด้วยความฉงนสนเท่ห์เป็นล้นพ้น
“รัชทายาทมาหาท่านพ่อ นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ! ภายหน้ารัชทายาทก็คือฮ่องเต้ หากท่านพ่อตกลง เช่นนั้นต่อไปย่อมมีตำแหน่งสูงยิ่งกว่านี้แน่!”
“เด็กคนนี้นี่ เรื่องง่ายดายเช่นเจ้าคิดเยี่ยงนั้นที่ใดกันเล่า?” เย่เหลียนหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ “ยามนี้รัชทายาทรีบร้อนต้องการซื้อใจผู้คน แสดงว่าย่อมมีเหตุผลของเขาเช่นกัน เจ้าต้องรู้ว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลายคนไม่เคยมองรัชทายาทในแง่ดี ขุนนางเฒ่าพวกนั้นเคยพยายามสนับสนุนให้แต่งตั้งองค์ชายแปดขึ้นเป็นรัชทายาท แม้ฝ่าบาททรงคัดค้าน ทว่าชื่อเสียงขององค์ชายแปดก็ยังสูงมากอยู่ดี”
“องค์ชายแปด?” ลู่จือฉิงครุ่นคิด รู้สึกกังขาอยู่บ้าง “องค์ชายแปดไม่ใช่พระอนุชาขององค์ชายเจ็ดหรือเจ้าคะ? หลินอี้หนานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันกับองค์ชายเจ็ดแท้ ๆ เหตุใดถึงไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน? คนป่วยกระเสาะกระแสะขี้โรคเช่นเขาจะทำสิ่งใดได้? บางทีอาจตายสักวันหนึ่งก็ได้! ช่างไม่รู้จักพอ!”
“เรื่องพวกนี้หาใช่เรื่องที่สตรีเช่นพวกเราวิพากษ์วิจารณ์ได้” เย่เหลียนหรงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ชี้กำไลต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ “ดูสิ ของพวกนี้แม่เพิ่งฝากให้ผู้อื่นซื้อกลับมาจากเมืองอื่น มีวงที่เจ้าถูกใจบ้างหรือไม่?”
“ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้” ลู่จือฉิงแสดงอาการผิดวิสัย ไม่เหลือบแลข้าวของเหล่านั้นแม้แต่น้อย หากเป็นยามปกติ ต่อให้เย่เหลียนหรงไม่เอื้อนเอ่ย เกรงว่านางคงหอบไปหมดเกลี้ยงแล้ว “ท่านแม่ ท่านลองเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อรับปากรัชทายาทได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“เพราะเหตุใด?”
“ข้า...แหม ท่านยังไม่ทราบความคิดของลูกอีกหรือเจ้าคะ?! เซี่ยเหยาผู้นั้นไม่รู้หายหัวไปที่ใดนานแล้ว!” ลู่จือฉิงขยี้เท้า กล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยว “ลูกจะไม่แต่งงานกับผู้ใดนอกจากองค์ชายเจ็ด! ข้าไม่สน ท่านแม่ ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ! มิเช่นนั้นข้าจะไปของให้ท่านลุงช่วยแทน!”
“ไร้ยางอาย!” เย่เหลียนหรงกดเสียงต่ำตำหนิสั่งสอนลู่จือฉิง “หากเจ้ากล้าพูดเรื่องนี้กับท่านลุง ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร!”
“ท่านไม่ช่วยข้า หรือว่าจะไม่ให้ข้าคิดหาวิธีการอื่นหรือเจ้าคะ? ท่านแม่ รัชทายาทขึ้นครองราชย์ องค์ชายเจ็ดย่อมขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้มีบารมีสูงส่ง ถึงเวลาลูกได้เป็นพระชายาอ๋อง นั่นมิเท่ากับว่าได้เสพสุขอยู่ดีกินดีไปทั้งชาติหรือเจ้าคะ? ท่านแม่ ท่านช่วยลูกสักหน่อยได้หรือไม่? นี่คือเรื่องใหญ่ในชีวิตของลูก หรือว่าท่านหักใจทนดูลูกออกเรือนกับลูกผู้ลากมากดีจอมเสเพลดาษ ๆ พวกนั้นหรือเจ้าคะ?”
ลู่จือฉิงเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง ทำให้เย่เหลียนหรงลำบากใจเป็นล้นพ้น นางไม่ควรถามไถ่เรื่องภายในราชสำนัก แต่ความสุขชั่วชีวิตของบุตรีนับเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ คนตระกูลเซี่ยจบชีวิตจนหมดสิ้นไปนานนมแล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าเซี่ยเหยาไปอยู่แห่งหนตำบลใด ส่วนองค์ชายเจ็ดก็ถึงวัยตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรแล้วเช่นกัน ดังนั้นต้องมีผู้อยู่เคียงข้างกายถึงจะถูก หากยกบุตรีตนให้ออกเรือนกับองค์ชายเจ็ดได้จริง เช่นนั้นจะเป็นดั่งที่ฉิงเอ๋อร์กล่าว ภายหน้าจวนอัครมหาเสนาบดีของพวกนางจะต่างจากยามนี้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ข้าจะลองคุยกับท่านพ่อเจ้าภายหลัง แต่เจ้าอย่าตั้งความหวังมากเกินไปนัก เจ้าก็รู้ว่าท่านพ่อของเจ้าวางตัวเป็นกลางมาตลอด ไม่ช่วยผู้ใดทั้งสิ้น หากคิดให้เขายืนฝ่ายเดียวกับรัชทายาทมิใช่เรื่องง่าย”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว