แค่บอกลากันง่ายๆ ทำไมยาก-5.อับจนหนหาง (3)

โดย  รสิตา เพียงพิณ

แค่บอกลากันง่ายๆ ทำไมยาก

5.อับจนหนหาง (3)

บทที่ 57

วีรบุรุษมากมาย พายุโหม


แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่


ประตูภูเขาโอฬารกว้างใหญ่ หอคอยที่แกะสลักอย่างงดงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้ายอดเขาสูงตระหง่านสองยอดลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ ปกป้องทั้งสองฝั่ง ธารไหลตรงลงมาเป็นหมื่นจั้ง ไม่ไกลออกไปบนหินสีเขียวอมฟ้ามีกิเลนคู่หนึ่งนอนหลับใหล กีบทั้งสี่มีเปลวเพลิงสีม่วงโชติช่วง บรรยากาศของขอบเขตศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านไปทั่วทุกอาราบริเวณ


ห่างจากประตูภูเขาในความว่างเปล่า จู่ ๆ ก็มีรอยแยกของมิติปรากฏขึ้นยาวหลายลี้ศิษย์ที่ได้รับหน้าที่เฝ้าประตูภูเขา และเหล่าผู้อาวุโสต่างตกตะลึง พากันแหงนหน้ามองขึ้นไป


จากนั้นก็เห็นวิหกชิงหลวนสามตัว ซึ่งมีขนาดมหึมา ขนสวยงาม กางปีกออกกว้างพันจั้น ลากราชรถงดงามวิจิตร บินออกมาจากรอยแยกของมิตินั้น วิหคชิงหลวนส่งเสียงร้องกึกก้อง ผ่านเมฆามงคลปรากฎกองทัพใหญ่โต ราวกับว่าพระนางหวังมู่เสด็จ แสงสีม่วงทอดยาวไปหลายพันลี้


“นั่นราชรถวิหคชิงหลวนของแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือ...” มีศิษย์ร้องด้วยความตกใจ


“วิหคชิงหลวนทั้งสามตัวที่ลากรถล้วนอยู่ในขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ ช่างน่ากลัวจริง ๆ”


“จะมีอะไรให้น่าแปลกใจนักหนา ราชรถกิเลนของแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ของพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าราชรถของพวกนั้นหรอก อย่าทำเหมือนไม่เคยเห็นโลกไปหน่อยเลย ดูแล้วน่าขายหน้ายิ่งนัก!”


ราชรถวิหคชิงหลวนสามตนนั้น กางปีกบดบังท้องฟ้า บินโฉบมาถึงเบื้องหน้าในพริบตาร่างของพวกมันงามอร่ามราวกับภาพฝัน ก่อนจะเหยียดกายาเหินขึ้นสู่ท้องนภา


สตรันางหนึ่งยืนอยู่บนอากาศธาตุ เท้าเปลือยเปล่าอันงามล้ำดูคล้ายหยกขาวสะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทิน ปรากฏสู่สายตาของทุกคนในบริเวรนั้น ธารสำทองรัดข้อเท้า ปล่อยให้กระดิ่งสีม่วงทองกระทบกัน ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง ดังกังวานดุจเสียงบดสวดที่แว่วไกลมาจากสรวงสวรรค์


กระโปรงของนางยาวลากพื้น เผยให้เห็นช่วงขาเรียวขาวงาม บ่งบอกถึงรูปร่างอันงดงามสะโอดสะอง เอวบางราวกับกิ่งหลิวยาวไหวเอนตามแรงลม ดึงดูดทุกสายตาให้จับจ้อง


ลำคอระหงขาวผ่องดุจหิมะ รองรับใบหน้างามสะคราญเย็นชา ดวงตางามราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง คิ้วเรียวโก่งดุจทิวเขาเรียงราย ผมสีดำขลับราวเส้นไหม ถูกมวยขึ้นอย่างเรียบร้อย ประดับด้วยปิ่นปักผมรูปหงส์เพลิงอันศักดิ์สิทธิ์


ท่าทางสง่างาม บริสุทธิ์ และ สูงส่ง ยากจะเอื้อมถึง เพียงยืนนิ่งอยู่บนท้องฟ้า ก็งดงามราวกับเทพธิดาจุติ ไร้มลทินจากโลกีย์


“นั่น.. นั่นคือ ท่านเจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาอวิ๋นเซี่ย!”


ผู้คนต่างจำนางได้ เทพธิดาผู้สูงส่งเบื้องหน้าคือเจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาอวิ๋นเซี่ย


“นิสัยของนางนั้นแสนเย็นชา ตามแบบของนาง นางไม่น่าจะมาต้อนรับแขกเช่นนี้”


“เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร ศิษย์พี่ของพวกเราก็คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจ้าขุนเขาแห่งยอดเขาอวิ๋นเซี่ย ยิ่งไปกว่านั้นฐานะของเขาก็สูงส่ง เลอค่าต่อการปรากฏตัวของท่านเจ้าขุนเขา มินมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใดเลย”


“ยินดีต้อนรับเหล่าสหายจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือสู่ยอดเขาอวิ๋นเซี่ย” เสียงกังวานใสดุจระฆังแก้วดังก้องทั่วยอดเขาอวิ๋นเซี่ย ริมฝีปากบางอันแดงระเรื่อของแม่เฉียวเหมิงเตี๋ย


ราชรถรูปหงส์ไฟลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะค่อย ๆ ลอยตัวต่ำและจอดลง เผยให้เห็นร่างระหงของสตรีผู้หนึ่ง นางอยู่ในชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อน บริสุทธิ์ดุจสายน้ำ ปกปิดใบหน้างดงามด้วยผ้าเนื้อบางเบา


ร่างระหงนั้นเยื้องย่างลงจากราชรถศักดิ์สิทธิ์ ดวงเนตรของนางเป็นประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า แสดงออกถึงความบริสุทธิ์ไร้มลทิน นางค้อมศีรษะให้เฉียวเหมิงเตี๋ยเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวาน


“ข้าคือเฟิ่งเหยา ศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือ วันนี้ข้าพาศิษย์น้องหญิงทั้งสองมาคารวะท่าน”


“เชิญท่านแม่นางเฟิ่งเหยาและน้องหญิงทั้งสองเข้ามาด้านในเถิด” เฉียวเหมิงเตี๋ยกล่าวเชื้อเชิญ


“รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว” แม่นางเฟิ่งเหยากล่าว


เฉียวเหมิงเตี๋ยนำเหล่าสตรีจากแดนเหยาฉือมุ่งหน้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ ทันทีที่พวกนางจากไป บริเวณประตูภูเขาก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง


“นั่นแม่นางเฟิ่งเหยา บุตรตรีศักดิ์สิทธิ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือมิใช่หรือ” เสียงหนึ่งดังขึ้น


“แม่นางเฟิ่งเหยา บรรลุถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดแล้ว แถมยังติดอันดับแปดของยอดฝีมือจากหอเทียนจีอีกด้วย” อีกเสียงกล่าวเสริม


“อย่าดูถูกแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉือว่ามีแต่สตรีไม่เอาไหนเชียง เรื่องความล้ำลึก พวกนางมิได้ด้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ของพวกเราเลย ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเหยาฉือนั้น ยิ่งลึกล้ำจนยากหยั่งถึง นางไม่ค่อยลงมือกับผู้ใด แต่หากลงมือเมื่อไหร่ล่ะก็ นางจักต้องเป็นผู้ชนะเสมอ”

“...”

“แต่ไหนแต่ไรนางยังไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด มีข่าวลือว่านางมีกายาเต๋าเซียนเทียนแบบเดียวกับมารดาศักดิ์สิทธิ์ของเหยาฉือในอดีตเลย พวกเจ้าคิดว่าจริงหรือไม่?”


“กายาเต๋าเซียนเทียนคือผู้ที่หลอมกายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ เมื่อบำเพ็ญจนถึงขั้นสูงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้แจ้งเห็นจริงของเทพ หรือจะเป็นเคล็ดวิชานับพันนับหมื่นอย่าง ล้วนสามารถหยิบจับมาใช้ได้โดยง่าย พวกเขาเกิดมาพร้อมกับชัยชนะที่ไม่มีวันพ่ายแพ้” เหล่าศิษย์ต่างพากันอัศจรรย์ใจจนตาค้าง


เมื่อเวลาผ่านไป


ตัวแทนของนิกายชั้นหนึ่งและชั้นสองของดินแดนทางใต้ก็ทยอยเดินทางมาถึง


การเดินทางของพวกเขานั้น ไม่โอ่อ่าหรูหราเหมือนกับการเดินทางของคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ส่วนใหญ่จะเดินทางมาด้วยเรือบิน ผู้ที่ออกมาต้อนรับก็เป็นเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น มีเพียงผู้นำสูงสุดของแต่ละดินแดนเท่านั้นที่เฉียวเหมิงเตี๋ยจะมาต้อนรับด้วยตนเอง


...


แดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่นั้นคือผู้นำสูงสุดแห่งดินแดนใต้ ปราบปรามทุกผู้ที่ไม่ยอมสยบ


สำหรับดินแดนขนาดกลางของดินแดนอื่น ๆ นั้น อาจเป็นเพราะเส้นทางที่ไกลเกินไป และไม่มีความสามารถในการสร้างแท่นส่งย้ายมิติ ทำให้ไม่สามารถไปถึงภายในครึ่งเดือน พวกเขาจึงไม่สามารถเดินทางมาถึงได้


ครั้งหนึ่งเคยมีผู้เฒ่าผู้นึ่งเอ่ยว่า ‘ในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ บางทีความสามารถในการเดินทาง อาจเป็นมาตรฐานที่ชี้วัดความแข็งแกร่งของแต่ละดินแดนได้ดีที่สุด...’


...


จันทราคู่แขวนอยู่บนท้องนภา แสงสีเงินเทาทาบทาทั่วผืนแผ่นดิน


กระบี่ขนาดมหึมา ยาวเหยียดเกือบหมื่นจั้ง ทะลุผ่านกำแพงมิติ ปรากฏขึ้นเหนือประตูทางเข้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจตจำนงแห่งกระบี่ของเขาแผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง ปรารถนาจะกวาดล้างทุกสิ่ง แม้แต่ความว่างเปล่ายังถูกเชือดเฉือนจนส่งเสียงดังครืนครั่น


เหนือกระบี่เล่มยักษ์


มีบุคคลสามคน หนึ่งผู้เฒ่า สองคนหนุ่มสาว


พวกเขาทั้งสามสวมชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ของแคว้นกระบี่อนันต์ ปลายแขนเสื้อปลิวไสว มองไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่


เบื้องหลังท่านผู้เฒ่าผมขาว มีเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นว่า


“ท่านอาจารย์ ประตูทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่ก็ดูธรรมดา ไม่ยิ่งใหญ่ครึ่งหนึ่งของแคว้นกระบี่อนันต์ของพวกเราเลย”


เด็กหนุ่มผู้นั้นมีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด ใบหน้าหล่อเหลางดงามยิ่งกว่าหญิงสาวเสียอีก ในดวงตามีประกายเย่อหยิ่งอยู่ไม่น้อย


“ชิงเฟิง อย่าได้อวดดีไป”


จอมกระบี่ที่สี่ผู้เป็นเจ้าแห่งกระบี่เอ่ยอย่างอ่อนโยน พลางลูบเคราของตน ท่านอดไม่ได้ที่จะดุเด็กน้อยผู้น่ารักอย่างเจ้าชิงเฟิง


“ฮึ่ม” ชิงเฟิงเบ้ปากอย่างไม่ยอมแพ้ “รอข้าปราบเจ้าบุตรศักดิ์สิทธิ์นั่นได้ก่อนเถอะ กลับไปแคว้นกระบี่อนันต์เมื่อใด ข้าจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เอง ชื่อเสียงข้าจะต้องเลื่องลือไปทั่วหล้า”


ข้าง ๆ กันนั้น มีหญิงสาวรูปโฉมงดงาม ที่เหมือนกันกับชิงเฟิงราวกับแกะ นางชื่อเสวี่ยเยว่ ดวงตากลมโตของนางเป็นประกาย ขณะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ พวกเราย่อมชนะอยู่แล้ว”


“เจ้าฉู่ซิวผู้นั้นไร้ซึ่งชื่อเสียง เพิ่งจะก้าวสู่ขอบเขตเสินเฉียวได้ไม่นาน หากพวกเราสองคนพี่น้องร่วมมือกัน ย่อมชนะอย่างมิต้องสงสัย”


ท่านจอมกระบี่ที่สี่ขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ ภาพความทรงจำใน ณ ดินแดนไร้โศกก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว มันคือภาพของปีศาจฉู่ผู้ชั่วร้ายที่สังหารบุตรและบุตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นกระบี่อนันต์ของพวกเขารุ่นแล้วรุ่นเล่า


“ท่านอาจารย์”


“ท่านอาจารย์ต้องกำลังนึกถึงเจ้าปีศาจฉู่เข้าอีกแล้วแน่เลย” เสวี่ยเยว่ดึงชายแขนเสื้อของผู้เป็นพี่ชาย


“ฉู่ซิว ฉู่ซิว เหอะ ๆ ชื่อเหมือนกันไม่มีผิด” ชิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “น้องหญิง คอยดูตอนขึ้นบันไดสวรรค์ก็แล้วกัน พี่ใหญ่จะสับมันเป็นชิ้น ๆ เอง”


“ถ้าจะโทษ ก็โทษที่พ่อแม่ของมันตั้งชื่อให้ผิดก็แล้วกัน”


“อืม” หลงเสวี่ยเยว่พยักหน้า จิตสังหารแวบผ่านในดวงตา บทสนทนาของศิษย์ทั้งสอง จอมกระบี่หาได้ใส่ใจไม่ จะฆ่าก็ฆ่าไป แคว้นกระบี่อนันต์ย่อมมิหวั่นเกรงต่อผู้ใด จะว่ากันตามตรง แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองไม่ลงรอยกันมาช้านาน ช่วงหลังมานี้ก็ยังมีเรื่องขัดแย้งกันไม่หยุด


เฉียวเหมิงเตี๋ยผู้สง่างามราวเทพธิดา ปรากฏกายขึ้น นำพาลูกศิษย์สามคนแห่งแคว้นกระบี่อนันต์ผ่านประตูเขาเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่ซู่


ระหว่างนั้น


บทสนทนาที่ไม่ปิดบังและไม่เกรงใจผู้ใดของศิษย์พี่น้องทั้งสอง ทำให้นางขมวดคิ้ว นางรู้ดีว่าพวกเขามาด้วยความประสงค์ร้าย แต่ใครจะคาดคิดว่าคนทั้งสองจะคิดสังหารฉู่ซิวบนบันไดสวรรค์


สีหน้าของนางพลันเย็นชาลง ในใจเกิดความคิดที่ว่าอยากจะฆ่าพี่น้องคู่นี้ให้รู้แล้วรู้รอดศิษย์ชั่วผู้นั้นมีแต่นางเฉียวเหมิงเตี๋ยเท่านั้นที่ฆ่าได้ คนนอกไม่มีสิทธิ์มารังแกเขา!


หรือพวกเขาอาจจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของนาง จอมกระบี่ที่สี่จึงส่งเสียงกระซิบเตือนศิษย์ทั้งสอง พี่น้องคู่นี้จึงสงบลงได้ เฉียวเหมิงเตี๋ยมองพวกเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะเก็บซ่อนจิตสังหารเอาไว้


เวลาผ่านไป...


ตัวแทนจากทุกสำนัก นิกาย และตระกูลเก่าแก่ต่างทยอยมาถึง


ใกล้ถึงวันจัดพิธีศักดิ์สิทธิ์แล้ว


--------


หมายเหตุ: สำหรับท่านผู้อ่าน อิทธิพลของกลุ่มที่เรียกว่าสำนักนั้น เทียบไม่ได้เลยกับนิกายต่าง ๆ และตระกูลเก่าแก่ เพราะบรรพบุรุษของเหล่านิกายและตระกูลเก่าแก่ล้วนเป็นผู้ที่ก้าวข้ามขอบเขตจักรพรรดิ พวกเขามีอาวุธจักรพรรดิอยู่ในครอบครอง



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว