เมืองเปี่ยน
กองคาราวานพ่อค้าขายข้าวสารเคลื่อนรถเข็นมาหยุดตรงหน้าประตูเมือง ให้ทหารเฝ้ารักษาการณ์ตรวจตราสินค้า มีทหารหลายนายใช้ดาบแทงเข้าไปในกระสอบข้าวสารรวมถึงถังไม้ที่บรรจุเมล็ดธัญพืช ก่อนพ่อค้าผู้เป็นเจ้าของคาราวานจะยื่นป้ายผ่านทางแล้วสั่งลูกน้องให้เคลื่อนขบวนเข้าไปในตัวเมืองเมื่อทหารรักษาการณ์เปิดทาง
เมื่อขบวนขนสินค้าเข้ามาสุดตรอกเล็กที่ห่างไกลจากประตูเมืองและสายตาผู้คน พ่อค้าก็สั่งให้ลูกน้องเปิดฝาถังบรรจุเมล็ดธัญพืชออก ก่อนจะยกถาดใส่เมล็ดธัญพืชด้านบนออก จากนั้นร่างของมู่เจ๋อก็ปีนออกมาจากถังไม้อย่างทุลักทุเลแล้วมอบเงินค่าซ่อนตัวให้พ่อค้าคนนั้นเป็นเงินก้อนใหญ่ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว
มู่เจ๋อมิได้ตรงเข้าเมืองหลวงในทีแรก แต่เร่งรีบเดินทางไปยังชานเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาสูงลูกหนึ่ง ซึ่งเขาต้องไปกระทำการบางอย่างตามจดหมายลับที่หลิวอี้หลงส่งมาก่อนหน้านั้นสองสามวัน
‘กลับมาพร้อมอ้ายเฉ่า’
เมื่อเดินทางไปถึงตีนเขาก็เป็นเวลาเย็นย่ำพอดี แต่มู่เจ๋อไม่รอช้า เขารีบปีนขึ้นเขาและพยายามหาที่พักที่พอหลบหนาวในค่ำคืนนี้ได้หลังจากเขาพบสมุนไพรอ้ายเฉ่าแล้ว
แต่ทว่า...ขณะเขาเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ต้นไม้สูงใหญ่และหนาทึบเริ่มบดบังแสงอาทิตย์อัสดงจนเหลือเพียงความมืดครึ้มและอากาศที่เย็นตัวลงจนกลายเป็นไอหมอกพร่าง พาให้กายหนาเริ่มสั่นสะท้าน มู่เจ๋อจึงจุดกระบอกไฟเพื่ออาศัยแสงนำทาง
เดินมาตั้งครึ่งค่อนยาม เขายังไม่พบแม้กระทั่งถ้ำเล็กๆสักแห่ง มู่เจ๋อจึงคิดว่าจะหยุดพักผ่อนบนต้นไม้สูงใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อของหมาป่าหรือสัตว์ร้าย
แต่ทว่า...
พรึ่บ!
สวบ!
เท้าของมู่เจ๋อเหยียบลงไปในแหตาข่ายที่รวบร่างของเขาทันที แหตาข่ายถูกยกขึ้นลอยสูงจากพื้นกว่าหกฉื่อตามกลไกทำงานของมัน
มู่เจ๋อดิ้นรน หมายจะล้วงมีดสั้นออกมาฟันเชือกตาข่ายให้ขาด แต่ร่างของเขาก็ร่วงดิ่งลงมาเสียก่อนจนแผ่นหลังกระแทกกับพื้นดินแข็ง เจ็บจนหลังแทบหัก หมดเรี่ยวแรงจะหยัดยืนได้ในเวลาอันสั้น
พลัน...คนกลุ่มหนึ่งก็วิ่งออกมาจากในป่าเข้ามาล้อมกุมตัวเขาเอาไว้ แสงคบเพลิงที่คนเหล่านั้นถือทำให้มู่เจ๋อเห็นใบหน้าดุดันของพวกมันทั้งหมด
แต่ทว่า...
“เสี่ยวอี้!”
“หัวหน้ามู่!”
คาดไม่ถึง...โจรภูเขากลับกลายเป็นองครักษ์ต้าหนานที่หายสาบสูญไปกว่าห้าสิบคน
เสี่ยวอี้...รองหัวหน้าราชองครักษ์รีบเข้ามาพยุงมู่เจ๋อลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะนั่งลงด้านหลัง แล้วผนึกลมปราณใส่ร่างมู่เจ๋อ ฟื้นฟูพละกำลังให้กับเขาทันที
อาการบาดเจ็บที่แผ่นหลังของมู่เจ๋อหายเป็นปลิดทิ้งเพียงลมปราณถูกถ่ายเทใส่ร่างอยู่พักใหญ่ ก่อนเขาจะลุกขึ้นยืนและรับการคารวะของเหล่าองครักษ์ที่ยังเหลือรอดชีวิต ไม่ถูกจับไปสังหารหรือทรมาน
“เหตุใดหัวหน้ามู่จึงมาเมืองเปี่ยน หรือทราบข่าวของหลิงเจิงแล้ว”
“ใช่ แต่ข้าทราบข่าวนี้จากสายของขุยอ๋อง”
สีหน้าของเหล่าองครักษ์ล้วนเปลี่ยนสี ก่อนเสี่ยวอี้จะประสานหมัดค้อมศีรษะยอมรับผิดว่า
“ข้าน้อยขออภัยที่มิอาจส่งข่าวไปแจ้งแก่หัวหน้ามู่ได้ เพราะนกพิราบสื่อสารของเราถูกพวกหมานกับคนของหลิงเจิงดักสังหารตลอดทาง อีกทั้งพวกเราต้องคอยหลบหนีเพื่อหาทางช่วยเหลือพวกพ้องที่ถูกจับไป จึงตัดสินใจไม่แจ้งข่าวแก่หัวหน้ามู่อีกเพื่อไม่ให้เป็นการเปิดเผยตัวต่อฝ่ายตรงข้าม”
“คนของเราถูกจับไปเป็นเชลยของหลิงเจิงได้อย่างไร?”
“เรียนหัวหน้ามู่ เพราะในกองกำลังของเรามีหนอนบ่อนไส้ขอรับ แต่มันก็ต้องรับผลกรรมถูกหลิงเจิงฆ่าสังหารทิ้งอย่างเหี้ยมโหด” เสี่ยวอี้ตอบ
ก่อนองครักษ์นายหนึ่งจะถามขึ้นว่า “หัวหน้ามู่มาเมืองเปี่ยนเช่นนี้ ผู้ใดจะอารักขากงจู่ทั้งสองเล่าขอรับ”
“เป็นขุยอ๋อง...หลิงเหมยฟางกงจู่เสกสมรสกับขุยอ๋องแล้ว”
“ฮ้า! กงจู่เสกสมรสแล้วหรือ เช่นนั้นนางจะอยู่สุขสบายดีในจวนอ๋องหรือขอรับ พวกเราได้ยินว่าขุยอ๋องมีนางในดวงใจอยู่แล้ว”
มู่เจ๋อยิ้มจางๆ หวนนึกถึงเหตุการณ์ในกระท่อมหลังน้อยท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ “อย่าห่วงไปเลย แม่นางผู้นั้นกับขุยอ๋องตัดความสัมพันธ์กันแล้ว!”
คำตอบของมู่เจ๋อทำให้เกิดเสียงซุบซิบด้วยความฉงนฉงายขึ้นหลายเสียง กระนั้นมู่เจ๋อก็มิคิดจะตอบคำถามชวนสงสัยของพวกเขาสักคนเดียว
“จริงสิ...พวกเจ้าพักที่ไหนกัน?”
“สูงขึ้นไปอีกครึ่งลี้มีถ้ำขนาดใหญ่ขอรับ พวกเราหลบซ่อนตัวกันที่นั่น” เสี่ยวอี้ตอบ
“อืม ว่าแต่บนเขาลูกนี้ พวกเจ้าเคยเห็นสมุนไพรที่มีชื่อว่าอ้ายเฉ่าบ้างหรือไม่?”
“มีขอรับ ขึ้นที่หน้าถ้ำเต็มไปหมดเลย ว่าแต่หัวหน้ามู่ต้องการสมุนไพรนี้ไปทำไมหรือขอรับ?”
“เพื่อช่วยชีวิตกงจู่...”
“กงจู่?...เกิดอะไรขึ้นกับกงจู่หรือขอรับ?” เสี่ยวอี้ถามขึ้นมาอย่างลนลาน ตามมาด้วยอีกหลายเสียง
“เพื่อช่วยชีวิตขุยอ๋อง กงจู่ยอมเอาตัวเข้าแลกขับพิษยางน่องออกจากร่างขุยอ๋อง ทำให้วาสนาของพวกเขาผูกเข้าด้วยกัน เป็นขุยอ๋องเองที่ฝากข้าให้ตามหาอ้ายเฉ่าแล้วนำกลับหนานเจียง เพื่อฟื้นฟูพลังหยางของกงจู่”
“เช่นนั้น...พวกเราจะเก็บมาให้หัวหน้ามู่นำกลับหนานเจียงถุงใหญ่เลยขอรับ” องครักษ์ร่างอ้วน หน้าตาซื่อๆบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ องครักษ์ผู้นี้นามว่าอาหุย มักถูกเพื่อนพ้องด้วยกันรุมหัวแกล้งเพราะความซื่อบื้อของเขา กระนั้น...อาหุยเป็นองครักษ์คนเดียวที่มีพละกำลังมากที่สุด สามารถยกหินหนักเป็นตันๆได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยแม้สักนิด
“อืม เรากลับไปยังที่พักเถอะ ข้ายังมีเรื่องที่จะต้องคุยกับพวกเจ้าอีกมาก”
“ขอรับ หัวหน้ามู่”
ดึกคืนนั้น...พวกของมู่เจ๋อก็ได้ทราบการมาที่แท้จริงของเขา ทั้งหมดต่างพากันออกความคิดเห็นวางแผนการกำจัดข่านแห่งหมานและหลิงเจิงอย่างรวบรัดที่สุด โดยไม่ทำให้เป็นที่รู้เห็นของเหล่าองครักษ์ข้างกาย
อาหุยได้รับหน้าที่สอดส่องการลาดตระเวนของทหารรักษาการณ์ในวังของท่านข่าน เพราะเขาเป็นคนเดียวที่วรยุทธ์อ่อนด้อยที่สุด ส่วนคนที่เหลือต้องคอยรับมือเหล่าองครักษ์ที่อาจปรากฏตัวขึ้นมาขณะที่มู่เจ๋อกับเสี่ยวอี้ลอบเข้าไปสังหารข่านและหลิงเจิง
แต่การจะเข้าไปในวังหลวงนั้นไม่ง่าย พวกเขายังขบคิดไม่แตกว่าจะลอบเข้าวังหลวงอย่างไร
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว