“เทพเทวะ?!” ซุน หดนัยน์ตาจนเล็กแคบ แน่นอนว่าเขาเองก็พอจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ว่า เทพเทวะ นั้นเป็นศัตรูกับสามผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในแง่ความลึกล้ำหรือเส้นสนกลในนั้น เขาเองยังไม่ได้กระจ่างแจ้งในเหตุผลของความขัดแย้งนี้...
“หึหึ... ไม่ต้องเร่งร้อนใจหรือต้องคิดคาดเดาให้มากมาย เพราะอย่างไรเสียข้าเองก็ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าอนาคตพวกนั้นจะยาวนานเพียงใด อาจจะเกิดขึ้นในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี อาจจะนับสิบปี หรืออาจจะนับร้อยปีก็เป็นได้ ทั้งอนาคตก็ใช่ว่าจะไร้โอกาสการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ สามารถผกผันได้ตามปัจจุบัน...
การมีภาพนิมิตแห่งอนาคตที่สะท้อนออกมา มิได้แปลว่าเจ้าจะไม่มีทางตายไปจนถึงช่วงเวลาเหล่านั้น... ณ ห้วงจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ ความแน่นอนเดียวที่มีก็คือความไม่แน่นอน...” แมวขาว เอ่ยปากเนิบช้า
ซุน ได้แต่พยักหน้าตอบรับ เขาเข้าใจดีว่าปัจจุบันต่างหากที่สำคัญกว่าอนาคต เขาไม่ควรยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น ควรใช้มันเป็นเพียงทิศทางบ่งชี้ก็น่าจะเกินพอ... “ขอบคุณที่ชี้แนะ ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว”
แมวขาว ใช้เท้าขยี้ไปบนเส้นผมของ ซุน เบา ๆ ก่อนมันจะอ้าปากคำรามดังออกมา ประตูที่จะออกไปสู่ภายนอกก็พลันถูกเปิดขึ้นจากพลังอำนาจของผู้ครอบครองหอคอย... ซุน ทอดมองประตูด้วยสายตานิ่งสงบมากกว่ายามที่ได้เข้ามา ก่อนจะจากไปเขานั้นหันมาเอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ชั้นใต้ดินของหอคอย... มันคือสถานที่แบบใด?!”
แมวขาว หัวเราะเบา ๆ “เส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนแห่งอื่นนอกดาวเคราะห์ ยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะสนใจมัน...”
ซุน ใบหน้าเรียบเฉยแน่นิ่ง “เร็วเกินไปหรือไม่นั้น... ดูเหมือนคนตัดสินใจน่าจะเป็นคนที่เป็นผู้ก้าวผ่านประตู มิใช่เจ้าของประตู...” กล่าวจบเขาก็เดินผ่านประตูออกไปสู่ด้านนอก เหลือทิ้งไว้เพียงแมวสามตัวที่ยืนจ้องมองจนเขานั้นลับตา
“ข้าชักจะชอบเจ้านี่แล้วสิ...” แมวขาว เอ่ยกล่าวทั้งรอยยิ้ม
“เหอะ! มันยังอ่อนหัดนัก...” แมวแดง กล่าวด้วยความไม่ยี่หระ
แมวส้ม มองนิ่งไปชั่วระยะหนึ่ง ก่อนจะหดดวงตากลายเป็นดั่งพยัคฆ์... “โทษทีนะพวกเจ้า แต่ดูเหมือนว่าข้าจะอดทนรอจนถึงวันที่เจ้านั่น มันกลับขึ้นมาครั้งหน้าไม่ไหว ดูผ่านห้วงความทรงจำมันค่อนข้างจะน่าเบื่อเกินไปสำหรับข้า...”
กล่าวจบ ร่างของแมวส้มก็แตกสลายกลายเป็นมวลกระแสลมสีส้มระลอกหนึ่ง จากนั้นก็พัดกรรโชกหายเข้าไปในประตูทางออกที่กำลังจะถูกปิด ท่ามกลางสายตาของ แมวขาว และ แมวแดง แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่แปลกใจอะไรนัก
“ว่าแล้วเชียว... จิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่นและทะเยอทะยาน เจ้านั่นมันใจร้อนยิ่งกว่าข้าเสียอีก” แมวแดง เอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ
“ช่างเถอะ... ยังไงคราวหน้าก็เป็นบททดสอบของแมวส้ม เจ้านั่นคงอยากจะแอบเฝ้ามองความมุ่งมั่นของ ซุน ผ่านสายตาตนเองมากกว่า ยังไง ซุน มันก็บรรลุชนชั้นลมปราณสีส้มมาแล้ว จะมอบพรแห่งร่างสถิตให้ในตอนนี้ หรือรอให้เจ้าหนูนั่นไปถึงจุดสูงสุดของชนชั้นลมปราณส้ม ผู้ตัดสินใจย่อมเป็น แมวส้ม ผู้เดียว...” แมวขาว ถอนหายใจยาวออกมา อันที่จริงเขาเองก็อยากจะออกไปข้างนอกอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจที่จะทำเช่นนั้นได้...
ด้านนอกยังประตูวาสนา ซุน พลันปรากฏร่าง ณ ที่แห่งนั้นด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว สิ่งที่เขานั้นได้มาจากภายในหอคอย นอกจากพรแห่งร่างสถิตชนชั้นลมปราณสีเหลืองแล้ว ก็ยังมีเส้นทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
จังหวะหนึ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดจึงรีบหันควับไปด้านหลัง ทว่าเจ้าตัวก็ไม่พบสิ่งใด มีเพียงกระแสลมผ่านพัดเบาบางที่เลือนหายไปในความว่างเปล่า ดวงตาของเขาหรี่แคบเล็กน้อย... “คิดไปเองงั้นหรือ?! รู้สึกเหมือนมีเส้นสายตาจากที่ไกล ๆ”
สุดท้ายก็ได้แต่เกาศีรษะ ไม่อาจมองเห็นคำตอบ...
ซุน ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้เป็นเป้าหมายตานานนัก พริบตาเดียวเงาร่างของเขาก็เลือนหายไปจากวิชาตัวเบา เหลือทิ้งไว้เพียงกระแสลมที่หมุนวน... ไม่นานเขาก็เดินทางมาถึงยัง กิจการสาขาพรรคมังกรฟ้าประจำเมืองหลวง...
การเดินเข้ามาของ ซุน กลายเป็นจุดเด่นของทุกคน... ชาวยุทธทั่วไปก็ยังพอว่า หากแต่คนของพรรคมังกรฟ้าที่ดูและกิจการสาขาแห่งนี้ ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักรูปร่างหน้าตาของ แมวสวรรค์... ผู้จัดการสาขาดวงตาเบิกกว้าง นอกเหนือจากเรื่องที่ ซุน เป็นราชันย์รุ่นเยาว์คนใหม่แล้ว เรื่องที่ชายหนุ่มถือครองป้ายทองตระกูลกุ่ย และได้รับการอุ้มชูจากผู้นำพรรค กุ่ยจือชิง ก็ยังถูกพูดถึงในหมู่ผู้จัดการสาขาด้วยกัน ชายชรารีบทิ้งลูกค้าทั้งหมดและวิ่งออกมาตอบรับในทันที ...
“คะ...คุณชาย ซุน ไม่ทราบว่าสิ่งใดให้ช่วยเหลือ”
“ข้าอยากเดินทางไปยังทวีปหงสาเพลิง รบกวนท่านผู้จัดการสาขาช่วยเป็นธุระให้ที เอ่อ...และหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าอยากจะขอกู้ยืมเงินจากทางสาขาสักร้อยล้านเหรียญทองติดตัวไปด้วย ไม่ทราบว่าจะพอเป็นไปได้หรือไม่?!” ซุน เองก็ดูคล้ายจะเกรงใจยามที่เอ่ยกล่าว อำนาจของป้ายทองนั้นสามารถใช้กู้ยืมได้เช่นกัน เพียงแต่มันย่อมมีขอบเขต ซุน จึงขอรับไปเพียงแค่มีติดตัวเพื่อเพิ่มความมั่นใจเท่านั้น
“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ข้าจะจัดการเอกสารให้พร้อมสรรพ ขอแค่คุณชายประทับตราลงเท่านั้น” ผู้จัดการสาขากล่าวพร้อมกับยกผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่ขมับ ไม่นานก็จัดหาทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายต้องการ
………………………………………..
เมืองหลวงร้อยบุปผา ทวีปหงสาเพลิง...
ทวีปแห่งนี้ปกครองโดยราชวงศ์จูเชว่ หนึ่งในหน่วยงานราชการแผ่นดินที่มีระดับเทียบเคียงราชวงศ์ไป๋หู่... แม้ว่าในแง่ความแข็งแกร่งของขุมกำลังจะยังด้อยกว่า สมาพันธ์แห่งท้องทะเล และสมาพันธ์ทำเนียบยุทธภพ แต่ในด้านของความยิ่งใหญ่เกรียงไกรและเก่าแก่ ก็ควรค่าอย่างยิ่งกับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้
ในเมืองหลวงร้อยบุปผา ก็มีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างไปจาก ทวีปพยัคฆ์ขาว และทวีปมังกรฟ้า ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์อันทรงเกียรติที่สุดของทวีปนี้ คือการภาพของวิหคเพลิงหงสาที่ประดับตกแต่งอยู่แทบจะทุกพื้นที่... จากข้อมูลที่ ซุน เคยอ่านเจอมาดูเหมือนว่า ราชวงศ์จูเชว่ จะแตกต่างไปจาก ราชวงศ์ไป๋หู่ และราชวงศ์เสวียนอู่ อย่างสิ้นเชิง
เหตุก็เพราะราชวงศ์จูเชว่ ได้ให้ความเคารพยำเกรงและเชิดชู ราชันย์หงสาเพลิง ดุจพระเจ้าของพวกเขานั่นเอง... ลักษณะนั้นจะคล้ายคลึงกับนิกายมังกรทมิฬที่เคารพบูชาราชันย์มังกรทมิฬ จะแตกต่างก็เพียงแค่นิกายนั้นเพิ่งจะถูกต่อตั้งได้ไม่กี่ร้อยปีมานี้เท่านั้น แต่ราชวงศ์จูเชว่ เป็นเช่นนี้มาอย่างยาวนานกว่าหมื่นปีแล้ว ถือว่าเป็นขุมกำลังต้นแบบโครงสร้างของ นิกายมังกรทมิฬ เลยก็ว่าได้...
อีกทั้งตำนานยังกล่าวอีกว่า ราชันย์หงสาเพลิง แตกต่างไปจากราชันย์ตนอื่น ๆ บนหอคอย... เพราะราชันย์บนหอคอยทั้งหมดนั้นได้สิ้นอายุขัยไปแล้ว เหลือก็แค่เพียงจิตวิญญาณแห่งราชันย์ที่คงสภาพมิได้ดับสูญอย่างสมบูรณ์
แต่ราชันย์หงสาเพลิง นั้นคือเทพวิหคเพลิงอมตะ... นางอยู่มาเนิ่นนานจนมิอาจคาดคะเน นานหลายล้านปีก่อนที่เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยซ้ำ... เป็นสิ่งมีชีวิตในยุคแรกเริ่มแห่งโบราณกาล จนมิอาจหาคำบรรยายใด ๆ ให้แก่ตัวนางได้นอกจากคำว่านิรันดร์
ซุน นั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจน จึงดิ่งตรงไปยังหอคอยสุสานเทพอสูรหงสาเพลิงในทันทีตามความตั้งใจ ทว่า...เขากลับพบความจริงที่น่าตกใจอีกเรื่องหนึ่ง นั้นก็คือ หอคอยเทพอสูรหงสาเพลิงแห่งนี้ มีความแตกต่างไปจากหอคอยแห่งอื่น ๆ
ที่นี่ไม่มีห้างร้านขายของหรือผู้คนสัญจรที่เดินทางไปมาอยู่รอบ ๆ ไม่ได้ถูกเปิดเป็นสถานที่สาธารณะเฉกเช่นหอคอยแห่งอื่น ๆ ที่ผู้ใดก็สามารถเข้าไปไขว่คว้าโชควาสนา... แต่หอคอยนี้ถือเป็นสถานที่ต้องห้ามของราชวงศ์จูเชว่ ถูกเฝ้าระวังเป็นอย่างเข้มงวด ทั้งยังได้รับการดูแลมากยิ่งกว่าวังหลวงและตำหนักขององค์จักรพรรดิเสียอีก จัดเป็นเขตที่สำคัญในระดับสูงสุด...
“อะไรนะ!! ไม่อนุญาตให้เข้าไปด้านในงั้นหรือ!!” ซุน เบิกตากว้างทันที เพราะรอบด้านของหอคอยเต็มไปด้วยเหล่าทหารกล้าของราชวงศ์จูเชว่ ทั้งยังมียอดฝีมือระดับชนชั้นราชันย์สามคนปกป้องสถานที่แห่งนี้อยู่ตลอดเวลา...
“เจ้าเพิ่งจะเคยมาทวีปหงสงเพลิงงั้นสินะ... หอคอยสุสานเทพอสูรของที่นี่ แตกต่างไปจากหอคอยแห่งอื่น ๆ ไม่ได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ ราชวงศ์จูเชว่ของเราได้รับสิทธิ์เพียงขุมกำลังเดียว ในการดูแลหอคอยและปกป้องคุ้มครองราชันย์หงสาเพลิงมานานนับหมื่นปีแล้ว เรื่องนี้หน่วยงานราชการแผ่นดินทั้งหมดต่างก็ทราบกันดี...”
ซุน ใบหน้าบิดเบี้ยวไปโดยพลัน ถึงเขาจะรู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว ว่าทางราชวงศ์จูเชว่ให้ความเคารพต่อราชันย์หงสาเพลิงอย่างถึงที่สุด แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นปกป้องคุ้มครองหอคอย และห้ามผู้ใดเข้าไปเหยียบย่างเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะ ซุน ใจร้อนในการมาที่นี่ คิดว่าจะเหมือนกันกับหอคอยอื่น ๆ จึงมิได้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ชายหนุ่ม กดฟันแน่น... “ข้าคือราชันย์รุ่นเยาว์คนใหม่ ซุน แมวสวรรค์จากทวีปพยัคฆ์ขาว ต่อให้จำหน้าข้าไม่ได้แต่พวกเจ้าก็น่าที่จะรู้จักชื่อนี้นะ” ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก จึงหมายจะใช้สถานะของตนเพื่อเปิดทาง
ทหารด้านหน้าอึ้งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเผยท่าทีลังเล ดูเหมือนว่านี่จะเกินอำนาจตัดสินใจของตำแหน่งนายกองอย่างตน... จังหวะนั้นชายชราผู้หนึ่ง ก็เดินก้าวยาว ๆ ออกมาจากตำหนักเล็ก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บริเวณหอคอย ใบหน้าเคร่งขรึมดุดันรัศมีรอบกายบ่งบอกว่าเป็นถึงระดับชนชั้นราชันย์ขั้นสูง ลมปราณสีส้มขั้นที่ 6
“ต่อให้เป็น จอมราชันย์ หรือ เทพราชันย์ มาที่นี่ด้วยตนเอง ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปด้านนั้น... นี่คือข้อตกลงที่ทางราชวงศ์จูเชว่ได้ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ ก่อนจะเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยงานราชการแผ่นดิน และทุกฝ่ายก็ให้การยอมรับแล้วตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน...”
นายกองผู้นั้น รีบยืนหลังตรงขึ้นทันทีเมื่อเห็นชายชรา “ทะ...ท่านรองแม่ทัพฉุน!”
ซุน สะท้านสะเทือนขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อเห็นรัศมีความร้อนที่แผ่ออกมาจากรอบกายของอีกฝ่าย ยอดฝีมือในทวีปหงสาเพลิงกว่า 9 ใน 10 ส่วน เป็นผู้ใช้ปราณอัคคีระดับสูง และว่ากันว่ายอดฝีมือชั้นแนวหน้าของราชวงศ์จูเชว่ หากนับเฉพาะความเชี่ยวชาญทักษะในด้านการควบคุมปราณอัคคี มีระดับสูงล้ำยิ่งกว่าตระกูลเล้งฝ่ายหยางเสียอีก...
“ท่านเองสินะ... ราชันย์รุ่นเยาว์คนใหม่ที่กำลังถูกกล่าวขวัญไปทั่วยุทธภพ ต้องขออภัยด้วยที่ทางเราไม่อาจอนุญาตให้เข้าไปได้ แต่เห็นแก่ตำแหน่งของท่านและการที่ทำให้ต้องเสียเวลา ทางราชวงศ์จูเชว่ ยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการเดินทางครั้งนี้ให้กับท่านเอง ถือเป็นสินน้ำใจและไมตรีที่ดีต่อกัน...” ชายชรากล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ
ยิ่งอีกฝ่ายกล่าวออกมาเช่นนี้... ซุน ก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา ไม่อาจเสียมารยาท... “ท่านรองแม่ทัพ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ไม่อนุญาตงั้นหรือ?!”
“สำหรับคนนอกที่มิใช่คนของราชวงศ์จูเชว่ บอกตามตรงว่าไม่มีวิธีการใด เว้นเสียแต่ท่านจะเข้าร่วมกับทางราชวงศ์จูเชว่... ราชันย์รุ่นเยาว์ ไยท่านถึงต้องยึดติดกับหอคอยแห่งนี้? เพราะไม่ว่าจะหอคอยแห่งใดในทวีปอื่น ผลลัพธ์ในการปีนขึ้นไปบนหอคอยย่อมมิต่างกัน
หากไม่สะดวกที่จะกลับไปยังหอคอยเทพอสูรพยัคฆ์ขาว ข้าก็ยินดีที่จะพาท่านไปส่งยังหอคอยเทพอสูรมังกรฟ้า หรือหอคอยเทพอสูรเต่าทมิฬ ก็ยังได้” ชายชราดูเหมือนจะมองออกว่า ซุน ยึดติดกับหอคอยแห่งนี้เกินไป ซึ่งเขาเองก็ลำบากใจอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่า ซุน ก็คงพูดไม่ได้ว่าต้องการพบ ราชันย์หงสาเพลิง มิเช่นนั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากกว่าเดิม... ชายหนุ่มจึงกวาดสายตามองออกไปยังรอบ ๆ พิจารณาค่ายทหารที่โอบล้อมปกป้องหอคอยแห่งนี้
จังหวะนั้นรองแม่ทัพฉุน ก็ราวกับอ่านความคิดอีกฝ่ายออก จึงกระแอมไอออกมาเบา ๆ “ราชันย์รุ่นเยาว์... หากคิดที่จะบุกเข้าไปล่ะก็ จะถือว่าผิดกฎร้ายแรงในราชวงศ์จูเชว่ของเรา ซึ่งมันก็มากพอจะทำให้เราตีตราว่าผู้บุกรุกนั้นเป็นกบฏของแผ่นดิน ขออภัยที่ต้องพูดเรื่องนี้เพราะเกรงว่าท่านจะไม่ทราบ...”
ซุน เผยท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันสายตากลับมา... “ท่านรองแม่ทัพคงเข้าใจผิด ไหนเลยที่ข้าจะกล้าบุกรุกเข้าไปอย่างอุกอาจ... เช่นนั้นข้าคงหมดธุระแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ชายหนุ่ม ประสานมืออย่างสุภาพ
“ยินดีที่ได้พบ...” ประสานมือตอบรับเช่นกัน
ซุน เดินจากมาด้วยท่าทีเหม่อลอยครุ่นคิด...
รองแม่ทัพฉุน หดนัยน์ตาแคบมอง ซุน ที่เดินลับตาไป ก่อนจะหันไปยังนายกองที่อยู่ข้าง ๆ “เพิ่มเวรยามและการคุ้มกันเป็นระดับ 2 เปิดใช้อาคมตรวจจับตลอด 12 ชั่วยามนับตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะประจำอยู่ที่ตำหนักเล็ก หากเกิดอะไรให้ส่งสัญญาณทันที...”
…………………………………………..
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว