The game changer เพลย์เยอร์พลิกเกม

CHAPTER 5 ตัวแปรที่ไม่คาดคิด

‘จูเวเลียน เฟล็ตเชอร์’

ตัวแปรที่ไม่คาดคิดดันโผล่ขึ้นมาเสียได้ ‘เพชรที่ไม่ยอมรับการเจียระไน’ คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน เขาเบือนหน้าทอดสายตาไปยังแสงไฟนอกหน้าต่างขณะที่รถของรุ่นน้องกำลังเคลื่อนผ่านตัวเมือง แสงไฟจากอาคารกระทบกับชิลด์ทำให้ยามค่ำคืนของเขตปกครองพิเศษทอประกายระยิบระยับราวกับเป็นกล่องอัญมณีขนาดใหญ่ ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็นสรวงสวรรค์สำหรับผู้รอวันแห่งการพิพากษา ถ้าเรียกพื้นที่บนแลนด์ว่าสรวงสวรรค์แล้วชั้นเทอร์นัลเล่าควรถูกเรียกว่าอะไร? ขุมนรกหรือ? คนที่อาศัยอยู่ในเทอร์นัลไม่ใช่คนเลวที่ต้องอยู่ในนรกเสียหน่อย ทุกคนมองเห็นความเหลื่อมล้ำอยู่ตำตาทุกวันแต่ดูเหมือนการทำใจให้ชินจะง่ายกว่าการต่อต้านสิ่งที่ผิด หลายคนมองว่าเขาเป็นคนใจเย็น

…ใครกันแน่ที่ใจเย็นอยู่กับสภาพนี้้มาได้ตั้งนาน…

“คุณไคลด์ไปที่ร้านนั้นได้อย่างไรหรอครับ”

เทอร์รี่ถามขึ้นขณะเลี้ยวรถเข้าตึกไลต์แมนที่ตั้งอยู่ในซาน กานา ด้วยภาพลักษณ์ที่อลันสร้างให้เขา แม้อีกฝ่ายจะเป็นนิวเจนผู้เป็นดั่งความหวังใหม่มีความสำคัญไม่ต่างกับคลื่นลูกต่อไปของสังคมก็ยังดูกริ่งเกรงเขาอยู่มาก ที่น่าแปลกกว่าท่าทีของเทอร์รี่ก็คือคำถาม ถ้าเขาเป็นเทอร์รี่น่าจะสงสัยว่าตัวเขารู้จักกับจูเวเลียนได้อย่างไรมากกว่าไม่ใช่หรือไง แม้จะคาใจในคำถาม แต่ไคลด์ก็เลือกตอบเฉพาะที่อีกฝ่ายต้องการรู้

“มีธุระแถวนั้นพอดีน่ะ” ไคลด์ตอบตามจริง เขามีนัดกับบางคนที่เซาท์วินเซิล

“อลาสเตอร์ทักมาบอกว่านายมีคนจะให้ช่วย ฉันเห็นคลิปก็เดาได้ว่าเป็นใครเลยว่าจะทักไปหานายก่อนเข้าตึก พอดีเห็นนายโดนแท็กในเช็คอินร้านใกล้ ๆ เลยเดินไปหาแทน”

ไคลด์เล่าเรื่องราวเมื่อเย็นให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องฟังโดยจงใจข้ามที่มาของคลิปนั้นไป ที่จริงเขาได้เห็นคลิปนั้นก่อนที่มันจะแพร่กระจายในโซเชียลนิดหน่อย ไคลด์จำเด็กคนนั้นได้ทันทีที่เห็น ตาสีทองเหมือนอัญมณีวาววับเป็นประกายแต่กลับไร้ชีวิตชีวาเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ โลกใบนี้โหดร้ายแต่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ตาคู่นั้นสูญเสียความมีชีวิตชีวาไป ที่จริงต้องบอกว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขาเจอเธอครั้งแรก เด็กห้าขวบไม่ควรมีสายตาแบบนั้น

ด้วยความสามารถอันส่องประกายของเธอทำให้ความไร้ชีวิตชีวาของเด็กหญิงวัยห้าขวบถูกมองข้ามไป ‘ความทรงจำแบบภาพถ่าย’ ‘ประสาทสัมผัสแยกแยะระดับสูง’ และ ‘ทักษะการคิดเชิงตรรกะชั้นสูง’ ความสามารถทั้งสามถูกประเมินในระดับ S ถ้าพูดให้ชัดคือเธอนั่งเรียนอยู่ในชั้นเรียนเดียวกับเขาที่อายุห่างกับเธอถึงแปดปี ความสามารถแต่ละอย่างของจูเวเลียนแม้ไม่ใช่ความสามารถที่ดาษดื่น แต่ก็ใช่ว่าโลกใบนี้จะมีเพียงเธอคนเดียว

ในหนึ่งพันหกร้อยล้านคนจะมีคนที่มี ‘ความทรงจำแบบภาพถ่าย’ หนึ่งคน

ในห้าร้อยสามสิบล้านคนจะเจอคนที่มี ‘ประสาทสัมผัสแยกแยะระดับสูง’ หนึ่งคน

ในสี่ร้อยเจ็ดสิบล้านคนจะเจอเด็กที่มี ‘ทักษะการคิดเชิงตรรกะชั้นสูง’ ก่อนวัยประถมประมาณหนึ่งคน

“ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถจะรู้วิธีใช้ความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เรามีหน้าที่ฝึกฝนและเจียระไนให้เธอเปล่งประกายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

จูเวเลียนเป็นเด็กที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในสถาบัน แต่ดูเหมือนว่าผู้ปกครองของเธอจะไม่ชอบการดูแลของสถาบันเท่าไรนัก พออายุได้เจ็ดขวบเธอจึงได้เดินออกจากสถาบันไปเข้าเรียนโรงเรียนประถมธรรมดาในเขตกีออนวัลเลย์ มีเพื่อนร่วมชั้นเป็นเด็กวัยเดียวกัน ได้วิ่งเล่นหลังเลิกเรียน มีเพื่อนร่วมทีมกีฬาเป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์โพลิกอนสปอร์ต[1]

“อย่างนั้นเองสินะครับ” เทอร์รี่พยักหน้ารับขณะจอดรถ “แต่ผมคงไม่รบกวนคุณอลาสเตอร์แล้วล่ะครับ…”

“อย่างที่คุณไคลด์ได้ยิน คุณเฟล็ตเชอร์คงแก้ปัญหานั้นไปแล้ว” เทอร์รี่ยิ้มออกมาขณะดึงกุญแจรถออก

“น้ำใจของนายเป็นเรื่องดี” ไคลด์บอกกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องขณะเดินเข้าอาคาร “การที่อีกฝ่ายไม่ร้องขอ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ต้องการมัน”

“ครับ” เทอร์รี่รับคำทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายของมันมากนัก

ไคลด์บอกขอบคุณเทอร์รี่ที่ให้เขาติดรถมาด้วยก่อนจะแยกตัวไปยังลิฟต์ตัวขวาสุด ลิฟต์ตัวนี้เป็นลิฟต์ที่ขึ้นลงระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสามสิบห้าเท่านั้น การขึ้นลงใช้คีย์การ์ดในการสั่งซึ่งมีไม่กี่คนที่ถือไว้ ไม่ถึงครึ่งนาทีลิฟต์ก็พาเขาตรงขึ้นมายังชั้นที่ต้องการ ชายหนุ่มร่างสูงก้าวออกจากลิฟต์ สามสิบห้าถูกสร้างเป็นห้องขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว ภายในชั้นนี้มีทุกอย่างที่มนุษย์จะสรรหาเอามาวางในอาคารได้ ไม่ว่าจะเป็นของทั่วไปอย่างชุดโซฟาขนาดใหญ่พร้อมโฮมเทียร์เตอร์ เลนไดร์ฟกอล์ฟซิมมูเลเตอร์ หรือของที่ไม่ควรจะอยู่ในนี้อย่างรถขนาดเล็กที่จอดอยู่ข้างกับน้ำตกจำลอง

“เฮ้ไคลด์ นายเข้ามาพร้อมเจ้าหนูเทอร์รี่ใช่มั้ย แล้วเด็กนั่นไปไหนล่ะ? ไม่เห็นมาด้วยกัน” เสียงถามดังขึ้น

ชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพระเจ้าใช้ความประณีตตอนสร้างเป็นพิเศษนั่งอยู่ที่บาร์เล็กของชั้นใกล้กับชุดโซฟา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าทำให้อลาสเตอร์ เฮสตันดูเหมือนรูปวาดมากกว่ามนุษย์ นิ้วเรียวราวกับลำเทียนของเขาถือแก้วบรั่นดีที่เหลือเครื่องดื่มเพียงก้นแก้วเอาไว้ ดูท่าว่าเขาจะนั่งดื่มคนเดียวอยู่ที่นี่มาพักหนึ่งแล้ว ไคลด์ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น เพราะเทอร์รี่เป็นคนออกปากขอความช่วยเหลือเอง การให้เทอร์รี่ได้ปฏิเสธเองน่าจะเหมาะสมกว่า เขาหันไปมองยังจอโฮมเทียร์เตอร์กลางห้องที่กำลังฉายคลิปเหตุการณ์ดังวันนี้อยู่

‘นักศึกษาปีสองตั้งคำถามต่อมอร์เฟียส เพจ นีโอเพลย์สมบูรณ์แบบจริงหรือไม่? ’ ข้อความในจอเขียนแบบนั้น

“สกู๊ปไม่สุ่มเสี่ยงจะโดนฟ้องไปหน่อยหรอ?” เขาเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงที่บาร์ข้างอลาสเตอร์

“วูลคงจ่ายค่าความเสี่ยงนั้นให้แล้ว” ชายที่นั่งอยู่ก่อนเอ่ยถึงบริษัทคู่แข่งของเดอะ เทมส์

ทายาทคนเล็กของเฮสตันยกบรั่นดีที่เหลือขึ้นจิบขณะทอดสายตาไปยังหน้าจอให้ความสนใจไปยังการวิเคราะห์ข้อบกพร่องของนีโอเพลย์ของนักวิชาการในรายการ อลัน เหยียน ผู้เป็นประธานของอาคารแห่งนี้พยักหน้าทักทายเขาจากโต๊ะสนุ๊กที่ไกลออกไป ชายร่างใหญ่เดินวนไปวนมารอบโต๊ะสนุ๊กขณะกำลังต่อสายกับใครสักคนอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นสมาชิกสักคนของกลุ่มโฮป ไคลด์หยิบแก้วน้ำจากหลังบาร์ก่อนจะเทน้ำแร่เย็นลงแก้วนั้น เขายังไม่อยากดื่มก่อนที่จะคุยกับอลัน

แม้คนส่วนใหญ่จะมองว่าไคลด์ เลวีย์คือคลื่นลูกแรกแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงคลื่นลูกแรกที่กระแทกหน้าคณะผู้ปกครองฯ คืออลัน เหยียน เขาก็เหมือนกับนักธุรกิจคนอื่นที่เข้ามาค้าขายในเขตปกครองพิเศษตั้งแต่ช่วงบลูโอเชียน ที่แตกต่างคือหลังจากที่เขาเริ่มตั้งหลักได้เขาได้ทำการประกาศละทิ้งสัญชาติเดิมของตนเพื่อประกาศตัวเป็นคนของเขตปกครองพิเศษนี้ การประกาศละสัญชาติของอลัน เหยียนทำให้เกิดการสร้างกฎหมายควบคุมการครอบครองที่ดินในเขตอพยพขึ้นมา ช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาครอบครองที่ดินที่ควรเป็นของผู้อพยพได้ ทำให้ที่ดินที่ควรเป็นที่พักพิงของกลุ่มอพยพกลายเป็นของกลุ่มทุนแทน แม้ว่าหลังจากกฎหมายประกาศใช้ เหล่านักธุรกิจก็ยังหาช่องว่างอย่างการสมรสกับคนอพยพ หรือการจ้างคนถือสิทธิ์ครอบครองที่ดินได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่สะดวกสบายเท่าตอนแรกอีกต่อไป

‘หากต้องการค้าขายสะดวก ก็ต้องช่วยให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นรัฐ’

อลัน เหยียนเป็นคนตั้งธงการเป็นรัฐให้กับผู้คนในเขตปกครองนี้ เขาได้รู้จักกับอลันตอนอายุสิบแปดความตั้งใจจริงของอลันทำให้เขากล้าก้าวออกมาสร้างความเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับปัญหาเขาจะเห็นแผ่นหลังของอลันเข้ามาขวางเอาไว้เสมอ และในยามที่แสงสว่างส่องมาอลันก็ไม่เคยเป็นกำแพงบดบังแสงนั้น อลันมักหลบไปอยู่ด้านหลังไม่แม้แต่จะเทคเครดิตที่เขาควรได้

“เทอร์รี่ส่งข้อความมาบอกผมว่าไม่รบกวนแล้ว” อลาสเตอร์ย่นจมูก ก่อนจะหันมาทางเขาด้วยสายตากล่าวหา

“อย่างนั้นหรอครับ” ไคลด์ยกยิ้มท่าทางไม่สะทกสะท้าน “ก็ดีแล้วนี่ครับ”

คุณชายคนเล็กตระกูลเฮสตันผู้เพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ชื่อเสียง และเงินทอง ไม่มีสิ่งใดที่เกินกำลังอลาสเตอร์ เฮสตัน ไม่ว่าจะร้องขอสิ่งใดก็สามารถบันดาลให้ได้ทุกอย่าง ทั้งยังเป็นคนมีน้ำใจคอยสอนให้ผู้ที่ร้องขอเข้าใจคำว่า ‘โลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้เปล่า’ อยู่เสมอ ไคลด์ไม่แน่ใจว่าเทอร์รี่ มัวร์รู้เกี่ยวกับนิสัยเสียของอลาสเตอร์แค่ไหนถึงกล้าขอความช่วยเหลือ แต่ก็โชคดีของเทอร์รี่แล้วที่จูเวเลียนไม่ต้องการความช่วยเหลือนั้น

“ก็ดีงั้นอย่างนั้นหรอ?” อลาสเตอร์เลิกคิ้ว “ผมว่าแล้วคุณไปที่นั่นเพื่อเตือนเด็กนั่น”

“บอกไว้ก่อนเลยว่าผมไม่ได้บอกอะไรเทอร์รี่” ไคลด์ยกมือขึ้นแสดงท่าทีว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์

เขาไม่ได้เตือนเทอร์รี่ มัวร์ ที่จริงก็ตั้งใจแวะไปเตือน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เตือน การมีเพียงความตั้งใจแต่ยังไม่ได้กระทำย่อมไม่ถือว่ามีความผิด แม้อลาสเตอร์จะแสดงท่าทีกระตือรือร้นจะเป็นเจ้าหนี้เทอร์รี่ มัวร์เต็มที่ แต่ก็พอดูออกว่าเขาคงไม่ ‘ทวงหนี้’ เทอร์รี่ด้วยวิธีเดียวกับคนอื่น อลาสเตอร์เป็นลูกคนเล็กเลยชอบที่จะมีเด็ก ๆ รายล้อม และในบรรดาเด็กน้อยในตึกนี้เทอร์รี่ มัวร์ก็ดูจะเป็น ‘คนโปรด’ ของอลาสเตอร์

“ไคลด์มาสักที” อลันที่เพิ่งวางสายบางคนเดินมายังบาร์

สีหน้าของชายวัยกลางคนจะว่าตื่นเต้นก็ได้จะกว่ากังวลใจก็ดี คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน หน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อจนถึงไรผมทั้งที่อากาศในห้องนี้ไม่น่าทำให้ใครมีเหงื่อได้ ตาขีดเล็กของอลันเบิกกว้างสีหน้าของเขาราวกับคนเพิ่งวิ่งหนีออกมาจากตึกที่มีเพลิงไหม้ได้ ชายร่างท้วมเดินมาที่หลังบาร์คว้าขวดน้ำแร่ที่ไคลด์เปิดเอาไว้รินใส่แก้วใสใบใหญ่ใกล้มือที่หยิบได้ อลันดื่มน้ำเข้าไปแก้วใหญ่ ท่าทางเขาเหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายหรือวิ่งหนีอะไรสักอย่างมา ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรมากกว่าคุยโทรศัพท์และเดินไปเดินมาเท่านั้น

“แซคบอกว่ารู้ที่อยู่เด็กคนนั้น พรุ่งนี้คงพาเธอมาได้”

อลันเอ่ยเข้ากลางเรื่องโดยไม่บอกหัวข้อให้คนหนุ่มอีกสองคนที่นั่งอยู่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร ชายวัยกลางคนไม่อาจเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ได้ มือข้างที่ถือแก้วน้ำยกขึ้นจิบยังคนสั่น ในขณะที่อีกมือหนึ่งกดรีโมทเล็กให้หยุดรายการที่กำลังฉายเอาไว้ หน้าจอโฮมเทียเตอร์แสดงใบหน้าของเด็กสาวที่ยืนอยู่หน้าสโลปพรีเซนต์ อลันชี้ปลายรีโมทไปทางหน้าจอเป็นเชิงบอกว่าเด็กคนนี้ที่เขากำลังพูดถึง

“อ่าห๊ะ เจ้าหนูที่ถอนหงอกมอร์เฟียส เพจ” อลาสเตอร์พยักหน้ารับ “ไม่ต้องให้แซคหาที่อยู่ก็ได้นี่ น่าจะเป็นเจ้าหนูน้อยคนนี้นี่แหละที่คุณชายมัวร์คนเล็กยอมเป็นหนี้ผมน่ะ”

สีหน้าของอลันดูไม่เข้าใจคำพูดของอลาสเตอร์เท่าไรนัก ดูท่าว่าคุณชายเฮสเตอร์คนเล็กจะปะติดปะต่อเรื่องของคุณชายมัวร์คนเล็กกับสิ่งที่อลันกำลังพูดถึงได้ ชายหนุ่มวางแก้วบรั่นดีที่หมดแล้วลงที่เคาน์เตอร์บาร์ สายตาพราวระยับท่าทางราวกับเด็กกำลังได้ของเล่นถูกใจ อลาสเตอร์หัวเราะคิกคักกับเรื่องราวในหัวของตัวเองก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เขารู้มา

“ประมาณอาทิตย์ก่อนมีข่าวว่าองค์ชายมัวร์พระองค์เล็กเสด็จไปร่วมปาร์ตี้สามัญชนที่มิดดี้อาซ มีคนเห็นว่าเจ้าหนูมัวร์พาสาวคนหนึ่งขึ้นรถสปอร์ตกลับทรอนฮิลมาด้วย แต่ก็ไม่เห็นจะพามาแนะนำให้พี่น้องร่วมสาบานอย่างผมเห็นหน้าสักที!” เสียงท้ายประโยคติดจะหงุดหงิดจริงเสียด้วย

“แต่วันนี้จู่ ๆ ก็ส่งข้อความมาหาท่านอลาสเตอร์ผู้เป็นดั่งเทวดาพ่อทูนหัวว่ามีคนอยากให้ช่วย ท่านอลาสเตอร์ก็ได้แต่คิดว่า ‘ใครกันนะ ใครกันที่ทำให้คุณชายมัวร์ยอมขอความช่วยเหลือจากท่านอลาสเตอร์ผู้นี้’ ระหว่างกำลังรอเจ้าชายพาเจ้าเบลล์กลับมายังปราสาทท่านพ่ออย่างผมก็เปิดทีวีดูไปเรื่อย เห็นว่ามีข่าวเกี่ยวกับคณะและมหาวิทยาลัยของลูกชายที่น่าภาคภูมิใจก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยุดดู แล้วก็…” อลาสเตอร์ชี้ไปยังหน้าจอหัวเราะคิกคัก

“เด็กน้อยชาวเทอร์นัลหน้าตาน่ารักกำลังโดนผู้ใหญ่รังแก!!!” แม้จะพูดว่าโดนรังแกแต่ดูเหมือนสีหน้าของอลาสเตอร์จะสุขสันต์ไม่น้อย

“ในเขตปกครองพิเศษตอนนี้จะมีใครที่เทอร์รี่ มัวร์รู้จักและกำลังต้องการความช่วยเหลือจากผมมากไปกว่าเจ้าหนูน้อยคนนี้อีกล่ะ” อลาสเตอร์ยกยิ้มด้วยความภูมิใจในข้อสันนิษฐานของตัวเอง

“เอาเป็นว่าอลันไปบอกเทอร์รี่ให้พาเธอมาน่าจะง่ายกว่า บอกไปด้วยว่าครั้งนี้ท่านอลาสเตอร์จะช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษเอง”

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันบอกแซคว่าไม่ต้องไปตามแล้วให้เทอร์รี่พามาดีกว่า” อลันพยักหน้ารับ แต่ไคลด์หยุดชายเจ้าของไลต์แมนกรุ๊ปไว้ก่อน

“มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษที่จะพบจูเวเลียนมั้ยครับ” ไคลด์ถาม ในวันนี้เขาต้องการคำตอบที่แน่นอนมากกว่าการคาดเดา แม้จะมั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองเดาไม่ผิดก็ตาม

“หลัก ๆ ก็เรื่องนีโอฮันเตอร์แหละนะ…” อลันพูดพลางถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะบีบให้เราเหลือทางเดียวซะแล้วน่ะสิ”

เขาอยู่กับอลันมานาน นานมากพอจะเดาความคิดส่วนใหญ่ของชายคนนี้ได้ อาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอะไรจะทำให้ไลต์แมนกรุ๊ปวุ่นวายไปกว่าการแข่ง ‘นีโอฮันเตอร์’ คำท้าทายของอัสลาน ยอร์คเป็นเพียงคำพูดลอยลมที่ดันส่งผลกระทบอย่างมหาศาล เพราะคำพูดนั้นดันไปจุดประกายความคิดไม่เข้าท่าของเจ้าของนีโอเพลย์ได้ จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นยอมรับว่าสะใจนิดหน่อยที่มอร์เฟียส เพจโดนจูเวเลียนเล่นเข้าให้

‘ไลต์แมนไม่มีความจำเป็นต้องส่งผู้เล่นลงแข่งในนีโอฮันเตอร์’ ข้อแรกลีอาร์ ฟอร์ตันไม่ใช่สเปคของแซค ดิแอซ ต่อให้ใช่ แซคก็ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครเพื่อให้ได้เธอมา ในเมื่อเธอยินดีจะนั่งบนตักของหมอนั่นอยู่แล้ว

ข้อสองชิลด์และสวัสดิการต่าง ๆ ที่พวกแลนด์ลอร์ดพากันวางเดิมพันในการแข่งขันเป็นสิ่งที่ควรมีตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องรอให้มี ‘ท่านเศรษฐีผู้มีเมตตา’ มามอบให้ ที่จริงพวกนั้นแค่ออกมาท้าทายตามกระแสเพราะไม่อยากให้นักข่าวขุดคุ้ยเรื่องสินไหมที่พวกเขาจ่ายให้คณะปกครองฯ มากกว่า ต่อให้ไลต์แมนกรุ๊ปส่งตัวแทนลงแข่งและชนะคนพวกนั้นก็ไม่เสียอะไร เพราะทุกยูนิตที่พวกเขาบริจาคในการสร้างสาธารณประโยชน์รัฐจะคืนให้พวกเขาตอนยื่นภาษีปลายปี การลงแข่งนอกจากจะเป็นการยอมรับว่าชิลด์ไม่จำเป็นต้องมาจากรัฐสวัสดิการแล้วยังกลายเป็นเครื่องมือให้พวกแลนด์ลอร์ดได้ลดหย่อนภาษีอีก

และข้อสุดท้ายไม่ว่าแลนด์ลอร์ดทั้งเขตปกครองแห่งนี้จะพร้อมกันท้าทายไลต์แมนกรุ๊ปหรือนักข่าวจะปลุกระดมมวลชนเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถส่งใครลงแข่งนีโอฮันเตอร์ได้ เพราะที่นั่งทั้งหมดในรอบเบต้าเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ให้ทุนสนับสนุนในเวฟแรกเท่านั้น ข้อตกลงนั้นถูกทำเป็นลายลักษณ์อักษรไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้ทำสัญญาทั้งหมด ในเมื่อผู้ลงทุนแต่ละคนท้าทายมาขนาดนี้ความยินยอมคงไม่ยาก แต่สิ่งที่ปิดประตูความเป็นไปได้ในการลงแข่งแท้จริงแล้วคือ…

“ตอนแรกเรามั่นใจว่าเดอะ เทมส์ไม่มีที่นั่งพอให้เราเข้าร่วม เลยคอยระวังแค่การประกาศสละที่นั่งของพวกกลุ่มทุนเล็กเท่านั้น” อลันใช้มือปาดเหงื่อตัวเองลวก ๆ สีหน้าเขาหนักใจแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูตื่นเต้นมากกว่าอยู่ดี

“แต่วันนี้มอร์เฟียส เพจประกาศว่านีโอฮันเตอร์สามารถเพิ่มที่นั่งได้” เขาพูดถึงสัมภาษณ์สั้น ๆ ของมอร์เฟียส เพจที่เวสต์ วินเซิล

…จากที่จูเวเลียนพูด มันจะเป็นแบบนั้น ไม่แน่ว่าอาจเพิ่มที่นั่งได้อีกเท่าตัวด้วยซ้ำ…

“ผมจะสมมติว่าตัวผมเข้าใจคร่าว ๆ แล้วกันนะ” อลาสเตอร์ขมวดคิ้ว “ถ้าเป็นเรื่องนีโอฮันเตอร์สิ่งที่เราต้องทำก็คือตัดสินใจเรื่องการส่งตัวแทนลงแข่ง หรือหาทางเปลี่ยนกระแสข่าวเพื่อไม่ต้องลงแข่งไม่ใช่หรอ? หรือคุณคิดจะเรียกหาความรับผิดชอบจากเจ้าหนูน้อยคนนี้?”

“ดูเหมือนว่าคุณจะยังไม่ได้ตอบว่าทำไมคุณถึงอยากเจอเจ้าหนูนี่นะ” อลาสเตอร์จี้ต่อ

“...”

อลันกลืนน้ำลายลงคอ ในขณะที่ไคลด์ยกน้ำขึ้นจิบ อลันไม่คิดจะเรียกหาความรับผิดชอบจากจูเวเลียนอยู่แล้ว แม้จะน่าหงุดหงิดที่เจ้าตัวต้นเรื่องลงมือด้วยความตั้งใจก็เถอะ ในเมื่อเป้าหมายของจูเวเลียนไม่ใช่อลัน เหยียน หรือไลต์แมนกรุ๊ปก็คงพอจะให้อภัยได้ ส่วนเหตุผลที่อลันต้องการพบจูเวเลียนนั้นเป็นเรื่องอื่น…

“คิดซะว่าผมโง่มาก ๆ ก็ได้นะ แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในเวสต์วินเซิลก็น่าจะทำเกมนั่นได้ดีกว่าเดอะ เทมส์ตอนนี้ทั้งนั้น ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมต้องเป็นแฟนเทอร์รี่” อลาสเตอร์จ้องหน้าอลัน

“...นอกจากว่าเธอจะน่ารักดีแล้วก็เป็นแฟนเทอร์รี่”

ก็จริงเด็กในเวสต์วินเซิลทุกคนรวมถึงเทอร์รี่ก็น่าจะพัฒนาเกมได้ดีกว่าเดอะ เทมส์ในตอนนี้ที่เหลือทีมพัฒนาไม่ถึงครึ่ง อลาสเตอร์ เฮสตันเป็นเทวดาพ่อทูนหัวอย่างที่เจ้าตัวพูดเอาไว้ ต่อให้แซค ดิแอซไม่รู้ที่อยู่ของจูเวเลียน (ซึ่งก็ไม่รู้ว่ารู้ได้ไง) หรือเทอร์รี่จะไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นของเธอ หากอลันบอกว่าไลต์แมนกรุ๊ปต้องการตัวเด็กคนนี้ อลาสเตอร์ก็สามารถดีดนิ้วทีเดียวให้ ‘เจ้าหนูน้อยคนสำคัญ’ ก็มานั่งอยู่ในห้องนี้ได้ ข้อแลกเปลี่ยนเดียวที่อลาสเตอร์ขอจากอลันคือเหตุผลที่ชัดเจน อลันรู้ข้อนี้ดี การที่อลาสเตอร์มานั่งจิบบรั่นดีอยู่ในห้องนี้ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วย

“น่าจะเป็นเพราะเจ้าหนูน้อยคนนี้มีความทรงจำแบบภาพถ่าย” ไคลด์ตัดสินใจเป็นคนตอบคำถามนั้นแทนอลัน ชัดเจนแล้วว่าอลันน่าจะรู้เพียงว่าจูเวเลียนแตกต่างจากคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าความสามารถนั้นเรียกว่าอะไร

“ความทรงจำแบบภาพถ่าย?” อลาสเตอร์หันมาทางเขาทันที

“นายดูคลิปนั้นมากี่ครั้งแล้ว” ไคลด์ถาม

“โอ๊ย ตั้งแต่เย็นมานี้น่าจะเกือบร้อยรอบแล้วมั้ง” อลาสเตอร์หัวเราะ

“ถ้านายดูมาเป็นร้อยรอบแล้วก็น่าจะบอกได้นะว่าเด็กคนนี้พูดชื่อเพจกี่ครั้ง” ไคลด์ยกยิ้ม อลาสเตอร์ขมวดคิ้วเพียงอึดใจเดียว คุณชายคนเล็กของเฮสตันเป็นคนหัวไวมากพอ ชายหนุ่มคว้ารีโมทอันเล็กมาจากมืออลันก่อนจะกดย้อนคลิปข่าวโดยตั้งใจย้อนกลับไปตรงช่วงกลางคลิป

‘คุณเพจเพียงแสดงความเห็นในส่วนของธุรกิจในตอนท้ายเท่านั้น แน่นอนว่าคุณเพจไม่ได้ใช้ชุดคำพูดซ้ำกันทั้งหมด แต่จะมีชุดคำซ้ำที่จะมาพร้อมพฤติกรรมบางอย่างเช่น คำว่า ‘ไม่ซื้อ’ ที่จะมาพร้อมกับการยกมุมปากข้างซ้าย ที่เกิดขึ้น 13 ครั้ง’

“เด็กนั่น…” อลาสเตอร์กดหยุดคลิปเอาไว้ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มถูกใจ “อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าเรากำลังจะมีเจ้าหนูน่าสนุกเข้ามาในตึกอีกคนแล้วสินะ”

“เธอพิเศษกว่าคนอื่น” อลันบอก “เราต้องถึงตัวเธอก่อนที่คนอื่นให้ได้”

อลันถูกเรียกว่าเป็นนักส่องเพชร ไม่ใช่ในแง่อัญมณีจริง แต่หมายถึงการมองเห็นความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้คน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเขารู้จักจูเวเลียนมาก่อนเพียงแค่คลิปสั้น ๆ นี้ก็อาจจะแยกไม่ออกก็ได้ อาจเข้าใจไปว่าเป็นธรรมดาของเด็กในเวสต์ วินเซิล สถาบันรวมอัจฉริยะด้านเทคโนโลยีระดับโลกจะมีคนความจำดีแบบนี้สักคนก็ไม่แปลกอะไร แม้อลันจะไม่รู้ว่าความสามารถของเธอเรียกว่าอะไรแต่เขาก็สามารถบอกความต่างได้ทันที

“ผิวขาวซีดอาจเป็นชาวเทอร์นัลก็ได้” อลาสเตอร์เริ่มวิเคราะห์ “คุณคิดจะทำอย่างไงล่ะ? เป็นแบคให้เธองัดกับเดอะ เทมส์หรอ?”

…คลาสสิก…

วิธีที่อลาสเตอร์พูดมาถือเป็นวิธีพื้นฐาน เรียบง่าย และเคยใช้ได้ผลมาแล้วหลายครั้ง ตัวอย่างที่มีให้เห็นก็คือแซค ดิแอซ อลันพยักหน้ารับ ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทั้งที่เป็นวิธีที่เรียบง่ายแต่ในสถานการณ์นี้วิธีดันกลายเป็นวิธีที่ยุ่งยากอย่างเหลือเชื่อ

“เราจะออกหน้ามากก็ไม่ได้ ถ้าเราช่วยให้เด็กคนนั้นไม่ถูกเดอะเทมส์ขโมยผลงานไปได้ ก็อาจถูกเขียนข่าวว่าไลต์แมนขัดขวางการพัฒนานีโอเพลย์ เพราะไม่ต้องการลงแข่งนีโอฮันเตอร์” อลันพึมพำ เขาคงคิดทางออกมาพักใหญ่แล้ว

“ถ้างั้นให้ผมทำแทนมั้ยล่ะ?” อลาสเตอร์เสนอ “ถ้าผมทำในฐานะของเฮสตันก็ไม่น่าเกลียดอะไรนี่”

“ฉันก็คิดอยู่นะ” อลันพึมพำ “แต่คงต้องคุยกับเด็กคนนั้นก่อน เพราะฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรเรื่องขโมยผลงานเท่าไร เพิ่งได้ยินจากผู้จัดการโหยว่เมื่อเย็นนี้เอง”

ไม่แปลกที่นักธุรกิจอย่างอลันจะไม่เข้าใจเรื่องการขโมยผลงานทางวิชาการ คนที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ก็ต้องเป็นคนอย่างเด็กสี่ห้าคนที่นั่งอยู่กับเทอร์รี่วันนี้ ไม่ก็อาจารย์ที่เดินออกมาขวางคนนั้น ใช่ว่าทุกคนในวงการวิชาการจะเคยได้เห็นความสกปรกของวงการจากเนื้อใน ยิ่งคนนอกวงการยิ่งแล้วใหญ่ แต่ไม่ว่าจะอลันหรืออลาสเตอร์ก็คงไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องการขโมยผลงานทางวิชาการหรอก…

“ที่จริงตอนที่ผมไปเจอเทอร์รี่ ผมดันไปได้ยินเรื่องสนุก ๆ มาครับ” ไคลด์พูดขึ้น เรียกความสนใจจากสองคนได้ทันที

“เด็กคนนึงกำลังจะโดนขโมยของเลยส่งเสียงดังเรียกผู้ใหญ่มาช่วย พอผู้ใหญ่กับตำรวจมาถึงหัวขโมยคนนั้นดันพูดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะขโมยนะ แต่ตั้งใจจะซื้อมันต่างหาก” ไคลด์ลองเล่าเป็นนิทานเลียนแบบอลาสเตอร์ดู แม้จะไม่ได้บอกว่าเด็กคนนั้นเป็นใครก็ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจดี

“นั่นคือเรื่องที่ทุกคนเห็น ถ้าผมเล่าว่า ในความจริงเด็กคนนั้นถือของที่มีแต่หัวขโมยคนนั้นต้องการเอาไว้ในมือ เธอรู้ดีว่าถ้าหัวขโมยเห็นจะต้องขโมยมันแน่ เธอรอจนหัวขโมยลงมือแล้วค่อยตะโกนเรียกผู้ใหญ่มาช่วย เธอรู้แต่แรกว่าตำรวจและผู้ใหญ่ทำอะไรหัวขโมยคนนี้ไม่ได้ เธอแค่รอให้หัวขโมยคนนั้นพูดขึ้นมาว่าเขาจะเป็นคน ‘ซื้อ’ ของชิ้นนั้น แล้วเธอจึงค่อยตั้งราคาขูดเลือดขูดเนื้อคนที่ตั้งใจขโมยของเธอ…”

“เดี๋ยวนะ” อลาสเตอร์ขมวดคิ้วอยู่เพียงอึดใจก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะฉายแววพอใจเป็นอย่างมากออกมา “ว้าว~ ถ้าผมบอกว่าถูกใจแฟนเทอร์รี่จะถูกน้องโกรธมั้ยนะ”

อลันยืนนิ่งราวกับกำลังประมวลผลข้อมูลนั้นอยู่ อลันมองออกว่าเด็กคนนั้นแตกต่างจากคนอื่น เขารีบแทบตายเพื่อเข้าถึงตัวเธอก่อนใคร ให้ข้อเสนอที่เด็กธรรมดาจะต้องตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เพื่อพาเธอมาเป็นหนึ่งในไลต์แมนกรุ๊ป แต่ดูเหมือนเขาจะช้าไปสินะ ชายวัยค่อนคนนั่งลงที่เก้าอี้หลังบาร์ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ผมพลาดเองที่คิดว่าเด็กคนนั้นจะเข้ามาเป็นนิวเจน” อลันถอนหายใจ แต่สีหน้าของเขายังมีความยินดีอยู่มาก ที่จริงต้องใช้คำว่ามากกว่าเดิมเสียอีก

“อลาสเตอร์ ไคลด์ ผมว่าเราเจอคีย์แมนแล้วล่ะ”

ไคลด์ขมวดคิ้วในขณะที่อลาสเตอร์ยกยิ้มถูกใจเข้าไปใหญ่ คุณชายเฮสตันเอื้อมมือไปหยิบแก้วบรั่นดีหลังเคาน์เตอร์มาอีกสองแก้วก่อนจะรินบรั่นดีให้กับเขาและอลัน ‘คีย์แมน’ คือคนที่อลันตามหามานาน โฮปเป็นกลุ่มที่สมบูรณ์แบบ สมาชิกแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น แต่ในเวลาเคลื่อนไหวพวกเขาไม่เคยลงมือคนเดียว การสัมภาษณ์ของไคลด์ ตามด้วยคอนเนคชันสายข่าวของเรเจฟ ตบท้ายด้วยการตกเหยื่อของแซค การเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสั่นคลอนเก้าอี้ของหัวหอกใหญ่ในคณะผู้ปกครองฯ ได้ การสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นการเดินทางระยะไกลเพื่อนร่วมทางที่เข้าขากันเป็นสิ่งจำเป็น แต่คีย์แมนต่างออกไป

คุณสมบัติของคีย์แมนนั้นเรียบง่าย ‘คนที่สามารถล้มกระดานได้ด้วยการขยับหมากเพียงตัวเดียว’ ฟังดูก็รู้ว่าไม่ง่าย การ ‘ขยับหมาก’ หมายถึงการเดินตามเกม ไม่ว่าคำว่า ‘ล้มกระดาน’ จะหมายถึงการพลิกเกมหรือการเล่นนอกกติกาก็ตาม ไคลด์ไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยคนนั้นใช่คนที่อลันมองหาหรือไม่ พูดกันตามจริงทักษะทั้งสามของจูเวเลียนไม่ว่าจะเป็น ความจำที่เป็นเลิศ การจำแนกอย่างละเอียด หรือ การคิดเชิงตรรกะระดับสูง ต่างเป็นสิ่งที่คอมพิวเตอร์สามารถทำได้มาตั้งแต่ก่อนเด็กคนนั้นจะเกิด ในตอนเด็กเธอถูกเรียกว่า ‘เอไอในร่างมนุษย์’ แต่ไม่มีเอไอตัวไหนทำให้มอร์เฟียส เพจกับอาจารย์ในคณะวิ่งบนฝ่ามือได้ ‘เพชรที่ไม่ยอมรับการเจียระไน’ ไคลด์ไม่แน่ใจเลยว่าเด็กคนนั้นจะยอมร่วมมือกับไลต์แมน

“นายไม่ดื่มรึไง?” อลาสเตอร์ถามเมื่อเห็นว่าเขานิ่งไปนาน

“ก็แค่คิดเรื่อยเปื่อยน่ะ” ไคลด์ตอบปัด การชักจูงเด็กคนนั้นไม่ง่ายแต่ก็ไม่ใช่หน้าที่เขา ชายหนุ่มเลือกวางความกังวลเกินขอบข่ายหน้าที่ของตัวเองเอาไว้ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจสิ่งที่ตัวเองจัดการได้แทน

“ในเมื่อเหลือทางเดียวแล้ว คุณมีแผนจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนีโอฮันเตอร์ล่ะครับ” ไคลด์หันไปถามอลัน

“เรื่องนั้น… เพราะคิดเอาไว้ว่าต่อให้ช่วยเด็กคนนั้นได้ เดอะ เทมส์ก็น่าจะหาวิธีบีบให้เราลงแข่งอยู่ดี ผมเลยตัดสินใจจะส่งเด็ก ๆ ของเราลงแข่งรอบเบต้าน่ะ…” อลันวางแก้วบรั่นดีลง “แต่ผมเองก็คงจะต้องท้ากับเขาบ้าง”

“ท้าอย่างนั้นหรอ?” อลาสเตอร์เลิกคิ้วขณะเติมบรั่นดีลงแก้วตัวเอง “คุณต้องการอะไรล่ะ”

“ถ้าผมบอกว่าเดิมพันชัยชนะของทีมไลต์แมนกับสิทธิ์การเป็นผู้จัดการแข่งนีโอฮันเตอร์รอบเวิร์ลคัพล่ะ?”

ทั้งไคลด์และอลาสเตอร์ชะงักมือที่กำลังยกแก้วบรั่นดีขึ้น ดูเหมือนอลันจะตัดสินใจก้าวใหญ่แล้ว พวกนายทุนเลือกลงทุนไม่ผิดที่ ‘นีโอเพลย์’ มีแนวโน้มจะกลายเป็นนวัตกรรมระดับโลกภายใต้เอกสิทธิ์การผลิตของบริษัทที่จัดตั้งในเขตปกครองพิเศษแห่งนี้ แต่คนพวกนั้นคงไม่คิดอะไรมากไปกว่ากำไรปันผลที่ได้จากการขายนวัตกรรม ทั้งที่จริงมันสามารถไปได้ไกลกว่านั้น

การเป็นรัฐแม้จะมีขอบเขตพื้นที่และการปกครองของตนเอง ก็ไม่อาจถูกเรียกว่าเป็นรัฐได้อย่างสมบูรณ์หากขาดการยอมรับจากสังคมโลก โดยทั่วไปประเทศต่าง ๆ จะแสดงการยอมรับกันด้วยการส่งทูตมาประจำการเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่าเป็นมิตรต่อกันและให้การยอมรับดินแดนนั้นในฐานะรัฐ แต่ในเขตปกครองซึ่งเป็นที่ดินสินชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามหากมีประเทศใดประเทศหนึ่งสร้างสัมพันธ์ทางการทูตก็อาจทำให้สมดุลที่ทุกประเทศเพียรสร้างมาพังทลายลง เส้นทางการได้รับการยอมรับในฐานะรัฐช่างดูมืดมน แต่ก็ใช่ว่าจะจนด้วยหนทางไปเสียทีเดียว

เหมือนเช่นการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ฟุตบอลโลก การประกวดหรือแข่งขันใด ไม่ว่าเจ้าภาพจะเป็นรัฐหรือเอกชนหากผู้เข้าร่วมการแข่งขันถูกนับเป็นตัวแทนประเทศแล้วย่อมเรียกว่าเป็นการแข่งระดับโลกได้ นีโอฮันเตอร์จะเรียกว่าอีสปอร์ตก็ได้ เรียกว่ากีฬาที่ใช้ร่างกายก็ดีมันถือเป็นการแข่งขันชนิดหนึ่ง อลัน เหยียนไม่ได้คิดจะจัดนีโอฮันเตอร์เวิร์ลคัพในนามของไลต์แมนกรุ๊ป แต่เป็นในนามของเขตปกครองพิเศษ

…ทุกประเทศที่ส่งคนลงแข่งก็เท่ากับให้การยอมรับเขตปกครองพิเศษในฐานะรัฐ…


เชิงอรรถ

  1. ^ โพลิกอนสปอร์ต หุ่นยนต์ชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์เพียงแต่ไม่มีหน้าตา เป็นหุ่นที่ถูกออกแบบมาเพื่อฝึกซ้อมกีฬาโดยเฉพาะ สามารถเคลื่อนไหวได้ตามโปรแกรม สมาคมกีฬานิยมใช้ในการจำลองการแข่งกับทีมคู่แข่งโดยให้หุ่นยนต์เลียนแบบการเคลื่อนไหวของอีกทีม
รีวิวจากผู้อ่าน 1 รีวิว
  • Mintsri Phmu
    เมื่อ 1 ปี 8 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณค่าาาาาาาาาาาน
    • อ่านถึง : CHAPTER 5 ตัวแปรที่ไม่คาดคิด

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว