เสน่หาลาภิณ-10 วันฉันจะพิชิตใจเธอ 3/3

โดย  อัมราน l บรรพตี

เสน่หาลาภิณ

10 วันฉันจะพิชิตใจเธอ 3/3

ปลาเพชฌฆาตก็ตามมาติดๆ อีกเพียงนิดเดียวต้นตระกูลปลาปิรันย่าจะล่าพวกเธอได้สำเร็จ แต่ปลาใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาขวางทางไว้ ชลธิดาและเอมิกาหันกลับไปมองพร้อมกัน มันคือปลาโลมาขนาดใหญ่ เพียงครู่เดียวฝูงโลมาน้อยจำนวนหนึ่งก็พรูกันเข้ามารายล้อมพวกเธอ

ฝูงโลมาน้อยต้อนพวกเธอไปตามอุโมงค์ใต้น้ำขนาดใหญ่จนกระทั่งเจอทางแยกอีกครั้ง พวกมันนำทางต่อไปอีกพักใหญ่ ชลธิดามองออกไปยังกระจกใสที่ครอบอุโมงค์แก้วเอาไว้ เธอเห็นอนันดาและอนาคินแหวกว่ายอยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน พวกเขาอยู่ในร่างมนุษย์แต่ไม่ได้สวมใส่หน้ากากดำน้ำและแบกถังออกซิเจนเหมือนพวกเธอ นัยน์ตาสองคู่นั้นจ้องมองดูเธออย่างห่วงใย เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยในวงล้อมของฝูงโลมาและดีใจที่มองเห็นสายตาที่ห่วงใยของพวกเขา

ฝูงโลมาเข้ามาคลอเคลียพวกเธอทีละตัวและจากไปเมื่อพวกเธออยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องและปลอดภัยแล้ว สองสาวส่งยิ้มให้กันผ่านหน้ากากดำน้ำและพากันแหวกว่ายต่อไปสู่เส้นทางด้านหน้า ผู้โดยสารอื่นทิ้งห่างจากพวกเธอเพราะไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา ต้นตระกูลปลาปิรันย่าตัวนั้นไล่กวดพวกเธอจนออกนอกเส้นทางไปไกล นับว่าโชคดีมากที่ฝูงโลมาเข้ามาช่วยไว้ทัน

“อุ๊บ!” หนวดปลาหมึกขนาดใหญ่พันขาเอมิกาแน่น ร่างบางพยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอด อยากจะตะโกนดังๆ ขอความช่วยเหลือทว่าปากหนักร้องขอความช่วยเหลือช้าเกินไป เพื่อนที่เคยแหวกว่ายอยู่ข้างๆ เคลื่อนตัวห่างไปไกลเกินรัศมีที่จะได้ยินสัญญาณ

ชลธิดาหันมองข้าง ๆ ไม่เห็นเพื่อนร่วมทางก็ตื่นตกใจ เธอหันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งผ่านมาก็เห็นเอมิกากำลังถูกปลาหมึกยักษ์เล่นงานอยู่ เธอย้อนกลับไปเพื่อช่วยเหลือ เธอพยายามดึงหนวดปลาหมึกออกจากขาของเพื่อน แต่หนวดปลาหมึกรัดแน่นมาก เอมิกาก็ดิ้นรนอย่างตื่นกลัว

ชลธิดาแหวกว่ายไปมาอย่างไม่รู้จะช่วยเหลือเพื่อนได้อย่างไร เธอมองเห็นอนันดาและอนาคินอยู่ด้านนอก อนาคินชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้เธอทิ้งเอมิกาไว้ตรงนั้นแล้วรีบเดินทางต่อไป ส่วนอนันดาชี้มือไปที่ก้อนหินก้อนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดอกไม้ทะเล เธอเข้าใจความหมายของเขาทันที เธอแหวกว่ายดำดิ่งลงไปยกก้อนหินแหลมอันนั้นขึ้นมา มันไม่ได้ใหญ่จนเกินไปนัก เธออุ้มมันขึ้นมาแล้วทุบลงไปที่หนวดของปลาหมึกยักษ์ ทุบแล้วทุบอีกจนมันยอมปล่อยหนวดของมันออกจากขาของเอมิกา เธอต้องใช้เวลาและความพยายามมากทีเดียวกว่าจะทำได้สำเร็จเพราะต้องคอยหลบหนวดปลาหมึกไม่ให้เล่นงานเธอด้วยอีกคน

เอมิกาพึมพำขอบใจเมื่อทั้งคู่ผ่านพ้นวิกฤตมาด้วยกัน เธอทั้งสองแหวกว่ายต่อไป เอมิการีบว่ายไปอย่างรวดเร็วทว่าชลธิดายังคงอยากจะเพลิดเพลินกับความงามของนาคพิภพ เธอมัวแต่เหลียวมองฝูงปลาแสนสวยและดอกไม้ทะเลจนพุ่งชนกุ้งยักษ์ตัวเบ้อเริ่มเข้าอย่างจัง

“ระวังหน่อยสาวน้อย” เสียงกุ้งยักษ์ตวาดเธอเบา ๆ

ชลธิดากล่าวขอโทษแล้วแหวกว่ายต่อไป ผ่านดอกไม้ทะเลและปะการังมากมาย ฝูงปลาน้อยใหญ่แวะเวียนเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร ปลาตัวยาวลักษณะคล้ายงูแหวกว่ายนำอยู่เบื้องหน้าเหมือนมันจะคอยเตือนให้พวกเธอทั้งสองรีบเร่งเดินทาง

ปลายทางข้างหน้าคืออาคารหลังใหญ่ มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนยืนประจำตำแหน่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ชลธิดาและเอมิกาลอยตัวขึ้นไปตามขั้นบันได ชายทั้งสองยื่นมือมารับและฉุดพวกเธอขึ้นไป ชลธิดามองเห็นใบหน้าของพวกเขาเพียงแค่เลือนราง เธอยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นใคร ภาพนั้นก็จางหายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง

ชลธิดาและเอมิกายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยสาร รัดเข็มขัดนิรภัยอยู่เช่นเดิม แต่สายตาของผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่ในนาทีแรกตอนพวกเธอทั้งสองก้าวขึ้นรถไฟมาไม่มีใครเลยสักคนที่จะสนใจมอง บัดนี้สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่พวกเธออย่างขุ่นเคือง นี่มันคืออะไรกัน ภาพที่ปรากฏเมื่อครู่คือภาพลวงตา เวทมนตร์หรือภาพอะไรกันแน่

“เอมี่ เมื่อกี้ เธอกับฉัน เราสองคน คือ เอ่อ ได้” ชลธิดาพูดจาตะกุกตะกัก เธอไม่แน่ใจนักว่าควรจะถามออกไปรึเปล่า เอมิกาจะสัมผัสสิ่งนี้ได้เหมือนเธอไหมหรือเธอหลุดเข้าในฝันบ้าๆ ของตัวเองอีกแล้ว

“เราสองคนมาช้าทำให้ผู้โดยสารคนอื่นเคือง พวกเราถูกปลาปิรันย่าโจมตี ฉันตัดสินใจว่ายหนีไปผิดอุโมงค์และฝูงโลมาเข้ามาช่วยเหลือ แถมฉันยังโดนหนวดปลาหมึกใหญ่รัดขาเอาไว้อีก ถ้าเธอไม่ช่วยฉัน ฉันคงตายอยู่ในทางรถไฟสายมรณะนี่แน่” เอมิกายืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง

“นี่มันคืออะไร เวทมนตร์หรือปาฏิหาริย์อะไรกันแน่ ทำไมมันต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ด้วย” ชลธิดาอุทานขึ้นเบาๆ เธอไม่ชอบใจนัก เธอไม่คิดว่าเส้นทางใต้พิภพจะมีอะไรที่โหดร้ายถึงชีวิต

“มันคือเวทมนตร์ นี่คือทางรถไฟสายมรณะ มีเพียงผู้กล้าหรือโชคดีเท่านั้นที่จะผ่านเส้นทางสายนี้ไปได้” เอมิกาตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“งั้นเราทั้งคู่ คงเป็นผู้โชคดีสินะ” ชลธิดาเปรยขึ้น

เธอคือทั้งผู้กล้าและผู้โชคดี พวกเราโชคดีที่เจอฝูงโลมาเข้ามาคุ้มครองในตอนที่โดนต้นตระกูลของปลาปิรันย่าพุ่งเข้าเล่นงาน แต่ฉันสิ โดนหนวดปลาหมึกเล่นงานเข้าอีก ถ้าไม่ได้ผู้กล้าและเสียสละอย่างเธอ ฉันคงพลาดรถไฟและต้องตายอยู่ใต้พิภพ” เอมิกาหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เธอแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากตายอยู่ใต้พิภพหรือนี่คือคำสาปร้าย

“ถึงขั้นตายเลยเหรอ นี่มันมากเกินไปแล้วนะ”

“เธอไม่รู้เหรอว่าการลงมายังเมืองบาดาลต้องแลกด้วยชีวิต รถไฟขบวนนี้จะคอยกลั่นกรองผู้โดยสาร ใครพลาด...โชคร้ายคือตายสนิทและจุติใหม่เป็นนาค โชคดีคือส่งกลับเมืองมนุษย์ โชคดีมากคือได้กลับทั้งที่ยังมีลมหายใจ โชคดีน้อยคือกลับไปแบบร่างไร้วิญญาณ”

“โหดร้ายมาก” ชลธิดาอุทานขึ้นอย่างตกใจ เธอรู้ว่ามันอันตรายมากที่ลงมายังมิติลี้ลับแห่งนี้ แต่ไม่คิดว่ามันจะโหดร้ายขนาดนี้ “นี่ก็ถือว่าโชคดีที่พวกเราสองคนไม่ได้พลาด”

“เราพลาด!! เรามาช้ากว่ากำหนด” เอมิกาเหลือบตามองนาฬิกาดิจิทัลที่แขวนอยู่บนผนังในตู้รถไฟ

ตัวเลขสีแดงปรากฏขึ้น เลขสิบห้ากะพริบถี่ ๆ

“เขามีกำหนดเวลาเอาไว้ ถ้าเรามาช้าก็ต้องพลาดรถไฟ ออกซิเจนหมดเมื่อไหร่ก็เป็นอาหารของปลา แต่แปลกมากที่การเดินทางครั้งนี้พวกเราได้ตัวช่วยเยอะเหลือเกิน” เอมิกาดูเป็นกังวลมากกว่าจะดีใจที่มีตัวช่วยมากมาย

“เธอไม่ดีใจเหรอที่มีตัวช่วยเยอะ” ชลธิดางุนงงมาก เพื่อนคนนี้แปลกพิลึก มีตัวช่วยเยอะกลับไม่ดีใจ

เธอเคยเล่นเกมส์ไหม” เอมิกาถามขึ้น “ทุกคนได้ตัวช่วยเท่ากันในตอนเริ่มต้น ถ้าเราใช้ตัวช่วยจนหมดโดยไม่ได้รับเพิ่ม เราก็จะตายก่อนจบเกมส์” ชลธิดานิ่งอึ้ง นี่คือเรื่องจริงหรือเอมิกาหวาดระแวงไปเอง บางทีการได้รู้อะไรน้อย ๆ มันก็ทำให้ชีวิตดีขึ้น เธอไม่ต้องคิดอะไรมากหรืออยู่ในมุมที่ปลอดภัยอย่างที่ธารเคยบอกเอาไว้ เอมิกาไปเจออะไรมา ทำไมนางถึงได้มองโลกในอีกมุมที่คนอื่นเขาไม่มองกัน จะว่ามองในแง่ร้ายก็ไม่เชิงทว่าในอีกมุมหนึ่งมันคืออีกด้านที่คนโลกสวยอย่างเธอมองข้าม

“รับอาหารและเครื่องดื่มอะไรไหมครับ คุณหนู” ชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่เข็นรถอาหารและเครื่องดื่มมาหยุดอยู่ตรงหน้า นี่เป็นบริการเสริมของทางรถไฟที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง

“ค่ะ” ชลธิดาตอบรับพลางเหลือบตามองไปที่อาหารบนรถเข็น

“หนูขอแซนวิส เค้กเนยสด องุ่น กล้วยหอม และน้ำเป๊บซี่” ชลธิดาเอ่ยรายการที่ต้องการอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย อาหารที่กินบนเรือหอยย่อยไปหมดแล้วเพราะความตื่นเต้นเมื่อครู่

“เชิญหยิบอาหารได้เองเลยครับ หยิบเอาเท่าที่คุณต้องการ” พนักงานตอบอย่างสุภาพ

“เบียร์ค่ะ” เอมิกาหยิบแก้วเปล่าจากชั้นที่สองของรถเข็นแล้วยื่นให้ชายคนนั้นพร้อมกับหยิบแซนวิสชิ้นใหญ่และแอปเปิลสีแดงจากรถเข็นอาหาร บริกรจับจ้องใบหน้าของเอมิกา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยอมรินเบียร์จากเหยือกเบียร์ใบใหญ่ให้เอมิกาเมื่อแน่ใจว่าเธออายุเกินสิบแปดปีแล้วแน่นอน

ชลธิดาไม่รอช้า เธอหยิบอาหารตามที่ต้องการทั้งแซนวิส ขนมขบเคี้ยว และผลไม้ พนักงานบริการบนรถไฟหยิบกระป๋องเป๊บซี่วางลงตรงหน้าให้เธอพร้อมกับแก้วพลาสติกหนึ่งใบ แล้วโค้งคำนับให้เธอหนึ่งทีอย่างนอบน้อมก่อนเดินจากไปบริการผู้โดยสารท่านอื่นต่อ

“อีกนานไหมกว่าพวกเราจะถึงที่หมาย

“สิบนาที” เอมิกาตอบพร้อมกับจิบเบียร์อย่างสบายอารมณ์

“ห๊า สิบนาที แล้วนี่ฉันจะกินทั้งหมดนี่ทันเหรอ ฉันหยิบมาเพียบเลยนะ พนักงานคนนั้นต้องหาว่าฉันเป็นพวกตะกละหรือไม่ก็อดอยากแน่ ๆ เลย” ชลธิดารีบกลืนแซนวิสคำโตอย่างรวดเร็ว

เอมิกาหัวเราะลั่นกับท่าทีรีบร้อนของเพื่อนใหม่ ชลธิดาก็หัวเราะเช่นกัน เธอรู้สึกดีใจที่มีเอมิกาเป็นเพื่อนร่วมทาง เธอจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองนั้นเมื่อไหร่ มันนานมากจนเธอลืมไปแล้วว่าเธอเคยสดใสร่าเริงและหัวเราะบ่อยครั้ง

นี่ช่างเป็นการเดินทางที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นและมหัศจรรย์เหนือคำบรรยายหรือนี่จะเป็นของขวัญวันเกิด...เธอขอพรนี้จากพ่อของเธอ พ่อผู้สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้

น้ำอยากให้ปีนี้เป็นปีที่มหัศจรรย์ที่สุด อยากให้เป็นปีที่น้ำได้เดินทางไปไกลที่สุด ผจญภัยมากที่สุดและเจอสิ่งที่หัวใจปรารถนามากที่สุด

ขอเยอะจริง โลภมากกว่าใครเพื่อนนะลูกคนนี้

เสียงของเธอและพ่อยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท เธอรู้สึกว่าพ่ออยู่ไม่ไกลจากเธอเลย แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพ่อของเธอได้ตายไปแล้วเพียงแต่ความรู้สึกมันยังยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้







รีวิวจากผู้อ่าน 2 รีวิว
  • Artsgirl
    เมื่อ 6 ปี 9 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณมากค่ะ
    • อ่านถึง : 10 วันฉันจะพิชิตใจเธอ 3/3
  • vrnk
    เมื่อ 6 ปี 9 เดือนที่แล้ว
    รอตอนต่อไป
    • อ่านถึง : 10 วันฉันจะพิชิตใจเธอ 3/3

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว