บทที่ 1
แรกพบเจอ
“แง้ๆๆ” เสียงหนูน้อยวัย3เดือนแผดเสียงร้องจ้า ปากเล็กๆอ้ากว้าง ใบหน้าบิดเบี้ยว พยายามที่จะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของมารดา
“ทำไมไม่ยอมกินนมแม่ล่ะลูก” กานดาพูดอย่างอ่อนใจ เมื่อเลิกเสื้อให้ลูกน้อยดูดปทุมถัน แต่นอกจากลูกจะไม่กินแล้ว ยังเมินหันหน้าไปทางอื่นอีก
ตั้งแต่เกิดมา เด็กหญิงอินทุภาก็ไม่เคยกินนมจากอกของมารดาเลยสักครั้ง ซ้ำยังร้องไห้ทุกครั้งที่กานดาอุ้ม
กานดาถอนหายใจเฮือก เมื่อเดินอุ้มลูกน้อยไปยังตะกร้าที่ใส่นมผงเพื่อชงนมให้อินทุภาดื่มกิน พลางบ่นงึมงำว่า
“ตกลงว่า...อินเป็นลูกของแม่จริงหรือเปล่าเนี่ย”
20ปีผ่านไป
ชายหนุ่มร่างสูง หุ่นนักกีฬา ผิวขาว เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกตัดจนสั้นรับกับใบหน้าเรียว ริมฝีปากสีชมพูอ่อนปิดสนิทจนเกือบจะเป็นเส้นตรง เหนือขึ้นมาคือจมูกที่เห็นเป็นสันโด่ง และดวงตาสีดำสนิทที่ถูกปกปิดด้วยแว่นตาสีดำอันใหญ่
ภัทรนัยก้าวลงจากรถเก๋งสีดำมันปลาบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงระฟ้า ที่มีป้ายชื่อสีทองแผ่นโตติดไว้เตะตาผู้ที่มาพบเห็นว่า 'บริษัท วารินทร์กรุ๊ป จำกัด' เป็นบริษัทผลิตน้ำได้มาตรฐานชื่อดังที่คุณภัทรชัย ผู้เป็นบิดาเพิ่งจะลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการแล้วให้ภัทรนัยบุตรชายคนเดียวของเขาขึ้นไปดำรงตำแหน่งสูงสุดแทน
ภัทรนัยอายุ32ปี จบปริญญาโทคณะบริหารจากสหรัฐอเมริกา เป็นที่รู้กันดีในวงสังคมชั้นสูงว่า...
ภัทรนัย หล่อ รวย หุ่นดี แต่...ไม่มีแฟน จนใครๆต่างพากันคิดว่าเขาอาจจะเป็นเกย์..
ซึ่งชายหนุ่มเองก็มักจะส่ายหัวให้กับคำลือที่ไม่มีมูลความจริงนั้นอยู่เสมอ ในเมื่อเขาไม่ได้เป็นเกย์อย่างที่ทุกคนคิด แล้วทำไมเขาต้องเก็บมาคิดมากด้วย จะมีก็แต่คุณเทพินผู้เป็นมารดาของเขาเท่านั้นที่ดูจะร้อนอกร้อนใจกับคำกล่าวหานี้จนมักจะพูดกรอกหูเขาอยู่ทุกวันว่า
“ตาภัทรนะตาภัทร ทำไมไม่หาแฟนเข้าสักคนล่ะลูก คนอื่นจะได้เลิกหาว่าลูกของแม่เป็นเกย์เสียที”
และเขาก็มักจะพูดตอบกลับไปเสมอว่า
“ไม่รู้ว่าเนื้อคู่ผมจะมาเกิดหรือยัง ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่เป็นคนที่ใช่สำหรับผมจริงๆ ผมก็ไม่คิดจะคบกับเขา”
นึกมาได้ถึงตรงนี้ ภัทรนัยก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขึ้นบันไดของบริษัท แต่ยังก้าวเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ร่างบางๆของใครบางคนก็มาชนเขาเข้าเต็มแรงเสียก่อน
“ว้าย” เธออุทานลั่นอย่างตกใจ เกือบจะหน้าคะมำลงไปเสียแล้ว ถ้าไม่มีมือแข็งๆเหมือนคีมเหล็กของภัทรนัยเอื้อมมาคว้าเอาไว้
“ขอบคุณ...ค” อินทุภาชะงักคำพูดลงเพียงเท่านั้น เมื่อดวงตากลมโตสบตากับดวงตาคมเข้มของเขาเข้าพอดี
เหมือนมีกระแสไฟแล่นปราดไปทั่วร่างจนหญิงสาวแทบจะยืนไม่อยู่ จนชายหนุ่มต้องออกแรงรั้งตัวเธอไว้ไม่ให้หล่นจากบันไดมากยิ่งขึ้น
“เป็นลมเหรอไงคุณ” ภัทรนัยถาม ก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาล้อมเพชรที่ข้อมือของตัวเอง
แย่จริงๆ ทำไมเขามาต้องเจอเรื่องยุ่งๆแบบนี้ตั้งแต่เช้าด้วยนะ มันทำให้เขาต้องเข้าไปทำงานสาย แต่จะโทษผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้ เพราะเธอคงไม่ตั้งใจจะเป็นลม เอ๊ะ... หรือว่าตั้งใจจะเป็นลมเพื่ออ่อยเขาเหมือนที่เขาเคยเจอผู้หญิงคนอื่นๆทำมาก่อนแล้วกันแน่นะ
ริมฝีปากสีชมพูกุหลาบเหมือนคนมีสุขภาพดีของภัทรนัยกระตุกยิ้มเยาะหยัน เมื่อเค้นเสียงถามออกมาว่า
“มุกนี้เก่าไปแล้วนะครับ ถ้าอยากคบกับผมก็บอกมาตามตรง”
คำถามนั้นทำให้อินทุภาต้องตาลุกโพลงทันที หญิงสาวบิดข้อมือออกจากมือใหญ่ ก่อนจะเชิดหน้าพูดขึ้น แม้ว่าหัวใจจะยังเต้นโครมครามอยู่ก็ตาม
“นิสัยคุณ...เปลี่ยนไปมากนะคะ คุณน้อย”
“คุณเรียกผมว่าไงนะ!” ภัทรนัยฉุนกึกทันที เมื่อสมัยเขายังเด็กอายุไม่ถึง10ขวบนั้น เขาเป็นเด็กที่ตัวเล็กผอม จนเพื่อนหญิงที่ชื่อว่าแก้วตาเรียกเขาว่า 'น้อย' ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหมั่นเล่นกีฬาและออกกำลังกายจนหุ่นสูงเพรียวอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
อินทุภาไม่ตอบอะไร ดวงตากลมโตหลุบลงอ่านป้ายชื่อที่อกเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว
'ภัทรนัย วัชระไวรินทร์ ตำแหน่งผู้อำนวยการ'
หญิงสาวท่องตำแหน่งกับชื่อของเขาซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะสลักจำทุกอย่างให้ฝังลงไปในสมอง ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มให้เขาอย่างสดใส
“ขอโทษนะคะที่เมื่อกี้เดินชน”
ภัทรนัยรู้สึกใจกระตุกชอบกลเมื่อเห็นรอยยิ้มเปิดกว้างที่มีลักยิ้มประดับที่ข้างแก้มของเธอ รอยยิ้มแบบนี้ช่างเหมือนกับใครบางคนที่เขาคุ้นเคยอย่างประหลาด
“คราวหน้าถ้าอยากได้เบอร์ผม คุณไม่ต้องใช้มุกเดินชนก็ได้นะ”
อินทุภาเปิดรอยยิ้มที่กว้างมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคู่โตกระพริบถี่ๆก่อนจะเลิกคิ้วเรียวขึ้นสูง
“หน้าตาอย่างฉันนี่มันเหมือนคนมีมุกเยอะนักหรือไงคะ”
ภัทรนัยยักไหล่ พลางพูดขึ้นมาเป็นเชิงตัดบทว่า
“ถ้าคุณไม่ได้เป็นอะไรแล้ว งั้นเห็นทีผมจะเข้าบริษัทเสียที”
“ค่ะ” อินทุภาพยักหน้า มองตามร่างสูงในชุดสูทสีดำที่ขึ้นบันไดไปทีละ2ก้าวด้วยแววตาหมายมาด
“ในที่สุด ฉันก็ได้เจอนายเสียทีนะนายน้อย ถึงนายจะจำฉันไม่ได้ แต่คำสัญญาที่นายเคยให้ฉันไว้ ฉันไม่มีวันลืม เพราะ...นายเป็นผู้ชายของฉัน!!”
เท้ายาวๆในรองเท้าหนังมันปลาบคู่แพงเดินเร็วราวกับพายุมาถึงห้องผู้อำนวยการที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก ภัทรนัยยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปในห้อง เลขาหน้าห้องก็ส่งเสียงหวานมาทักทายเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้อำนายการคนใหม่ขา” เนริสาลุกขึ้นจากโต๊ะของเลขาหน้าห้องแล้วมายืนไหว้ย่อตัวลงจนเห็นเนินอกอวบอิ่มที่ทะลักออกมาจากเสื้อคอกว้าง
“คุณคือ?”
“ดิฉันชื่อเนริสาค่ะ เป็นเลขาของคุณภัทรชัยมาก่อน” เนริสาแนะนำตัวเองอย่างมีจริตจะก้าน เธอเคยเห็นภัทรนัยติดตามผู้เป็นบิดามาที่บริษัทบ่อยๆแต่ดูเหมือนว่าภัทรนัยจะไม่ได้ให้ความสนใจจะมองเธอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะคอยชำเลืองแลสายตามาให้ท่าเขาอยู่บ่อยๆก็ตาม
แน่ล่ะสิ เขาทั้งหล่อ ทั้งดูดีเสียขนาดนี้ ย่อมต้องตกเป็นที่หมายปองของผู้หญิงโดยทั่วไป ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากคนอื่นๆเลย
และมาตอนนี้ก็เหมือนฟ้าประทาน เพราะอยู่ๆภัทรนัยก็ได้มาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการแทนคุณภัทรชัยผู้เป็นบิดา ส่งผลให้เนริสาถึงกับเนื้อตัวเต้นริกๆที่จะได้มีโอกาสอ่อยเหยื่อ เอ้ย ใกล้ชิดผู้ชายหล่อเหลาอย่างเขาได้มากขึ้น
“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเนริสา” ภัทรนัยยิ้มนิดๆ แต่แค่นี้ก็ทำเอาเนริสาแทบจะละลายไปกองอยู่กับพื้นเสียแล้วล่ะ
“คุณมงคลฝากให้ดิฉันเอาแฟ้มรายชื่อของผู้ที่มาสมัครงานในตำแหน่งเลขาคนใหม่ของผู้จัดการฝ่ายการตลาดมาให้คุณค่ะ” เนริสาบิดไปบิดมาสักครู่ ก่อนจะหันไปหยิบแฟ้มมาส่งให้ชายหนุ่มเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่ามงคลฝากงานเอาไว้
“แล้วทำไมไม่ให้ผู้จัดการฝ่ายตลาดเป็นคนคัดเลือกเลขาด้วยตัวเองล่ะครับ” เขาถามเมื่อยื่นมือไปรับแฟ้มมาถือไว้
“คุณภัทรชัยเคยสั่งเอาไว้น่ะค่ะ ว่าการที่จะรับคนเข้ามาทำงานต้องให้ผอ.เป็นคนเลือก เพราะถ้าได้คนมาทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะส่งผลเสียให้กับบริษัทได้ค่ะ” เนริสาอธิบายเสียงแจ๋ว ส่วนสายตาก็มองที่แผงอกกว้างของเขาอย่างหมายมั่นปั้นมือ
นี่ถ้าเธอได้มีโอกาสถอดเสื้อเขาออก อกของเขาจะกว้างขนาดไหนกันนะ แค่คิดเนริสาก็แทบจะเลือดกำเดากระฉูดเสียแล้ว
“อ้อ ครับ” ภัทรนัยพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลง
ชายหนุ่มเดินมานั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารแล้วกวาดตามองไปรอบๆห้อง
ห้องทำงานดูจะกว้างขวางเอาการ การตกแต่งก็ดูดีสมกับที่เป็นห้องของผู้อำนวยการ จะขาดก็แต่อย่างเดียวก็คือ... ของประดับที่ทำจากลูกแก้ว
“ลูกแก้วพวกนี้ แก้วให้น้อยนะ มันเป็นเหมือนตัวแทนของแก้ว” เด็กหญิงร่างเล็กแต่แก้มกลับยุ้ยพูดขึ้นแจ้วๆเมื่อส่งลูกแก้วสี่ลูกให้กับเด็กชายภัทรนัยที่ยื่นมือไปรับ
“เราชอบแก้ว” เด็กชายพูด ทำเอาแก้วตาต้องเบิกตากว้าง
“หมายถึงลูกแก้วนะ ไม่ได้หมายถึงเธอ” เด็กชายรีบพูดต่ออย่างร้อนรน เล่นเอาแก้วตาต้องตาคว่ำ
“รู้แล้วจ้ะ ว่าหมายถึงลูกแก้วน่ะ” แล้วเด็กหญิงแก้วตาก็ยื่นปากล่างออกมาอย่างแสนงอน ในขณะที่เด็กชายเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างขบขัน
ภาพต่างๆค่อยๆเลือนหายไปจากความนึกคิด เมื่อชายหนุ่มสะบัดหัวแรงๆเพื่อขับไล่ความทรงจำในอดีตออกไปให้หมด ก่อนจะเปิดแฟ้มที่อยู่ในมือ
มือใหญ่เปิดพลิกดูรูปของสตรีที่มาสมัครงานพร้อมประวัติส่วนตัวที่อยู่ข้างล่างรูปไปหน้าแล้วหน้าเล่า ก่อนที่เขาจะชะงักนิ้วลง เมื่อเขาเปิดไปเจอหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังส่งยิ้มหวานจ๋อยให้กับกล้อง
รอยยิ้มตรึงใจ ที่ได้เห็นทีไรก็อดใจเต้นไม่ได้
ชายหนุ่มกวาดตาลงอ่านประวัติของเธอทันที
นางสาวอินทุภา โชคดี อายุ22ปี เพิ่งจบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยXX ได้เกรดเฉลี่ย 3.55 ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทที่ไหนมาก่อน
ภัทรนัยยิ้มอย่างขันๆ พลางส่ายหน้าอย่างระอา เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นมาหยุดลงที่รูปใหญ่ที่แปะเด่นหรากลางหน้ากระดาษ
ที่แท้ ยัยผู้หญิงซุ่มซ่ามที่วิ่งมาชนเขาก็ชื่ออินทุภานี่เอง ท่าทางเพี้ยนๆแบบนั้นถ้ามาทำงานให้ทางบริษัทเขา บริษัทเขาจะไม่เจ๊งหมดหรือ?
ชายหนุ่มคิดในใจอย่างนึกตลก ก่อนจะพูดเบาๆว่า
“ถ่ายรูปสมัครงาน ใครเขายิ้มหน้าบานแปดกลีบอย่างเธอกัน ยัยบ๊องส์”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรี๊ดนี้ไม่ใช่เสียงกรี๊ดของใคร เป็นเสียงของอินทุภานั่นเอง
หลังจากที่เธอทำท่าสุขุมเดินมาดขรึมขึ้นรถกลับมาถึงบ้านแล้ว สิ่งแรกที่เธอทำก็คือ..เข้าห้องน้ำแล้วร้องกรี๊ดๆพร้อมกับยกมือขึ้นชกลมไปมาอย่างดีใจ
“ในที่สุด เราก็ได้เจอกันอีกครั้ง” อินทุภายิ้มออกมาอย่างเริงร่า เมื่อได้พบกับภัทรนัยได้รวดเร็วเกินคาด ร่างเล็กๆกระโดดโหย่งๆไปมาจนรอบห้องน้ำก่อนจะหมุนรอบตัวเองอีกสามรอบ แล้วก็...
พลั่ก!!
ร่างของเธอล้มลงไปนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้นห้องน้ำ ใบหน้าที่ร่าเริงสดใสค่อยๆหุบยิ้ม พร้อมกับนิ่วหน้าแล้วลูบคลำสะโพกที่กระแทกลงกับพื้นเต็มที่ของตัวเองป้อยๆ
“โอ๊ย เจ็บ” หญิงสาวครางเสียงอ่อย ก่อนจะร้องเรียกแม่ตัวเองเสียงดัง
“แม่ๆๆ แม่ขา”
กานดารีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วก่อนจะทุบประตูห้องน้ำแรงๆ
“อินเป็นอะไรไปลูก”
อินทุภาค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างยากลำบากแล้วปลดกลอนห้องน้ำออก
“ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะลูก” กานดาถามอย่างเป็นห่วง
“พาอินไปหาหมอทีสิคะแม่ เมื่อกี้อินล้มลงก้นกระแทกพื้นห้องน้ำค่ะ ระบมหมดแล้วแน่ๆเลย อินเจ็บมากๆเลยค่ะแม่ขา” อินทุภาส่งเสียงออดอ้อน พลางส่งสายตาที่บอกถึงความเจ็บปวดของตัวเองไปให้ผู้เป็นมารดา
“ล้มแค่นี้ ถึงกับต้องไปหาหมอเชียวหรือลูก”
“แต่อินเจ็บมากๆเลยนะคะแม่ เจ็บมากจริงๆ หมอต้องให้อินเข้าเฝือกที่ก้นแน่ๆเลย”
“ตายแล้ว แค่ก้นกระแทกแค่นี้ คงไม่ถึงกับต้องเข้าเฝือกหรอกลูก” กานดาพูดขันๆพลางช่วยพยุงร่างบุตรสาวออกจากห้องน้ำมานั่งบนโซฟาตัวยาว
“อินล้อเล่นค่ะแม่” อินทุภาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเอนกายลงซบบ่ากานดา
“วันนี้ดูเหมือนอินจะอารมณ์ดีนะ” กานดาถามยิ้มๆ
“ค่ะแม่ วันนี้อินมีความสุขที่สุด” เธอตอบ
อ๊บๆๆๆ
เสียงกบร้องที่เป็นเสียงสายเรียกเข้าของโทรศัพท์เธอดังขึ้น ทำให้อินทุภาต้องรีบควานหาในกระเป๋ากระโปรงของตัวเอง
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ อินทุภาพูดอยู่ค่ะ” เธอรับโทรศัพท์เสียงใส ก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะแย้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยินปลายสายพูดอะไรออกมา
“อ๋อ ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวกดปิดโทรศัพท์แล้วหันมากอดกานดาแน่นๆพร้อมพูดว่า
“แม่ขา เมื่อกี้ทางบริษัทวารินทร์กรุ๊ปโทรมาค่ะ เขารับอินเข้าทำงานแล้วนะคะ เขาให้อินไปทำงานพรุ่งนี้เลย!!”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว