ยามไฮ่แล้วแต่เขาไม่มายังเรือนหลังนี้!
ฟานหลิงซีคิดด้วยความประหลาดใจแกมพิศวง นางวางผ้าเช็ดหน้าปักในมือลงกับโต๊ะ หันไปยังเปาเปาที่กำลังนั่งชันศอกสัปหงกอยู่ที่โต๊ะกลางห้อง
“เปาเปา...” นางส่งเสียงเรียกไม่ดังนัก แต่เปาเปาถึงกับสะดุ้งผวา ลนลานถามขึ้นมาว่า
“ท่าน...ท่านอ๋องมารังแกคุณหนูหรือเจ้าคะ?”
ฟานหลิงซียิ้มขัน ก่อนจะส่ายหน้า ขณะเปาเปาใช้สองมือขยี้ตาอย่างงัวเงีย
“เกรงว่าเรื่องที่เจ้าคิดจะไม่มีทางเกิดขึ้น หากเจ้าง่วงก็ไปนอนเถิด ข้าเองก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
เปาเปาหันซ้ายแลขวา พอไม่เห็นร่างสูงใหญ่ก็ทำหน้างุนงง “ท่านอ๋องยังไม่มาหาคุณหนูอีกหรือเจ้าคะ?”
“เขาคงรู้ตัวว่าข้าไม่ยินดีนอนร่วมเตียงกับเขา จึงไม่มากระมัง...ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้นอนบนเตียงใหญ่สบายๆ”
“ไม่ดีกระมังเจ้าคะคุณหนู” เปาเปาทำหน้าไม่เห็นด้วย
“หากบ่าวไพร่ในจวนรู้ว่าคุณหนูกับท่านอ๋องแยกเตียงกันนอน จะเล่าลือกันสนุกปากเปล่าๆ อีกทั้งแทนที่คุณหนูจะได้รับความเคารพนับถือจากบ่าวไพร่ กลับจะได้รับท่าทีเมินเฉยไม่ใส่ใจจากบ่าวไพร่กลับมาเสียน่ะสิเจ้าคะ”
“มีเจ้าเพียงคนเดียวก็พอแล้ว” ฟานหลิงซีพูดยิ้มๆ
แต่เปาเปาทำหน้างอแง “คุณหนูก็ล้อบ่าวเล่นอีกแล้ว บ่าวไฉนเลยจะทำเรื่องต่างๆให้คุณหนูได้ทุกเรื่อง บ่าวมิได้มีสิบมือสิบหัวเสียหน่อย”
“เอาเถิดๆ ข้าจะพยายามทำตัวไม่เรื่องมากอย่างที่เจ้ากำลังกล่าวหาข้าอยู่นี่ ดีหรือไม่?”
เปาเปายิ้มแหะๆ “บ่าวมิได้กล่าวหาว่าคุณหนูเรื่องมาก แต่ท่านอ๋องเป็นสุภาพชน นิสัยใจคอหรือก็ใช้ได้ หากคุณหนูลืมไท่จื่อได้เร็ว บ่าวก็อยากให้คุณหนูพิจารณาท่านอ๋องบ้างเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันจนแก่เฒ่าอยู่แล้ว”
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของฟานหลิงซี “อย่าพูดถึงไท่จื่ออีก” นางติงเปาเปาเสียงเข้ม
“ข้าจะรู้สึกกับท่านอ๋องอย่างไรนั้น เจ้าไม่ต้องมาคิดแทนข้าหรอก มิใช่ว่าตอนข้าเรียกเจ้า เจ้าตะโกนออกมาว่าท่านอ๋องรังแกข้าหรอกหรือ เห็นได้ชัดว่าในใจเจ้าเองก็ระแวงรุ่นชินอ๋องมิใช่น้อย”
เปาเปาหน้ามุ่ยเมื่อถูกดุ อุบอิบแก้ตัวว่า “บ่าวก็แค่ห่วงคุณหนูเท่านั้นเอง บ่าวน่ะ...ชื่นชอบท่านอ๋องมาก หวังจะได้เลี้ยงดูท่านอ๋องน้อยจะแย่แล้ว” สิ้นคำ เปาเปาก็แลบลิ้นแล้วผุดลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดออกไปจากเรือนพักเพื่อกลับห้องของตัวเอง หลบหลีกการถูกนายสาวขว้างอะไรสักอย่างใส่หัวให้เจ็บตัวฟรีๆ
ฟานหลิงซีวางหมอนหยกในมือลงเมื่อเจ้าตัวดีชิงหนีหายไปอย่างว่องไว ก่อนนางจะถอนหายใจเบาๆ เป่าเทียนไขจนดับ เหลือเพียงห้องมืดที่สว่างรำไรเพราะจันทร์เสี้ยวที่เกาะเกี่ยวท้องฟ้า นางจึงเดินด้วยฝีเท้าเบากริบด้วยท่าย่างก้าวโกมุท คลานขึ้นเตียงห่มผ้านอน
มิรู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ นางรู้สึกว่าไอหนาวเย็นขุมหนึ่งชำแรกแทรกผ่านเข้ามาในทุกอณูเนื้อของร่างกาย
หิมะตกอีกแล้วหรือไร?
ฟานหลิงซีคิดอย่างง่วงงุนก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น หมายจะไปหยิบชุดคลุมเนื้อหนาสักตัวมาสวมบรรเทาความหนาวเพื่อจะได้หลับสนิทอีกครั้ง
แต่ทว่า...เมื่อนางพลิกกายกลับพบว่าตนนอนอยู่ในอ้อมแขนที่เปียกชื้นของหานฉีหลินที่ดูเหมือนกำลังหลับสนิท ร่างบางเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะนางคิดจะยกแขนหนาที่พาดกลางลำตัวนางออกแล้วยันเขาตกเตียง หานฉีหลินก็พึมพำพร่ำละเมอออกมาว่า
“เสด็จแม่รอง...ท่านสัญญาแล้วนะว่าจะมีชีวิตต่อไปนานๆเพื่อจะได้อุ้มลูกของข้า เสด็จแม่รองโปรดวางใจ...ข้าจะดีต่อซีซีให้มากๆพ่ะย่ะค่ะ”
ใจของฟานหลิงซีอ่อนยวบเหมือนเทียนไขที่ถูกไฟลน นางนอนมองใบหน้าคมคายที่ไรหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มด้วยสายตาค้นคว้า กลิ่นดอกเหอฮวนจากกายหนาโชยเข้าจมูกของนาง ฟานหลิงซีขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย...
ดอกเหอฮวน...ดอกเหอฮวน...
เขาอยากให้นางร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเขาจนแก่เฒ่าตายจาก แต่ช่างน่าเสียดาย...ที่นางไม่มีเขาอยู่ในหัวใจ
ในชีวิตนี้...นางไม่มีทางเชื่อใจบุรุษใดได้อีกแล้ว
นางกล้าตัดใจจากหานอิน นั่นเท่ากับว่านางได้ปลงผมบวชชีทางวิญญาณแล้ว!
“เสด็จแม่รอง...ลูกจะคืนความเป็นธรรมให้กับท่านและเสด็จพ่อ แม้เป็นสายเลือดเดียวกัน แต่หากมุ่งหมายสังหารข้า ข้าก็ไม่มีทางนับถือพวกเขาในฐานะพี่น้อง!”
เสียงละเมออีกคราทำให้ฟานหลิงซีขนลุก นางเผลอหยัดกายขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงร่นลงมา เผยให้เห็นร่างของหานฉีหลินสวมชุดสีฟ้าอ่อนที่เปียกชื้น เมื่อนางมองผ่านกระดาษบุหน้าต่างออกไปก็เห็นปรอยหิมะตกลงมา
เขาไปไหนมา...ถึงตากหิมะกลับมานอนกอดข้าเยี่ยงนี้
ฟานหลิงซีคิดเพียงชั่วครู่ ก็ทอดสายตามองพื้นห้อง ทบทวนคำพูดของหานฉีหลิน นางพอจะรู้เรื่องราวภายในวังหลวงมาบ้าง นางเคยได้ยินว่าซูกุ้ยเฟย สนมอันเป็นที่รักของเยียนตี้พระองค์ก่อนได้ประกาศต่อหน้าขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ว่า หวงตี้แต่งตั้งหานฉีหลินเป็นหวงตี้องค์ต่อไป แต่ฝูไทโฮ่วกลับค้นพบหลักฐานว่าราชโองการนั้นเป็นราชโองการปลอมจากคำบอกเล่าของจ้าวโสวฝู่ที่สามารถตรวจสอบลายมืออดีตหวงตี้ได้เพราะเป็นราชครูที่สอนหนังสืออดีตหวงตี้มาแต่วัยเยาว์
แต่จู่ๆ...เขาละเมอออกมาว่าจะทวงความเป็นธรรมให้เยียนตี้พระองค์ก่อน ดูเหมือนเรื่องราวมันจะซับซ้อนมากกว่าที่นางรู้มาในวัยแปดหนาว
วัยแปดหนาวหรือ?
ตอนนั้นนางได้พบสหายหนุ่มผู้หนึ่ง จะเรียกว่าเป็นสหายรู้ใจก็ได้ เพราะมีปฏิภาณเดียวกัน
แต่สหายรู้ใจผู้นั้นนางไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแซ่ การพบกันก็เป็นเพียงความบังเอิญ
ยามนั้น...นางยังไม่เคยเข้าพบหานอิน จะกล่าวว่าสหายหนุ่มผู้นั้น...เป็นรักแรกของนางก็ไม่ผิดนัก
น่าเสียดายที่นางไม่เคยพบเจอเขาอีกเลย ราวกับเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
สหายหนุ่มผู้นั้นมอบผ้าเช็ดหน้าลายดอกเหอฮวนให้นาง ส่วนนางก็มอบหรูอี้สั่วซึ่งท่านแม่ให้ติดตัวเป็นของแลกเปลี่ยน เก็บไว้ดูยามนึกถึงกัน
ผ้าเช็ดหน้าลายดอกเหอฮวน?
จริงสิ...ดอกเหอฮวน!
ฟานหลิงซีกลับมามองสามีที่นอนหลับสนิทจนได้ยินเสียงกรนเบาๆอีกครั้งด้วยสายตาซับซ้อนแปลกพิกล คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวของนางขมวดเข้าหากันแน่น
ไม่มีทางเป็นเขาผู้นี้ไปได้หรอก เด็กหนุ่มผู้นั้นมีผิวขาวราวกับหยกมันแพะเนื้อดีที่สุดในใต้หล้า มิได้ตัวดำปิดปี๋เช่นนี้!
อีกอย่าง...ใครๆก็สามารถชอบดอกเหอฮวนได้ มิจำเป็นว่าหมอนี่ชอบแล้วจะต้องเป็นเด็กหนุ่มผู้นั้นที่แสนสุขุมและสำรวมดั่งปัญญาชนเสียหน่อย!
ฟานหลิงซีกระเถิบกายออกห่างจากร่างที่เย็นชื้น ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมร่างตนอย่างแน่นหนา ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนรับไอเย็นเพราะมีผ้าห่มห่มร่างเพียงครึ่งเดียว
ฟานหลิงซีพยายามข่มตาให้หลับ แต่ภายในหัวของนางวนเวียนแต่จะคิดถึงคำละเมอของหานฉีหลินที่ต้องการแก้แค้นให้กับอดีตเยียนตี้และซูกุ้ยเฟย นางหวนนึกถึงหานอิน ในใจพลันหนาวสะท้าน
หากหานฉีหลินสังหารหานอิน...นางจะทนรับเหตุการณ์เหล่านั้นไหวหรือไม่!?
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว