ท่านอ๋องผู้นี้ข้าชิงชัง-บทที่ 4. เริ่มต้นชีวิตคู่ 100%

โดย  pusshunkayan

ท่านอ๋องผู้นี้ข้าชิงชัง

บทที่ 4. เริ่มต้นชีวิตคู่ 100%

อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นอาหารเลิศรสและหากินไม่ได้ง่ายนักในหมู่ชาวบ้านทั่วไป เป็นต้นว่า ไก่ป่าตุ๋นเห็ดหลินจือ พิราบขาวตุ๋นลำไย เนื้อห่านอบแห้ง แถมยังมีขนมหวานล้างปากอย่างขนมหอมเส้นทอง และขนมรากบัวหอมหมื่นลี้ ยังไม่รวมชาชั้นดีอย่างชาเบญจมาศที่เหมาะจะกินในช่วงฤดูใบไม้ร่วงพอดี

ฟานหลิงซีกวาดตามองอาหารแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองหานฉีหลินที่นั่งพิงพนักกอดอกมองดูอากัปกิริยาของนางอย่างเอ็นดู

“มีอะไรผิดปกติในความคิดของเจ้าหรือไม่?”

“ข้าไม่ชอบอาหารเหล่านี้!” นางย่นจมูกเชิดคางตอบอย่างท้าทาย

“เจ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน” หานฉีหลินตอบง่ายๆ แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวใส่ชามข้าวแล้วตั้งหน้าตั้งตากินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยยิ่งนัก

ฟานหลิงซีเห็นท่าทางการกินของเขาแล้วพาลน้ำลายสอ ลอบยกมือลูบท้องกับกลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า

แม้หานฉีหลินจะทำทีเป็นก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่เขาก็เหลือบมองอากัปกิริยาของนางบ่อยครั้ง พอเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ลอบยิ้มขบขันในใจ ก่อนจะแกล้งพูดเสียงขรึมจัดว่า

“ถ้าไม่กลัวว่าจะเป็นโรคกระเพาะ เจ้าก็กลับเรือนไปเถอะ ข้าเองก็ไม่ชอบให้ใครมานั่งมองข้ากินเหมือนกัน เพราะข้าเองก็กินข้าวไม่ลง”

ฟานหลิงซี “...!”

บิดามันเถอะ!

หน็อย...เอาคำพูดของนางมาย้อนใส่ได้เจ็บแสบจริงๆ

ฟานหลิงซีหยิ่งในศักดิ์ศรี นางจึงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินสะบัดก้นออกไปจากโถงกินข้าวในเรือนหลัก โดยมีเปาเปาค้อมคำนับหานฉีหลินขอขมาแทนนายสาว แล้วรีบวิ่งตามนางไป

“คุณหนูเจ้าคะ...เหตุใดถึงไม่กินมื้อเช้าล่ะเจ้าคะ?” เปาเปาถามอย่างสงสัยเมื่อวิ่งมาทันนายสาวที่เดินจ้ำพรวดๆ ราวกับคนฉุนขาด

"เจ้าไม่เห็นหรือว่าอาหารเหล่านั้นล้วนทำยากและใช้วัตถุดิบราคาแพงเพียงไร ต่อให้ต้าเยียนสงบสุขอุดมสมบูรณ์ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แต่ข้าก็ไม่ชอบใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยหรอกนะ!”

“โธ่...คุณหนู คนอย่างท่านอ๋องจะให้กินอาหารพื้นๆ เหมือนชาวบ้านทั่วไปได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ” เปาเปาโอดครวญแทนหานฉีหลินที่นางเริ่มรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาก เพราะตระหนักได้ว่าเขาเอาใจใส่นายสาวของตนจริงๆ

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าก็ไม่ชอบอยู่ดี”

พอกลับมาถึงเรือนปีกตะวันออก ฟานหลิงซีก็ต้องนั่งดื่มน้ำเก็กฮวยประทังความหิวจนแทบจะอ้วกออกมาเป็นน้ำเก็กฮวย เปาเปาได้แต่ยืนนวดหัวไหล่ให้นายสาวอย่างละห้อยละเหี่ยใจ

คุณหนู...ไยท่านถึงทิฐิมากถึงเพียงนี้

ขณะที่ฟานหลิงซีกำลังยกถ้วยน้ำเก็กฮวยถ้วยใบที่สามสิบของโมงยามนี้ขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางพะอืดพะอมอยู่นั้น ฉินกงกง...ขันทีพ่อบ้านประจำจวนก็ร้องขออนุญาตอยู่หน้าเรือน พอเปาเปาเดินไปเปิดประตูออกก็เห็นขันทีพ่อบ้านยืนอยู่เบื้องหน้าสาวใช้นางหนึ่งที่ถือถาดใส่จาจิ่งเมี่ยนสองชามเข้ามาวางบนโต๊ะ เมื่อสาวใช้ก้าวถอยหลังออกไปยืนอยู่หน้าเรือน ฉินกงกงก็พูดขึ้นว่า

“ข้าน้อยล่วงรู้ว่าหวางเฟยมิชื่นชอบใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ว่าหลังจากย้ายไปอยู่ที่ซีโจวใกล้ชายแดนเหนือ ชีวิตของหวางเฟยจะยากลำบากยิ่งกว่านี้ ท่านอ๋องนั้นคุ้นชินกับการอยู่กลางดินกินกลางทราย คุ้นชินกับการกินแป้งแผ่นไร้เนื้อสัตว์เป็นเวลานานนับปี แต่หวางเฟยอาจจะทนไม่ได้ ข้าน้อยขอแนะนำด้วยความหวังดี อีกไม่กี่วันก็ต้องจากเมืองฉางผิงไปแล้ว สิ่งใดที่ท่านอ๋องประทานให้หวางเฟยโปรดรับไว้ด้วยความชื่นชมเถิด อย่าได้ถือทิฐิที่ท่านอ๋องทำลายชีวิตคู่ของหวางเฟยเลย”

สิ้นคำ ฉินกงกงก็ปรบมือสามที สาวใช้อีกสองนางก็เดินถือแจกันประดับดอกเหอฮวนเข้ามาสองใบ เป็นแจกันที่ใบค่อนข้างใหญ่จึงต้องใช้สาวใช้สองคนช่วยกันถือ ใบหนึ่งใส่ดอกเหอฮวนสีแดง อีกใบใส่ดอกเหอฮวนสีขาว

“ดอกเหอฮวนหมายถึงดอกร่วมสุข หวังว่าหวางเฟยจะยินดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านอ๋องไปจนแก่เฒ่าขอรับ” แล้วฉินกงกงก็โค้งตัวคำนับก่อนจะเดินออกจากเรือนไปด้วยท่าทางสำรวมเหมือนขามา ทั้งที่เป็นขันทีวัยหนุ่มแต่ท่าทางการพูดจาและเดินเหินคล้ายคนสูงวัยที่ผ่านโลกมามากกระนั้น จนฟานหลิงซีบังเกิดความนับถือลึกๆ และคร้านที่จะยึดทิฐิต่อต้านหานฉีหลินต่อไปอีก จึงชวนเปาเปากินจาจิ่งเมี่ยนกันอย่างหิวโหย


หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ...ฟานหลิงซีก็ใช้เวลาว่างไปกับการปักผ้าเช็ดหน้าลายดอกไห่ถังด้วยด้ายมงคลห้าสี นางนั่งอยู่ริมหน้าต่างซึ่งมีต้นอู๋ถงที่เหลือเพียงก้านแข็งสีน้ำตาลแก่ยืนต้นอยู่ข้างหน้าต่างด้านนอก ฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ทุกอย่างดูคล้ายคนชราที่หงอมเหงา มองไปทางใดล้วนเหมือนมองโลกที่กำลังโศกเศร้า ฟานหลิงซีจึงหันมามองดอกเหอฮวนสีสวยในแจกันลายครามปากกว้างวาดลวยลายกิเลนสองใบด้วยสายตาไตร่ตรอง

พวกเขาไปหาดอกเหอฮวนที่บานในฤดูใบไม้ร่วงได้จากที่ไหนกัน?

จู่ๆ ปรอยหิมะแรกของปีนี้ก็ตกลงมาคล้ายปุยดอกหลิวสีขาวที่ปลิวปรายไปตามสายลม

“หิมะตกแล้ว” นางรำพึง เปาเปาเห็นหิมะตกก็พลันหนักใจ เปรยขึ้นว่า

“เยียนตี้มีรับสั่งให้พวกเราออกเดินทางจากฉางผิงทันทีที่คุณหนูกับท่านอ๋องยกน้ำชาที่จวนกั๋วกงเสร็จ หากวันนั้นหิมะตกหนัก การเดินทางคงยากลำบากเป็นแน่ คุณหนู...ท่านจะทนความยากลำบากไหวหรือเจ้าคะ”

ฟานหลิงซีถอนหายใจบางเบา “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ยากลำบากเพียงใดข้าก็ต้องจำทน ในเมื่อข้ายอมตัดไมตรีกับหานอินเอง”

ทันใดนั้น...ประตูเรือนก็ถูกผลักเปิดออก ร่างสูงสง่าในชุดสีเขียวหยก รัดด้วยเข็มขัดหยกขาว ห้อยถุงหอมสีฟ้าน้ำทะเลสาวเท้ายาวๆ ก้าวเข้ามาหาฟานหลิงซี นางมองเขาด้วยสายตาสงสัย ก่อนจะลดสายตาลงมองเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกหิมะสีขาวที่ดูน่าอบอุ่นซึ่งพาดอยู่บนท่อนแขนแกร่ง

“ห้องตัดเย็บเพิ่งนำเสื้อคลุมชุดนี้มาส่งให้ข้า ข้าเห็นว่าหิมะตกพอดีจึงถือโอกาสมาให้เจ้าลองสวมใส่ หากใส่พอดีกับรูปร่างของเจ้า การเดินทางไปยังชายแดนเหนือในอีกไม่กี่วันนี้ ข้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลมาก”

เปาเปายิ้มแป้นออกมาทันที แต่ฟานหลิงซียังคงนั่งนิ่งบนตั่ง มองเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวสะอาดราวปุยเมฆที่หานฉีหลินคลี่กางออกหมายจะสวมใส่ให้นางด้วยตัวเองด้วยสายตาซับซ้อน

“คุณหนูเจ้าคะ?” เปาเปาร้องเตือน

“ให้เปาเปาสวมให้ข้า” ฟานหลิงซีบอกสามีด้วยน้ำเสียงชืดชา

หานฉีหลินพยักหน้าแล้วส่งเสื้อคลุมให้เปาเปาที่รับมาด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ฟานหลิงซีจึงลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างสง่างาม ยอมสวมเสื้อคลุมที่ตัดเย็บเสร็จใหม่ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ดีอกดีใจยินดีปรีดาอย่างที่เปาเปาคาดหวัง

หานฉีหลินเองก็มิได้คาดหวังว่าภรรยาตัวน้อยจะพึงใจกับสิ่งที่เขาทำเพื่อนาง เขารู้ดีว่าตนทำให้นางต้องพลัดพรากจากคนที่นางรัก ดังนั้น...เขาจึงหวังเพียงว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจอันเย็นชาราวกับน้ำแข็งของนางจนหลอมละลายกลายเป็นธารน้ำอุ่นใสสะอาดแล้วหันมามองเขา ‘อีก’ สักครั้ง

“เดี๋ยวข้าจะให้คนเอาถ่านเงินมาเติมในกระถางไฟให้เจ้า ห้องจะได้อบอุ่นขึ้น แต่ข้าว่า...เวลาดีๆ เช่นนี้ออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะจะนับได้ว่าใช้เวลาคุ้มค่ายิ่งนัก”

แล้วหานฉีหลินก็หมุนตัวเดินออกจากเรือน แต่ฟานหลิงซีเอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งไว้เสียก่อนว่า

“ท่านไม่คิดจะปั้นตุ๊กตาหิมะหรอกหรือ?”

“ข้ายังมีงานอีกมากรอให้สะสาง แต่หากชายาของข้าอยากปั้นตุ๊กตาหิมะกับข้า ข้าก็จะยอมแบ่งเวลาอันมีค่าของข้าเพื่อเจ้าก็ได้” เขายิ้มกริ่ม

ฟานหลิงซีเชิดคางขึ้น พูดอย่างถือตัวว่า “ข้ามิบังอาจรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านหรอก เชิญท่านไปสะสางงานเถิด ข้านั้นไม่ค่อยชอบอากาศหนาวอยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะเลย!”

“อ้อ...ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเกลียดอากาศหนาว เช่นนั้นเมื่อไปถึงซีโจว คงจะลำบากเจ้าไม่น้อยเลย” แล้วหานฉีหลินก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พอคล้อยหลังร่างสูง เปาเปาก็อดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากต่อว่านายสาวอย่างไม่จริงจังนัก

“คุณหนู...ท่านถามท่านอ๋องว่าไม่ปั้นตุ๊กตาหิมะหรือแสดงว่าท่านอยากปั้นตุ๊กตาหิมะกับเขา แต่เหตุใดจึงไปตัดรอนความหวังดีและเอาใจใส่ของท่านอ๋องเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”

“ใครว่าข้าอยากปั้นตุ๊กตาหิมะกับเขา!” ฟานหลิงซีมองเปาเปาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

เปาเปาเกาหัวแกรกๆ ไม่เข้าใจ “อ้าว แล้วคุณหนูจะถามไปเพื่ออะไรล่ะเจ้าคะ?”

“เจ้าจำคำตอบของเขาได้หรือไม่ที่บอกว่าเขามีงานการต้องสะสางมากมาย ดังนั้นข้าถึงเข้าใจว่าเหตุใดสามีอย่างเขาถึงไม่มาขลุกตัวอยู่กับข้าตลอดเวลาทั้งที่เพิ่งแต่งงานกัน ต่อให้ข้าเกลียดขี้หน้าเขาแค่ไหนก็ตาม หากเขาเอาใจใส่ข้าจริงอย่างที่เจ้าว่า...เขาน่าจะยอมทิ้งงานการสักวันสองวันมาใช้เวลาร่วมกับข้าในเรือน หากงานสะสางมีมากจริงก็สามารถนำงานเหล่านั้นมาจัดการในห้องหนังสือของข้าได้

เฮอะ...เขามอบดอกเหอฮวนให้กับข้า ฝากฉินกงกงมาบอกว่าอยากให้ข้ายอมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขาไปจนแก่เฒ่า แต่ทว่า...ความจริงใจของเขาอยู่ที่ไหนกันเล่า ข้ายังไม่เคยเห็นแม้สักกะผีกเดียว เสื้อผ้าหรูหราน่ะเหรอ อาหารเลิศรสน่ะเหรอ สิ่งเหล่านี้เจ้าล้วนมองว่าเป็นความเอาใจใส่ของเขา

เปล่าเลย...มันคือนิสัยปกติทั่วไปของบุรุษที่มีนิสัยหยาบกร้านขาดความละเอียดอ่อน แม้หานอินจะทรยศข้า แต่เขาไม่ลืมที่จะปลีกเวลาแวะเวียนมาหาข้าที่จวนอาทิตย์ละสามครั้งไม่เคยขาดหรือส่งคนมารับข้าเข้าวังหากเขาต้องเรียนตำรากับไท่ฟู่ หานอินมีเวลาเพื่อข้าเสมอ...” พูดออกไปแล้วฟานหลิงซีก็รู้สึกขมคอ เพราะรู้ดีว่าตนพูดเช่นนี้ก็คล้ายกับปิดหูขโมยกระดิ่ง [1]

นางแค่ไม่อยากยอมรับว่า...หานฉีหลินเอาใจใส่นางมากจริงๆ มากกว่าที่หานอินเคยกระทำจนต้องพูดจาเปลี่ยนขาวให้เป็นดำไปเสีย เพื่อสั่งให้ใจตัวเองไม่หวั่นไหว

เปาเปาหน้าเจื่อนลง อุบอิบว่า “คุณหนูอย่าคิดถึงไท่จื่ออีกเลยเจ้าค่ะ ยามนี้...ในใจคุณหนูควรจะมีแต่ท่านอ๋อง หาไม่...จะเป็นดั่งดอกซิ่งแดงที่ยื่นออกนอกกำแพง ถึงตอนนั้น...” เปาเปาไม่อยากคิดถึงผลที่จะตามมา

“เปาเปา...เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าครั้งแรกที่เราเจอท่านอ๋อง เราเจอเขาที่ไหน?”

เปาเปาทำตาโต “ที่หอโคมเขียวเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเขาใช้เวลาที่นั่นกับใคร”

“อ่า...ฮวาขุยนามว่ากุ้ยฮวาเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายนอกใจ!”

เปาเปาตอบไม่ได้ จึงได้แต่นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกมาพับเก็บเข้าตู้เงียบๆ ปล่อยให้นายสาวนั่งปักผ้าเช็ดหน้าตามเดิม

พอถึงยามเที่ยง...ขันทีพ่อบ้านฉินกงกงก็มาเชิญฟานหลิงซีไปกินหม้อไฟเล็กกับหานฉีหลิน แต่นางปฏิเสธ...บอกให้เขานำน้ำแกงเม็ดบัวกับโจ๊กซี่โครงหมูมาให้นางกับเปาเปากินในเรือน

ฉินกงกงอยากจะพูดถ้อยคำบางประโยค แต่สุดท้ายก็ลอบส่ายหน้าแล้วโค้งตัวคำนับ ออกไปทำตามคำสั่ง


“นางไม่มา” หานฉีหลินพูดกับฉินกงกงที่ยืนโค้งตัวมองเขาด้วยสายตาห่วงใยอย่างลึกซึ้ง

“ข้าน้อยไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมหวางเฟยอย่างไรดีขอรับ”

“ช่างเถิด” หานฉีหลินยิ้มขม สีตาหม่นเศร้า “เพียงนางไม่สั่งให้เอาดอกเหอฮวนออกจากเรือนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”

“แต่ท่านอ๋อง...เหตุใดท่านไม่พูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นกับหวางเฟยเล่าขอรับ”

“นางไม่อยากจดจำ เช่นนั้นข้าจะไปรื้อฟื้นทำไม?”

“แต่...”

“เอาเถิด...สั่งให้พ่อครัวทำหม้อไฟเล็กส่งไปที่เรือนของนาง ถึงอย่างไรนางก็ไม่ชอบอากาศหนาว กินเพียงน้ำแกงเม็ดบัวกับโจ๊กซี่โครงหมูจะคลายหนาวได้อย่างไร ข้ายังไม่อยากให้นางเป็นโรคลมหนาวเพราะได้รับไอเย็นมากเกินไป ข้ายังอยากให้นางอยู่ข้างกายข้าไปอีกนาน”

“ขอรับ”

ฉินกงกงออกไปยังห้องครัว กู้ซิ่นก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ เขาลงนั่งพับขาบนเบาะขาว วางกระบี่ลงข้างกาย แล้วพูดกับหานฉีหลินด้วยน้ำเสียงแตกพร่าว่า

“ซูกุ้ยไท่เฟยล้มประชวรหนักขอรับ ข้าน้อยลอบพาท่านหมออี๋ไปรักษา พบว่าซูกุ้ยไท่เฟยล้มป่วยด้วยโรคใจมานาน หมดทางเยียวยาแล้วขอรับ”

หานฉีหลินเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร มองจ้องกู้ซิ่นด้วยสายตาตกตื่น มิทันไรเขาก็ลุกขึ้นยืนพรวดพราด เดินไปคว้าเสื้อคลุมหนังหมีดำมาสวมใส่ สั่งการทันทีว่า

“ข้าจะไปพบเสด็จแม่รอง เจ้าไม่ต้องตามมา คอยอยู่ดูแลคุ้มครองหวางเฟย!”


[1] หลอกตนเอง

****************************************************************

เรื่องนี้เขียนใกล้จบแล้วนะคะและรอขัดเกลาเนื้อเรื่อง มี 15 ตอนกับอีกหนึ่งบทส่งท้ายเล็กๆ คิดว่าคงจะวางแผงเร็วๆนี้

เรื่องน้ีเดินเรื่องรวบรัด ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่คิดว่าน่าจะมีความฟินระหว่างพระนางไม่มากก็น้อยค่ะ

ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่านนะคะ

จะอัพให้อ่านถึงบทที่ 7 นะคะ

รักมากมาย

เหวิ่นโหรว

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว