วันต่อมาหลังจากไปพบท่านเจ้าเมืองแล้ว นอกจากตรานายอำเภอ หลี่ตงเจี๋ยก็ได้รับเงินเดือนล่วงหน้าถึงหนึ่งปีรวมถึงเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ รวมแล้วสิบเล่มเกวียน เงินสนับสนุนตามคำสั่งจากท้องพระคลังอีกสองพันตำลึง
พร้อมกับคำสำทับว่า หากไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็ไม่ต้องยุ่งยากรายงานมาที่จวนเจ้าเมือง แล้วยังมีเอกสารมอบอำนาจสิทธิ์ขาดของอำเภอเจินหนิงให้หลี่ตงเจี๋ยเบ็ดเสร็จ
นับจากนี้อำเภอเจินหนิงล้วนแต่อยู่ในความรับผิดชอบของหลี่ตงเจี๋ยทั้งหมด
ไม่ว่าเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำล้วนไม่เกี่ยวข้องกับจวนเจ้าเมือง!
หลี่ตงเจี๋ยแม้จะรู้สึกโมโหจนแทบล้มโต๊ะ แต่เพราะนิสัยสุขุมใจเย็นอันสืบเนื่องมาจากการเป็นบุตรชายคนโต นอกจากคำอวยพรที่มีให้ท่านเจ้าเมือง เขาก็เดินกลับโรงเตี๊ยม
เหมือนสิ่งที่กดทับลงมาบนบ่าเป็นเพียงการหาเงินห้าตำลึงเพื่อซื้อหมั่นโถว ไม่ใช่อำเภอที่แร้นแค้นที่สุด
“นายท่าน วันนี้จะออกเดินทางแล้วหรือขอรับ” เด็กเลี้ยงม้าวิ่งออกมาทักทายแขกคนสำคัญอย่างเป็นมิตร
“ใช่ ข้ากำลังจะเดินทางไปอำเภอเจินหนิง เจ้ามีคนนำทางแนะนำให้ข้าหรือไม่” พูดจบหลี่ตงเจี๋ยก็ยัดเงินหนึ่งตำลึงให้เด็กเลี้ยงม้า
“มีขอรับ พี่เขยของข้าเป็นพรานล่าสัตว์แถวเขตตำบลหนิงอัน เขาต้องรู้ทางแน่ นายท่านรอข้าสักครู่”
ตำบลหนิงอันเป็นตำบลในพื้นที่ของอำเภอเจินหนิงติดกับตำบลจงหลุนของอำเภอจงเจิน โดยพื้นที่ส่วนมากเป็นป่าดิบแล้ง ไม่ต่างจากตำบลหนิงซู่ หนิงหั่ว และหนิงปัว ที่อยู่ในอำเภอเจินหนิง
แม้จะเป็นอำเภอที่มีพื้นที่มากที่สุดแต่กลับมีชาวบ้านอาศัยอยู่น้อยมาก แต่ละหมู่บ้านมีประมาณสามสิบครัวเรือนเท่านั้น
ไม่นานนัก เด็กเลี้ยงม้าก็เดินนำพี่เขยของเขามาพร้อมแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน
“คารวะนายท่าน”
นายพรานคนนี้ชื่อว่าจงหู่ต้าน[1] แม้ชื่อเป็นพยัคฆ์แต่ลักษณะท่าทางดูแล้วคงเป็นแค่ไข่เท่านั้น
“เจ้าสะดวกค้างคืนที่ตำบลหนิงซู่หรือไม่ พรุ่งนี้จะมีเกวียนเสบียงที่จวนท่านเจ้าเมืองส่งไปถึง แล้วเจ้าค่อยกลับมาพร้อมพวกเขา”
เมื่อตกลงค่าใช้จ่ายกันเรียบร้อย จงหู่ต้านก็ขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับรถม้าคู่กับหลี่ตงเจี๋ย
ตลอดเส้นทางเขาแนะนำเส้นทางที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านตำบลและอำเภออื่น ๆ อย่างช่ำชอง จนหลี่ตงเจี๋ยต้องหันกลับมาพิจารณานายพรานหนุ่มที่ร่าเริงเกินเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง
“ทางเส้นนี้เชื่อมกับเมืองลู่หนาน เทียบกันแล้วพวกเขามีเนื้อสัตว์ มีข้าว มีแป้ง แต่พวกเรามีเงิน ร่ำรวยกว่ามากขอรับ”
หลี่ตงเจี๋ยนับหนึ่งถึงสิบวนซ้ำไปสงบใจตัวเอง เงินพวกนั้นใช้กินแทนข้าวได้หรือ!
การสนทนาตอบโต้ของสองคนที่ขับรถม้าอยู่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งรถม้าหยุดอยู่ตรงหน้าหมู่บ้านที่แห้งแล้งแห่งหนึ่ง
หมู่บ้านแห่งนี้ดูแล้วย่ำแย่มากกว่าสภาพข้างทางที่ผ่านมาราวยอดผากับเหวลึก เพราะสุดสายตารอบทิศเมื่อยืนอยู่จุดนี้มีต้นไม้น้อยจนแทบนับได้
ลำธารที่มีก็แคบกว่าคูน้ำที่ขุดเองเสียอีก
หลี่ตงเจี๋ยพิจารณาพื้นที่โดยรอบได้ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนใส่ชุดขุนนางสีซีดมุ่งหน้ามาหาเขาด้วยความยินดี
แม้ว่าที่นี่จะเปลี่ยนนายอำเภอทุกหกเดือนและไม่เคยมีการพัฒนาอย่างจริงจังมาก่อน
กลุ่มของผู้นำตำบลล้วนเป็นคนในพื้นที่ที่เคยออกไปร่ำเรียนศึกษาในเมืองหลวงมาก่อนเพียงแต่ว่าสอบไม่ผ่าน
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าคนที่มารับตำแหน่งใหม่คือเจ้าหนูขายบะหมี่ที่พวกตนคุ้นเคยก็เริ่มตั้งความหวังไว้ไม่น้อย
“ใต้เท้าหลี่ ข้าผู้นำตำบลลู่ การเดินทางลำบากหรือไม่ขอรับ”
ผู้นำตำบลผู้นี้มีชื่อว่า ลู่สือหง มีรูปร่างสูงใหญ่ดูแล้วเป็นคนที่พึ่งพาได้คนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
เขาแสดงความนอบน้อมให้นายอำเภอคนใหม่เพื่อไม่ให้มีพวกแตกแถวกระด้างกระเดื่องขึ้นมา
โครม!
เสียงดังโครมครามจากในรถม้าเรียกความสนใจจากทุกคนไปจนหมด จงหู่ต้านรีบกระโดดลงจากรถม้าแล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังของนายจ้าง จากนั้นสายตาของทุกคนก็หันไปกดดันเจ้าของรถม้าตัวจริง
“คงเป็นหนูเข้าไปหาอาหารกระมัง”
หลี่ตงเจี๋ยเดินเข้าไปเปิดประตูรถม้าด้วยความแปลกใจ ด้วยรู้อยู่ว่าด้านในนี้มีเพียงเสื้อผ้าสี่ฤดู สมุนไพรรักษาโรค เครื่องนุ่งห่มและอาหารแห้งที่บรรจุอยู่ในหีบเท่านั้น
แต่ทันทีที่ประตูรถม้าถูกเปิดออก สิ่งที่อยู่ด้านในไม่ได้มีเพียงหีบบรรจุข้าวของเท่านั้น
ดวงตาใสกระจ่างของเจ้าหนูตัวเล็กสบจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัว แต่ก็ปนไปด้วยความเคารพนอบน้อม
“เอ๋? นางหนูจาง เจ้ามาได้อย่างไร” จงหู่ต้านร้องทักเพื่อนบ้านตัวน้อยด้วยความแปลกใจ
“ท่านอาจง ข้าตามนายท่านผู้นี้มาเจ้าค่ะ”
“แล้วตามมาทำไมกัน”
รั่วอิงไม่ตอบคำถามของจงหู่ต้าน แต่เงยหน้ามองผู้มีพระคุณที่ช่วยซื้อตัวและให้อิสรภาพกับนางแทน
“นายท่านบอกว่าถ้าข้าไม่มีที่ไปก็ให้ข้ามาหาท่านที่อำเภอเจินหนิง แต่ข้าไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะมาอำเภอเจินหนิงได้ และยิ่งไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนในอำเภอเจินหนิง ดังนั้น เอ่อ...”
“ดังนั้นเจ้าจึงแอบขึ้นรถม้าของข้าเพื่อตามข้ามาที่นี่”
รั่วอิงพยักหน้ารับ...
ลู่สือหงที่เห็นว่าเหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนอย่างที่คิด และเด็กน้อยที่ตามหลี่ตงเจี๋ยมาก็ไม่ได้ถูกลักพาตัว ดังนั้นจึงพูดให้ทุกคนพานายอำเภอคนใหม่กับสาวใช้คนใหม่ไปยังจวนนายอำเภอ
“จวนสภาพดีมากเช่นนี้เกรงใจพวกท่านยิ่งนัก” หลี่ตงเจี๋ยกล่าวกับพวกของลู่สือหงด้วยความเกรงใจกว่าเดิม
“ใต้เท้าเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราแค่ช่วยทำความสะอาดเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” ลู่สือหงพูดพลางปาดเหงื่อด้วยความละอายใจ
ความจริงแล้วจวนนายอำเภอก็ไม่ต่างจากบ้านเรือนของชาวบ้านมากมายนัก เพียงแต่นายอำเภอคนก่อนเห็นว่าเป็นลูกคหบดีทนความลำบากไม่ได้ พ่อแม่ของเขาจึงได้สร้างจวนใหม่ที่แข็งแรงทนทานและสะดวกสบายให้ลูกชายอยู่
อนิจจา คำสั่งย้ายมาถึงหลังจากขึ้นบ้านใหม่ไปได้แค่สามวัน ดังนั้นระหว่างย้ายไปที่ใหม่กับจมปลักอยู่ที่นี่ นายอำเภอคนเก่าจึงรีบร้อนเก็บของย้ายออกไปตั้งแต่คืนนั้น ทิ้งจวนใหม่ไว้ให้ชาวบ้านดูยามหวนคิดถึง
.................................................
[1] หู่ต้าน (虎蛋) แปลว่า ไข่เสือ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว