ภายในห้องพักผู้ป่วย หลังจากที่หลี่ซีเหวินออกไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มพูดคุยกัน
“สามีของเธอทำตัวเหมือนหมาเลยนะ วันนี้เขาดุมาก”
“อาจเป็นเพราะเขาเห็นประธานเจียงแล้วรู้สึกหึงหวงขึ้นมาก็ได้”
“ถ้าเธอต้องการฉันจะบอกให้ เธอควรหย่ากับเด็กคนนี้โดยเร็วที่สุด ประธานเจียงคนนั้นเป็นคนดีมาก เขาหล่อเหลาและมากความสามารถ แถมยังร่ำรวยและมีอำนาจ เขาดีกว่าสามีของเธอตั้งเยอะ”
“ถ้าฉันรู้จักกับผู้ชายอย่างประธานเจียงนะ ฉันคงยินดีทำทุกอย่างเลยล่ะ”
โจวเหวินจิ้งกำไส้กรอกแฮมในมือแน่นและไม่สนใจใครเลย บางทีสิ่งที่คนอื่นพูดมานั้นอาจจะถูกต้องก็ได้ และพวกเขาอาจจะพูดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเธอเอง แต่ลึก ๆ ในใจ เธอยังคงมีความหวังอันริบหรี่ในตัวหลี่ซีเหวินอยู่
ที่ตู้โทรศัพท์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล หลี่ซีเหวินโทรหาจ้าวเจี้ยนเพื่อฝากข้อความไว้เพียงสี่คำ “ติดต่อกลับด่วน” และลงชื่อว่าคือบอสหลี่
ปี 1990 เป็นยุคของเพจเจอร์ ในเวลานี้เพจเจอร์ดิจิทัลเครื่องหนึ่งมีราคาหนึ่งถึงสองพันหยวนเลยทีเดียว ในขณะที่เพจเจอร์แบบดิสเพลย์ของจีนมีราคาถึงห้าพันหรือหกพันหยวนเลย
แม้หลายปีต่อมาสิ่งนี้จะล้าสมัยไปแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากในโลกปัจจุบัน เครื่องที่จ้าวเจี้ยนใช้คือเพจเจอร์ฮันเซียน
จ้าวเจี้ยนคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงสังคม พ่อแม่ของเขาเป็นข้าราชการที่มีหน้าที่การงานมั่นคง ดังนั้นจึงมีอันธพาลมากมายรายรอบตัวเขาและหลี่ซีเหวินก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เสียง กริ๊ง กริ๊ง...” หลี่ซีเหวินยกโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเสียงของจ้าวเจี้ยนก็ดังออกมาจากในโทรศัพท์
“สวัสดี คุณคือบอสหลี่ใช่ไหมครับ” จ้าวเจี้ยนถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่ ฉัน หลี่ซีเหวิน”
“เจ้าบ้า! แกกำลังมองหาความตายอยู่หรือไง แม้แต่ฉันแกยังกล้าเล่นตลกด้วยแบบนี้”
เมื่อได้ยินว่าเป็นหลี่ซีเหวิน จ้าวเจี้ยนก็อดที่จะโกรธไม่ได้ หลังจากที่พูดจบ เขาก็สบถด่าคำหยาบคายต่ออีกสองสามคำ
“น้องชาย อย่าพึ่งโกรธสิ ถ้าไม่บอกว่าเป็นบอสหลี่ นายจะโทรกลับเร็วขนาดนี้ไหมล่ะ นอกจากนี้ฉันมีเรื่องจริงจังจะพูดกับนายจริง ๆ นะ”
“แกมีธุระอะไร ไอ้ขยะ” จ้าวเจี้ยนยังคงด่าต่อ “ในเมืองเฉาโจวมีใครไม่รู้บ้างว่าแก หลี่ซีเหวินเป็นหมาข้างถนน”
ความหนาวเย็นพาดผ่านดวงตาของหลี่ซีเหวิน แต่เขายังคงพูดอย่างใจเย็นว่า “เรื่องนี้ไม่สะดวกคุยทางโทรศัพท์ ไม่อย่างนั้นพวกเรามาคุยกันขณะรับประทานอาหารที่โรงแรมซินเย่ดีไหม ฉันเลี้ยงเอง”
“โรงแรมซินเยว่อย่างนั้นเหรอ แกเนี่ยนะจะเลี้ยงฉัน” จ้าวเจี้ยนตกใจ
โรงแรมซินเยว่เป็นสถานที่ที่มีคนไปทานอาหารมากที่สุดในเมืองเฉาโจว คนที่ไปทานอาหารที่นั้นมีทั้งนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ แล้วคนอย่างหลี่ซีเหวินจะไปมีปัญญาจ่ายได้อย่างไร จ้าวเจี้ยนงงมากและเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ หลี่ซีเหวินยังพูดว่า “ถูกต้อง นายอย่าลืมโทรหาลุงรองของนายที่เป็นประธานโรงงานแปรรูปไส้กรอกแฮมด้วยนะ ฉันต้องการเจรจาธุรกิจกับเขา”
“แกจะเจรจาธุรกิจกับลุงรองของฉันอย่างนั้นเหรอ หลี่ซีเหวิน แกเมาหรือเปล่า” น้ำเสียงของจ้าวเจี้ยนเปลี่ยนไป
“คิดว่าฉันเมาหรือเปล่าล่ะ ที่โรงแรมซินเยว่ ฉันจะรอนายจนถึงเวลาสามทุ่ม ถ้าไม่มา ก็ลืมมันไปเถอะ”
หลังจากที่หลี่ซีเหวินพูดจบ เขาก็วางโทรศัพท์ไปทันทีโดยไม่รอให้จ้าวเจี้ยนตอบกลับ
“ฮัลโหล ฮัลโหล...”
จ้าวเจี้ยนผงะและขมวดคิ้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลี่ซีเหวินจะกล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้ เขาจึงด่าทออย่างโกรธเคืองต่อไป “มันแกล้งทำเรื่องบ้าบออะไรเนี่ย มันต้องการเจรจาธุรกิจกับลุงรองของฉัน มันมีค่าพอไหม”
“พี่เจี้ยนอย่าโกรธไปเลย คำพูดของเจ้านั้นไว้ใจไม่ได้หรอก” หวังเหลียงพูดอยู่ข้าง ๆ
“ใช่ ไอ้ขยะนั่นจะมาเจรจาธุรกิจอะไรได้ มันยังให้เมียเลี้ยงดูอยู่เลย” ลูกน้องอีกคนชื่อซุนจีก็พูดเสริมเช่นกัน
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันไปเอาหน้าตามาจากไหน” จ้าวเจี้ยนสะบัดหน้า “แต่ในเมื่อมันกล้าพูด ฉันก็จะให้โอกาสมัน ถ้ามันไม่เลี้ยงอาหารล่ะก็ ฉันจะทำให้มันอับอายไปเลย”
หลังจากที่จ้าวเจี้ยนพูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรหาลุงรองของตัวเองทันที เมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเจี้ยน หวังเหลียงและซุนจีที่อยู่ข้าง ๆ ก็มีเหงื่อซึมออกมาแทนหลี่ซีเหวิน แม้ว่าจ้าวเจี้ยนจะไม่สามารถฆ่าคนได้ แต่การเตะต่อยหลี่ซีเหวินย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องพูดว่าหากอีกฝ่ายทำผิดต่อลุงรองของจ้าวเจี้ยนเลย มันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน
โรงแรมซินเยว่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเฉาโจว หากได้มาทานอาหารที่นี่ ค่าอาหารหนึ่งโต๊ะราคาอย่างน้อย 180 หยวน ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ราคานี้เป็นเงินเดือนมากกว่าครึ่งของคนทำงานทั่วไป ดังนั้นผู้ที่สามารถมาทานอาหารที่นี่ได้บ่อย ๆ จะต้องมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี
คืนนี้ ธุรกิจของโรงแรมดีมากและห้องส่วนตัวทั้งห้าห้องได้ถูกจองเต็มหมดแล้ว ดังนั้นหลี่ซีเหวินจึงได้แต่นั่งรออยู่ที่ห้องโถงเท่านั้น
เวลาสองทุ่มครึ่ง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในโรงแรม ผู้นำคือหยางเป่ากั๋วซึ่งเป็นลุงรองของจ้าวเจี้ยน เขาสวมแจ็คเก็ตหนังถือโทรศัพท์มือถือและหนีบกระเป๋าหนังไว้ที่แขนอย่างนักธุรกิจ
ด้านหลังหยางเป่ากั๋ว คือจ้าวเจี้ยนที่เชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง โดยมีหญิงสาวท่าทางยั่วยวนคนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ตามมาด้วยหวังเหลียง และซุนจี
หลี่ซีเหวินไม่แปลกใจเลยที่เห็นคนจำนวนมากมาในวันนี้ เขารีบลุกขึ้นและพูดว่า “น้องชาย นายมาแล้วเหรอ”
เมื่อจ้าวเจี้ยนและคนอื่น ๆ เดินเข้ามา เขาก็มองไปที่หยางเป่ากั๋วและพูดอย่างสุภาพว่า “คุณคือลุงคนรองของน้องเจี้ยน ประธานหยางใช่ไหมครับ เชิญนั่งก่อน”
หยางเป่ากั๋วพยักหน้าเบา ๆ แต่ไม่ได้มองไปที่หลี่ซีเหวินโดยตรง แต่มองโดยรอบและก่อนที่เขาจะทันได้นั่งลง ก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ฉันพาสหายมาทานอาหารที่นี่เดือนละหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มานั่งทานอาหารในห้องโถง”
“นั่นสิ ทำไมแกถึงไม่จองห้องล่ะ” จ้าวเจี้ยนตำหนิด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสุข “ทำไมถึงปฏิบัติต่อพวกเราในฐานะแขกธรรมดาแบบนี้”
“ขอโทษด้วยนะครับ ในใจของผมพวกคุณคือแขกผู้มีเกียรติแน่นอน แต่ห้องส่วนตัวเต็มหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นผมจะต้องจัดการให้แน่” หลี่ซีเหวินอธิบายอย่างจริงใจ
เมื่อเห็นท่าทีของหลี่ซีเหวินแล้ว หยางเป่ากั๋วจึงนั่งลง “ลืมมันไปเถอะ”
เมื่อได้เห็นฉากนี้ จ้าวเจี้ยนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดังนั้นเขาจึงได้แต่พูดกับหลี่ซีเหวินอย่างดุร้ายว่า “หลี่ซีเหวิน แกอย่ามาใช้เล่ห์กลนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของหลี่ซีเหวินอีกต่อไป แต่ลุกขึ้นและโบกมือเรียกบริกรและพูดว่า “บริกร สั่งอาหารด้วย”
ไม่นานบริกรก็นำเมนูมาให้ หลังจากที่จ้าวเจี้ยนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลอกตาไปที่หลี่ซีเหวินแล้วพูดว่า “ในเมื่อพวกเรากำลังจะเจรจาเรื่องธุรกิจ ก็ควรทานอาหารดี ๆ สักหน่อย ลุงรองของฉันปกติเป็นแขกวีไอพีของโรงแรมมากมาย ดังนั้นจึงต้องเลือกทานอาหารที่แพง ๆ สักหน่อย”
ขณะที่พูด เขาก็เหลือบมองไปที่หลี่ซีเหวินและถามอย่างยั่วยุว่า “หลี่ซีเหวิน แกมีอะไรจะโต้แย้งไหม”
ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ว่า นี่คือการล่อลวงหลี่ซีเหวินอย่างชัดเจน ไม่เพียงซุนจีและหวังเหลียงเท่านั้น แต่คนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มเยาะบนใบหน้ากันทั้งนั้น แม้แต่แขกโต๊ะข้าง ๆ ก็ยังแสดงสีหน้าราวกับรู้ว่าหลี่ซีเหวินกำลังถูกเอาเปรียบอยู่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว