ข้ามภพข้ามรักเหมันต์-บทที่27 Draft

โดย  ningalo

ข้ามภพข้ามรักเหมันต์

บทที่27 Draft

11

ณ ตำหนักส่วนพระองค์ของฮองเฮาแห่งแคว้นกวางโจว

อิงเพียวเดินตามฮองเฮาหยางมี่มาถึงตำหนักพระองค์ก็นั่งลงบนตั่งงาม มีสาวใช้นำน้ำชาขนมมาให้นาง แต่นางก็รู้สึกไม่อยากอาหารแต่อย่างใด นางเป็นห่วงเสด็จพ่อเสด็จแม่เหลือเกิน ฮองเฮาหยางมี่สังเกตนางแล้วจึงกล่าวว่า "อิงเพียว ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้า แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจว่าตอนนี้เจ้าเป็นองค์หญิงแห่งชิงหลางแต่เพียงผู้เดียว ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าทั้งแคว้นอาจจะเกิดโกลาหลได้ ตอนนี้แคว้นเจ้าได้ยึดเจ้าเป็นศูนย์รวมจิตใจแห่งความมั่งคงของราชสำนักนี้แล้ว พวกข้ายิ่งไม่สามารถปล่อยเจ้ากลับไปโดยที่ยังไม่รู้จุดประสงค์แห่งการซุ่มโจมตีนี้ได้"

"ขอบพระทัยเพคะเสด็จป้า หม่อมฉันแค่นึกไม่ถึงและไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนจริงๆ เพคะ" นางตอบด้วยเสียงเศร้า นางรู้ว่าตอนนี้ราชสำนักไม่อาจสั่นคลอนได้ แคว้นนางได้รวบรวมหลายเมืองที่มีความแตกต่าง แต่ทุกเมืองยอมสวามิภักดิ์ให้กับราชวงศ์นางเท่านั้น หากราชวงศ์นางล้มแต่ละเมืองต้องพยายามขึ้นเป็นใหญ่โดยไม่สนราชสำนักเป็นแน่ ตอนนี้นางยังอยู่ แต่ละเมืองจึงไม่กล้าออกตัวแรงในการขัดแย้งกับราชสำนัก

นางเคยสูญเสียบิดาที่อยู่ในมิติปัจจุบันมาแล้ว ตอนนี้นางไม่อาจทำใจได้ถ้าต้องเสียเสด็จพ่อเสด็จแม่ไปอีก นางรู้ว่าชีวิตที่ต้องเดินต่อโดยปราศจากพวกท่านนั้นมันช่างทรมานเช่นไร นางไม่อยากเดินทางนั้นอีกแล้ว นางได้แต่นั่งฟังฮองเฮาพูดคุยเรื่องอื่นพลางเบี่ยงเบนความสนใจของนางไปในตัว ถึงกระนั้นแล้วนางก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลในหัวใจได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นฮองเฮาจึงให้นางออกไปเดินเล่นข้างนอกโดยที่ให้เหล่าสาวใช้ผู้ติดตามรออยู่ในตำหนัก

นางออกไปเดินอย่างเหม่อลอยได้สักพัก นางก็พึ่งสังเกตว่านางไม่ได้เดินอยู่เพียงผู้เดียว มินชิวได้มาเดินข้างหน้านางตั้งแต่เมื่อไหร่นางไม่ได้รู้สึกตัวเลย "พวกเราไปนั่งพักตรงนั้นกันดีมั้ย" มินชิวกล่าวพร้อมชี้ไปที่ชุดโต๊ะม้านั่งหินสลัก เมื่อทั้งสองคนนั่งลงก็ได้แต่นิ่งเงียบ

"ถ้าหากเจ้ากลัวก็ไม่ต้องพยายามเข้มแข็งหรอก ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ต้องกลัวกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง" มินชิวกล่าวพร้อมให้กำลังใจ นางอยากจะยิ้มขอบคุณแต่นางรู้สึกว่าหน้านางแข็งเกินไป นางเลยก้มหน้าไม่ได้มองเขา นางรู้สึกว่าทำไมนางถึงไม่สามารถทำตัวให้มีประโยชน์ได้เลย นางอยากทำอะไรก็ได้ที่จะช่วยพวกท่านกลับมาอย่างปลอดภัย

มินชิวเห็นท่าทางของนางแล้วก็ไม่รู้จะปลอบนางเช่นไร เขาเลยลุกขึ้นและเดินมายังหน้านาง ทันใดนั้นเขาก็สวมกอดนางทั้งที่นางยังก้มหน้าอยู่ เขาวางมือและลูบหลังนางแบบเก้ๆ กังๆ ถึงแม้นางจะกำลังคิดมากและเศร้าแค่ไหน แต่การกระทำของเขาช่างน่ารักเหลือเกินจนทำให้นางยิ้มออกมาได้ นางไม่กล้าเงยหน้ากลัวเขาจะงงกับอารมณ์นางที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว

นางเลยก้มหน้ากล่าวกับเขาทั้งๆ แบบนั้นว่า "ขอบคุณนะพี่มินชิว" แล้วนางก็ปล่อยให้เขากอดปลอบนางในท่านั้นอยู่สักพัก มินชิวก็คลายอ้อมกอดและลากนางไปทานข้าวเย็นพร้อมกับฮ่องเต้และฮองเฮา หลังจากนั้นนางก็ได้แต่เฝ้ารอคอยข่าวคราวของเสด็จพ่อเสด็จแม่จนเกือบสองวัน ระหว่างนั้นเชียงเชียงก็คอยออกไปหาข่าวกับเหล่าองครักษ์ที่อยู่รอพวกนางในเมืองหลวงนี้

ในที่สุดนางก็ได้คำตอบ ในวันที่สามหลังจากการซุ่มโจมตี เชียงเชียงรีบวิ่งกลับมาหานางและกล่าวอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงยินดีอย่างยิ่งว่า "องค์หญิงเพคะ พ่อของหม่อมฉันจัดการทิ้งร่องรอยที่พวกเรารู้กันเอง กลุ่มติดตามที่เหลือได้พบและเข้าไปอารักขาแล้วเพคะ ตอนนี้ทั้งสองพระองค์รวมถึงผู้ติดตามทั้งหลายปลอดภัยดี ที่จริงจะถึงที่เมืองหลวงเราในไม่กี่วัน แต่พวกพ่อหม่อมฉันยังทำเป็นประหนึ่งพวกท่านหนีหายอยู่ เพื่อที่จะตามหาว่าใครเป็นผู้บงการคนสำคัญเพคะ"

นางดีใจมากที่พวกท่านและเหล่าผู้ติดตามปลอดภัยดี นางกำลังจะไปรายงานให้ฮ่องเต้และฮองเฮาได้ทราบข่าว ก็ได้ยินบุรุษเจ้าหน้าที่มาเชิญนางไปพบพวกพระองค์ นางได้มาเข้าเฝ้าในห้องทรงพระอักษรที่มีฮองเฮาและมินชิวรอข้างในอยู่ด้วย

"อิงเพียว เจ้าคงได้ข่าวความปลอดภัยของพี่ไต้สินและชิงหยางแล้วสินะ ตอนนี้ทั้งข่าวที่ฝั่งข้าและพ่อของเจ้าหามาได้ทำให้พอรู้จุดประสงค์ของการโจมตีบ้างแล้ว" ฮ่องเต้มานเหอกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง นางจึงตั้งใจฟังอย่างเต็มที่

"ผู้ที่โจมตีต้องการที่จะปลงพระชนม์ทั้งสองท่าน พวกนั้นตั้งใจจะยึดแคว้นเจ้าและเอาบุตรชายมาเป็นพระสวามีเจ้า โดยที่ให้เจ้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วบุรุษที่เจ้าแต่งงานด้วยเป็นหนึ่งในฆาตกร พวกมันคิดว่าตอนที่เจ้ากำลังโศกเศร้าอยู่จะไม่ได้ระวังตัว ก็จะเข้ามาเสนอการแต่งงานเพื่อให้เจ้าปกป้องแคว้นอันเป็นที่รักของพ่อแม่เจ้า และได้ครอบครองเป็นใหญ่โดยที่ใช้เจ้าเป็นจุดควบคุมราชสำนักและเหล่าเมืองที่สวามิภักดิ์ด้วย" ฮ่องเต้มานเหอค่อยๆ อธิบายให้นางฟัง

นางอยากจะเข้าไปหาว่าคนเหล่านั้นเป็นใคร ที่แน่ๆ ต้องเป็นตระกูลเก่าแก่ที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเหล่าเมืองในแคว้นนาง และยังสามารถทำให้นางแต่งงานด้วยได้ ก็ต้องรู้จักและใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์ประมานนึงเลย ในที่สุดการเมืองที่ร้อนระอุก็ได้ปะทุขึ้นหลังจากเป็นคลื่นใต้น้ำมาช้านาน นางกลับไปจะต้องจัดการป้องกันการเกิดเหตุเหล่านี้และสยบความคิดที่ฟุ้งซ่านให้เห็นว่าพวกมันไม่อาจจะทำเป็นจริงได้ สำหรับนางอย่างน้อยจะสู้ก็สู้อย่างสมศักดิ์ศรีหน่อย

ทั้งฮองเฮาฮ่องเต้และมินชิวจึงรอให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของนางเข้าวังหลวงอย่างปลอดภัยก่อน ถึงจะส่งนางกลับไป เมื่อนางทราบว่าคนที่นางเป็นห่วงอยู่ปลอดภัยและกำลังกลับบ้านของพวกนาง นางก็เริ่มกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม ช่วงนี้มินชิวเริ่มที่จะหาข้อมูลและพัฒนาศักยภาพด้านพลังวิเศษของเขา นางเลยเข้าไปร่วมวงด้วย นางได้เรียนรู้และจดจำความรู้มาบ้างเลยสามารถปรึกษาและช่วยมินชิวได้ ทั้งสองเริ่มสนิทกันมากขึ้นมีหยอกล้อกันบ้าง

ฮองเฮาหยางมี่เวลามาเยี่ยมลูกชายของพระองค์ก็จะพาอิงเพียวมาด้วย ทำให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีก บางครั้งเวลาที่ฮองเฮาและมินชิวถกกันเรื่องการเมืองหรือวิธีคิด เมื่อพวกพระองค์ถามความคิดเห็นนาง นางก็จะใช้มาตรฐานของมิติปัจจุบันตอบกลับไป ทำให้ท่านทั้งสองแปลกใจในตัวนางแต่ก็รู้สึกแปลกใหม่และได้ความคิดบางอย่างที่นอกกรอบแต่ใช้ได้จริง

ฮ่องเต้มานเหอจะคอยได้ยินคำชมที่ฮองเฮามีต่อนาง ทำให้พระองค์ยิ่งมั่นใจว่าได้เลือกลูกสะใภ้ไม่ผิดแน่ สำหรับทุกแคว้นนางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเชื่อมสัมพันธ์แต่งงาน ไม่ใช่เพราะนางมาจากตระกูลสูงส่งหรือมีหน้าตาที่งดงามที่สุดในใต้หล้า แต่เป็นเพราะนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งแคว้นชิงหลาง ได้นางก็ได้แคว้นชิงหลางด้วย ไม่ต้องเหนื่อยปราบเมืองที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับตนเอง แต่ตอนนี้พระองค์ถึงได้รู้ว่าองค์หญิงอย่างนางยังมีความคิดและการมองโลกที่แปลกใหม่อีกด้วย

อิงเพียวได้แต่รอคอยการยืนยันว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่อยู่ในวังหลวงเรียบร้อยแล้ว นางถึงจะเดินทางกลับบ้านได้ วันนี้ทางวังของมินชิวมีการแสดงต่างถิ่นฐานเข้ามาแสดงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้มานเหอ นางเลยได้มีโอกาสรับชมด้วย การแสดงนี้เหมือนชาวแขกที่มีการระบำหน้าท้อง การนำสัตว์แปลกเช่นลิงตัวเล็กสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบ นกกระจอกเทศ ออกมาเดินให้ผู้คนได้ชมเป็นขวัญตา ทุกคนในวังหลวงต่างสนอกสนใจกันอย่างมาก ส่วนนางเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องอลาดิน และแล้วการแสดงสุดท้ายก็มาถึง

มีคนนำเสือโคร่งตัวใหญ่เข้ามาและให้มันแสดงท่าทางต่างๆ โดยใช้ความรุนแรงในการบังคับ นางยังเห็นเสือตัวนี้มีลูกติดเพราะมีคนอุ้มลูกเสือตามมา นางรู้สึกสงสารแม่เสือและลูกเสือสองตัวนี้ เมื่อการแสดงจบลงคนที่อุ้มลูกเสือเลยนำมาให้ฮ่องเต้และมินชิวลองอุ้มดู ซึ่งทั้งสองพระองค์เพียงลองลูบๆ ลูกเสือเป็นพิธี ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด คนที่อุ้มดูจะเสียดายที่ไม่อาจเอาใจพระองค์ได้ ระหว่างที่คนผู้นั้นจะเดินกลับหันมามองเห็นนางพอดี เขาเลยอุ้มลูกเสือมาต่อหน้านาง ปกติแล้วหญิงสาวในมิตินี้ค่อนข้างที่จะไม่เล่นกับสัตว์ โดยมีความเชื่อว่าถ้าไม่แข็งแกร่งพอจะเอาสัตว์พวกนี้ไม่อยู่ไม่ว่าจะตัวใหญ่หรือเล็กก็ตาม ส่วนใหญ่จึงมีแต่พวกชายหนุ่มที่เล่นกับสัตว์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่แปลกประหลาดมาก

นางไม่ได้ตกอกตกใจอะไร แต่ทั้งฮองเฮามี่วังเชียงเชียงและสาวใช้คนอื่นต่างส่งเสียงอุทานตกใจกันถ้วนหน้า แต่ต้องตกใจกว่านั้นเมื่อนางยื่นมือไปรับลูกเสือมาอุ้มเล่นอยู่บนตักนาง นางจ้องมองไปยังลูกเสือที่มองมาทางนางและมองกลับไปที่แม่ของมัน นางเลยตัดสินใจหันไปขออนุญาตฮ่องเต้และฮองเฮาว่า "เสด็จลุงเสด็จป้าเพคะ หม่อมฉันขอบังอาจขอคุยกับคนเหล่านี้ว่าหม่อมฉันสนใจจะรับเลี้ยงทั้งครอบครัวเสือนี้ได้มั้ยเพคะ" นางแอบหวั่นใจว่าทั้งสองพระองค์จะไม่อนุญาต

"อิงเพียว เจ้าไม่กลัวเสือหรอกหรือ ถ้าหากเจ้าต้องการก็ลองคุยได้ ข้าอนุญาต" ฮ่องเต้มานเหอกล่าวด้วยความสนใจ

นางได้หันไปถามคนดูแลเสือว่านางสามารถรับเลี้ยงเสือพวกนี้ได้มั้ย ตอนแรกพวกเขาดูตกใจและแปลกใจ แต่สุดท้ายก็ได้บอกกับนางว่า เสือพวกนี้พวกเขานำมาเพื่อใช้แสดงต่อแคว้นที่ต้องไปเยี่ยมเยียน หากนำให้นางก็จะไม่มีอะไรไปแสดงแล้วจึงกล่าวปฏิเสธนาง แต่นางก็ได้ถามเพิ่มว่าแคว้นที่พวกเขาต้องไปเยี่ยมคือแคว้นใดอีก คนเหล่านั้นได้แต่จองกันไปมาจนหัวหน้าคณะแสดงกล่าวขึ้นมาว่า "เรียนองค์หญิงท่านนี้ พวกข้ามีหน้าที่ไปแสดงกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศข้ากับเหล่าแว่นแคว้นที่นี่ ที่จริงพวกเราเหลืออีกแค่แคว้นเดียวก็จะได้กลับไปประเทศเมืองเกิด หากท่านต้องการเสือเหล่านี้พวกข้าอาจจะมอบให้องค์หญิงได้ แต่ก็ต้องรอการเยือนให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนนะเพคะ"

"ถ้าอย่างนั้นแคว้นสุดท้ายที่ท่านต้องไปเยือนคือแคว้นใด" นางถาม

"เรียนองค์หญิง แคว้นชิงหลางเพคะ แต่ว่าตอนนี้ทางแคว้นไม่สะดวกให้พวกเราไปเยือนเพคะ แล้วพวกเราก็ใกล้กำหนดเดินทางกลับด้วย คิดว่าไม่อาจส่งมอบเสือพวกนี้ให้พระองค์ได้แล้ว โปรดประทานอภัยให้พวกเราด้วยเพคะ" หัวหน้ากล่าว นางจึงยิ้มแย้มจนเหล่าคณะแสดงแปลกใจ

"เช่นนั้นก็ดี พวกท่านคงยังไม่ทราบว่าข้าคือองค์หญิงจากที่ใดสินะ ข้าคือองค์หญิงอิงเพียวแห่งแคว้นชิงหลางที่พวกเจ้ากำลังต้องไปเยี่ยมเยือนนี้แหละ" เมื่อนางกล่าวจบ เหล่าคณะแสดงตกใจกันยกใหญ่ พวกเขาไม่คิดว่าที่นี่จะมีองค์หญิงที่มาจากแคว้นอื่นอยู่ด้วย ทางหัวหน้าคณะตาเป็นประกาย คราวนี้ช่างคุ้มเสียจริง เขาไม่ต้องออกเดินทางไปแคว้นชิงหลางที่ไม่รู้จะยอมให้พวกเขาเข้าพบมั้ย เนื่องจากยุ่งกับบางเรื่องอยู่ที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสิ่งใด ส่วนเสือตัวนี้ดันคลอดลูกออกมาทำให้พวกเขาต้องมีภาระและค่าใช้จ่ายเพิ่ม เขาคิดตลบไปมาแล้วค่อยตอบนาง

"องค์หญิงโปรดประทานอภัยให้พวกเราด้วยเพคะ พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าองค์หญิงเป็นผู้ใด หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ พวกเรายินดีอย่างยิ่งเพคะ และถ้าเสือพวกนี้สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ของประเทศกระหม่อมกับแคว้นพระองค์ได้ กระหม่อมก็สามารถกลับไปได้อย่างหมดห่วงเพคะ" เขากล่าวเยินยอ

"ไม่ต้องห่วง ข้าจะทูลเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ถึงความกระตือรือร้นที่พวกเจ้าอยากระชับความสัมพันธ์กับแคว้นเราเอง และจะบอกว่าเสือเหล่านี้เป็นของกำนัลจากประเทศเจ้าให้" นางกล่าวพร้อมสังเกตทุกคน หวังว่าการมอบเสือครั้งนี้จะไม่กระทบกับฮ่องเต้มานเหอไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่รู้คือสัตว์พวกนี้ในมิตินี้ เหล่าเชื้อพระวงศ์สามารถไปจับในป่าและนำกลับมาได้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม ดังนั้นการกระทำนี้ไม่ได้น่าตกใจหรือเป็นการแย่งหน้าระหว่างแคว้นกันแต่อย่างใด

"เป็นเช่นนี้ก็ดี งั้นข้าขอบคุณแทนฮ่องเต้แห่งแคว้นชิงหลางละกัน ตอนนี้พวกเราเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าสามารถกลับประเทศของเจ้าได้อย่างวางใจแล้ว" ฮ่องเต้มานเหอกล่าว คณะแสดงเห็นว่าเป็นการเชิญกลับไปในตัวก็ไม่ได้อิดออดที่จะอยู่ต่อ พวกเขาต่างขอตัวกลับและถวายความเคารพแด่ฮ่องเต้ฮองเฮามินชิวและนาง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว