ข้ามภพข้ามรักเหมันต์-บทที่20 Draft

โดย  ningalo

ข้ามภพข้ามรักเหมันต์

บทที่20 Draft

37

ในตำหนักส่วนตัวของฮองเฮาแห่งชิงโจว ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด

โชคดีที่ระยะทางระหว่างตัวหวังมู่และอิงเพียวค่อนข้างห่างพอสมควร เมื่อหวังมู่พุ่งตัวออกมาจึงต้องออกแรงวิ่งอีก แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าใกล้ตัวอิงเพียว เจ้าจาฟาที่โผล่ออกมาจากไหนไม่ทราบ ก็กระโจนเข้าไปในกลุ่มผงพิษอย่างไม่เกรงกลัว พร้อมกับขู่คำรามใส่หวังมู่แยกเขี้ยวกรงเล็บที่แหลมคมน่าสยดสยอง จึงหยุดหวังมู่ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ด้วยความตกใจ ผู้คนด้านนอกยังไม่ทันได้วางใจ ก็เห็นจาฟาวิ่งเข้าใส่หวังมู่อย่างไม่คิดชีวิต

อิงเพียวเห็นท่าไม่ดี รีบตะโกนบอกจาฟาให้หยุด พร้อมกับวิ่งตามมันไป หวังว่าจะไปจับตัวมันได้ทันก่อนโศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้น แต่มันไม่ฟังและมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตหญิงนางนี้ให้ได้ หวังมู่ก้าวเท้าไม่ออก ได้แต่ชี้มืดนั้นออกมาป้องกันตัว พร้อมกับเสียงหลงดังอย่างโหยหวน ในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าหวังมู่ต้องลาลับจากโลกนี้ไปแล้วนั้น ทันใดนั้นก็มีพลังน้ำแข็งก้อนใหญ่ซัดเข้าตัวจาฟา อิงเพียวร้องตกใจเป็นห่วงเสือรัก ยังไม่ทันจะได้วิ่งเข้าไปดูมัน จาฟาก็ลุกขึ้นมากะทันหัน กระโจนด้วยความไวไปยังหวังมู่ การถูกซัดในครั้งนี้ยิ่งเพิ่มความดุร้ายของจาฟา แต่ความรุนแรงน้อยลงไปมากอยู่ ไม่มีผู้ใดได้เห็นว่าเกิดอันใดขึ้น

ในตอนนั้นเองมินชิวก็รีบวิ่งเข้ามา ใช้พลังน้ำแข็งปัดเป่าผงควันพิษให้แข็งตัวตกหล่นตามพื้น แต่นั่นก็สายเกินไปเสียแล้ว ตอนที่ผู้คนต่างเริ่มเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าชัดขึ้น โศกนาฏกรรมก็ได้ดำเนินถึงตอนจบแล้ว จาฟากระโจนเข้าถึงตัวหวังมู่เสียแล้ว มันกำลังจะตะปบนางอย่างรวดเร็ว ส่วนอิงเพียวส่งเสียงอันใดไม่ออกเสียแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร็วเกินไป มีเสียงโหยหวนของหวังมู่ร้องออกมาสุดเสียง แล้วก็โดนจาฟาของนางล้มทับแน่นิ่งไป ทั้งคนทั้งเสือกระเด็นออกไปเกือบหนึ่งจั้ง ทำให้ผู้คนมองเห็นไม่ชัดเจนว่าจะมีการสูญเสียหรือไม่ มินชิวจึงรีบใช้พลังหิมะดึงตัวหวังมู่ออกมา ร่างของนางเต็มไปด้วยเลือด ทั้งยังเบิกตาโตไม่ส่งเสียงใดๆออกมา ประหนึ่งว่านางสติหลุดไปเสียแล้ว

ระหว่างที่มินชิวกำลังตรวจสอบบาดแผลบนร่างหวังมู่ อิงเพียวก็รีบวิ่งเข้าหาจาฟาอย่างใจเสีย แล้วรีบพลิกตัวมันให้ตะแคงข้าง ปรากฏว่าที่ท้องของมันมีเลือดทะลักออกมาไม่หยุด มืดของหวังมู่นั้นได้ปักลงตรงตำแหน่งหัวใจจาฟาพอดิบพอดี อิงเพียวปวดร้าวไปทั้งหัวใจ ร้องเรียกจาฟาไม่หยุดหย่อน แต่มันรู้สึกเจ็บจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ นางได้แต่ตะโกนเชิญหมอหลวงมาทันที แต่ตอนที่กลับมามองมัน นางก็ได้เห็นการกระเพื่อมหายใจของมันค่อยๆแผ่วเบา จึงรีบเข้าไปลูบหัวจาฟาให้แข็งใจรอหมอมารักษา ทว่าจาฟาเสียเลือดไปมากทั้งยังโดนพลังมินชิว มันจึงหมดลมไปอย่างใจหาย เปลือกตาของมันค่อยๆเลื่อนมาปิด ปล่อยให้นายหญิงที่มันรักร้องไห้ขาดใจ กับการลาจากที่ทรมานทั้งมันและนาง

ตอนนี้อิงเพียวไม่เหลือความเห็นใจใดๆ ให้กับหญิงใจทรามอย่างหวังมู่อีก นางตะโกนออกมาทั้งน้ำตาว่า "พอใจเจ้ารึยังยัยหวังมู่! เจ้าพรากลูกรักของข้าไปด้วยความเห็นแก่ตัวของเจ้าทั้งนั้น ข้าทำเวรทำกรรมอะไรกับเจ้าไว้ฮะ! ถึงได้ตามราวีหาเรื่องไม่หยุดหย่อน ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทนเจ้าอีกต่อไปแล้ว!" ทั้งโกรธแค้นด้วยใจที่ปวดร้าว

หากแต่หวังมู่ดูเลื่อนลอยเหมือนไม่ได้ยินนางกล่าวอันใด มินชิวรับรู้แล้วว่าหวังมู่ผู้นี้น่าจะถูกกระทบจิตใจ จนปิดการรับรู้ของตนไปเสียแล้ว ตัวเขาเองตอนที่เดินทางถึงหน้าวังหลวง ผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่กันมานาน ได้กล่าวกับเขาอย่างตึงเครียดว่า หวังมู่บุกไปหาฮองเฮา ทั้งยังโดนเสือของอิงเพียวมุ่งทำร้าย แต่ฮองเฮาไม่กระทำอันใด กลัวว่าหวังมู่อาจไม่มีชีวิตรอดกลับมา เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในวังพร้อมกับเหล่าทหารองครักษ์ผู้ติดตาม ส่งพลังน้ำแข็งจากแรงที่เหลืออยู่อันน้อยนิด การฝึกฝนในครั้งนี้ทั้งกินเวลาและแรงพลังอย่างมหาศาล จึงทำให้ไม่สามารถใช้พลังหิมะเหาะไปหาได้ในทันที

อิงเพียวตัดสินใจด้วยความเจ็บปวด ประกาศออกมาเสียงดังว่า "ออกไปให้หมด! ข้าไม่อยากเห็นผู้ใดอีกแล้ว โดยเฉพาะคนเช่นนาง พร้อมกับผู้ที่คอยปกป้องหญิงเห็นแก่ตัวผู้นี้ มินชิวท่านก็ออกไปด้วย! องครักษ์ลับของข้า จงไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปจากตำหนักข้า เดี๋ยวนี้!"

และแล้วองครักษ์ลับแห่งชิงหยางที่คอยปกป้องนางมาโดยตลอด ก็ได้แสดงตัวอย่างพร้อมเพรียง ทั้งยังเรียงกระดานเป็นกำแพงมนุษย์ ขว้างอิงเพียวและพวกมินชิวไว้อย่างเด็ดขาด พวกเขาเองก็ทนดูหวังมู่และมินชิวทำร้ายจิตใจนายหญิงของตนมานานเกินไปแล้ว จึงออกมาด้วยความยินดีทั้งยังแค้นหวังมู่ ที่ฆ่าจาฟาไปอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น เหล่าคนของมินชิวก็ตกใจกับกองกำลังลับที่ฮองเฮามี ได้แต่ออกมาป้องกันฮ่องเต้ของตนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหล่าองครักษ์นางจึงชักดาบออกมาทุกคน พร้อมโจมตีปกป้องนายหญิงด้วยชีวิต

มินชิวเห็นความตึงเครียดที่จะนำหายนะครั้งใหญ่มา หากเขายังดึงดันเข้าไปกล่าววาจากับอิงเพียว ได้แต่สั่งให้คนของตนวางอาวุธพร้อมกับล่าถอยออกมา เขาพยายามมองเจรจากับอิงเพียว แต่นางร้องไห้อย่างขาดใจกอดศพจาฟา ทั้งๆที่เปื้อนเลือดอย่างโศกเศร้า ทำให้ไม่ได้กล่าวอันใดเพิ่มออกไป หลังจากที่ฝั่งมินชิวล่าถอยไปแล้ว ทั้งสามสาวใช้ประจำตัวนางวิ่งมาหาทั้งน้ำตา มองภาพตรงหน้าด้วยความปวดใจ มี่วังไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว ได้ฝากฝังอิงเพียวไว้กับเชียงเชียงและปาหลัน ส่วนตนเองวิ่งไปยังห้องส่งสาร เขียนจดหมายเล่าโศกนาฏกรรมให้ไท่ซ่างหวงกับไทเฮาแห่งชิงหลางรับรู้

ปาหลันและเชียงเชียงเห็นนางเริ่มสะอึกสะอื้น ก็เข้าไปประคองนางขึ้นมา แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงอันเหนื่อยล้าเจ็บปวดของอิงเพียว กล่าวขึ้นมาว่า "พวกเจ้าไปตามองค์รัชทายาทชังสี่ เชิญเขามาช่วยเผาศพจาฟาด้วยพลังธาตุไฟของเขา ณ ตอนนี้เลย" ทั้งสองสาวได้แต่แปลกใจ แต่ไม่กล้ากล่าวอันใด ปาหลันจึงให้เชียงเชียงอยู่เฝ้านาง แล้วจึงวิ่งออกไปเชิญด้วยตนเอง

ตอนที่รัชทายาทชังสี่เดินทางมาถึงตำหนักฮองเฮาของนาง มี่วังก็ได้ส่งจดหมายนั้นเป็นที่เรียบร้อย เข้ามาอยู่ข้างกายนางเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ ปาหลันเดินนำชังสี่มาหานางที่ห้องรับรอง เมื่อนางมองขึ้นไปเห็นเขาเข้ามาก็กล่าวทันทีว่า "ขออภัยที่รบกวนท่าน หากไม่ว่ากระไร ได้โปรดช่วยข้าส่งเสืออันเป็นที่รักอย่างสมเกียรติ ผ่านพลังไฟบรรลัยกัลป์ที่ท่านครอบครองด้วยเถิด" ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า ทั้งใบหน้าดูทรุดโทรมน่าสงสารยิ่งนัก

ชังสี่จึงไม่ได้กล่าวถามอันใดเพิ่ม แล้วตกลงอย่างเห็นใจ ทั้งสี่รัชทายาทเดินทางตามหลังมินชิวไม่นาน พึ่งถึงวังหลวงไม่กี่เพลานี้ ทำให้พอได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดมากนัก ทั้งสามรัชทายาทที่เหลือกำลังรอให้มินชิวจัดการให้เรียบร้อยก่อนเข้าเยี่ยม ชังสี่ถึงตกใจและแปลกใจที่นางเรียกเขาอย่างกะทันหัน เมื่อผู้คนในห้องต่างเดินออกไปนอกตัวเรือน ตอนนี้ศพจาฟาถูกทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ดูเหมือนมันกำลังหลับใหลอยู่ พอได้เห็นสภาพนั้นนางก็น้ำตาคลออีกครั้ง

ไฟบรรลัยกัลป์เป็นพลังไฟที่ร้อนระอุ แผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ภายในพริบตา ชังสี่หันไปมองฮองเฮาผู้ที่ดูบอบบางพร้อมสามารถสลายไปได้ทุกเมื่อ นางรับรู้ถึงการจ้องมอง จึงพยักหัวตนอย่างปวดร้าวให้เขาเริ่มใช้พลังได้ ชังสี่สูดหายใจเข้าอย่างเข้าใจ แล้วก็ส่งไฟบรรลัยกัลป์ไปยังศพจาฟา เนื่องจากเขาเห็นอิงเพียวโศกเศร้าถึงเพียงนี้ จึงบังคับพลังไฟนี้ให้โอบอุ้มลอยขึ้นฟ้า แผดเผาให้อย่างสมเกียรติทั้งยังดูสวยงามอย่างน่าเศร้า เมื่อเถ้าธุลีของจาฟาได้ลอยออกจากกองไฟที่งดงาม กระจายตัวหายไปกับท้องฟ้าอย่างไม่มีวันหวนคืน อิงเพียวก็หมดแรงกำลังใจอย่างสิ้นหวัง หมดสติล้มพับไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทั้งชังสี่และผู้คนในนั้นต่างตกอกตกใจอย่างวุ่นวาย ต้องรีบเชิญหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน

เมื่อมินชิวทราบข่าวก็จะมาเยี่ยมอิงเพียวด้วยความเป็นห่วง แต่เหล่าองครักษ์ลับไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าตำหนัก พร้อมปะทะกับคนของเขาทุกเมื่อ จึงได้แต่ถอยกลับไปรอฟังหมอหลวงแทน ตอนที่หมอหลวงตรวจอาการนาง ก็ได้บอกว่านางป่วยที่ใจ ท้อแท้หมดหวังทั้งยังกลัดกลุ้มใจมาเนิ่นนาน การจากไปของจาฟาไปสะกิดสิ่งเหล่านั้นให้ปะทุออกมา ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับไหวได้อีกแล้ว ทั้งสามสาวคนสนิทกังวลยิ่งนัก ทั้งพวกตนยังไม่มีอำนาจใดๆจะจัดการกับเรื่องเหล่านี้ แต่โชคดีนักที่เมื่อสารจดหมายที่มี่วังเขียนแจ้ง เสด็จพ่อเสด็จแม่ของนาง พวกท่านก็ให้ผู้ที่ใช้พลังลมหลายคน ใช้วิชาเคลื่อนย้ายทะลุระยะทาง ให้พวกท่านมาโผล่หน้าวังหลวงแห่งชิงโจวในทันทีที่เปิดอ่านจดหมายจบ

ที่วังหลวงของชิงโจวมีม่านพลัง ที่ฮ่องเต้ผู้เดียวเท่านั้นใช้พลังทะลุเข้ามาได้ ผู้วิเศษคนอื่นหากใช้พลังฝืนเข้ามา ก็จะถูกม่านพลังสะท้อนกลับออกไป เมื่อเหล่าทหารยามและบุรุษเจ้าหน้าที่เห็นพวกท่าน ก็รีบนำทางมาที่ตำหนักของนางในทันที ตอนที่นางลืมตาอย่างอ่อนล้าเห็นท่านพ่อท่านแม่ ก็อดเศร้าเสียใจนึกถึงการจากไปของจาฟาที่อยุติธรรม เสด็จพ่อเห็นดังนั้นก็พิโรธนักจะเข้าไปว่ากล่าวมินชิว แต่เสด็จแม่ห้ามไว้ทั้งยังให้สาวใช้ประจำตัว ออกไปส่งข่าวให้มินชิวว่าพวกท่านจะนำอิงเพียว ออกไปพักที่วังฤดูร้อนของพวกท่าน ให้เขาอย่าได้ตามมา เมื่ออิงเพียวพร้อมกลับเมื่อไหร่ เขาก็ต้องทนรอเมื่อนั้น

มินชิวได้ฟังคำกล่าวของไทเฮาชิงหยางแล้วก็หนักใจยิ่งนัก เขาไม่อยากให้อิงเพียวไปไหนโดยที่ตนยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลย แต่คราวนี้หากไม่ยอมเกรงว่าจะจุดประเด็นกับผู้คนจากแคว้นชิงหลางได้ จึงทำใจยินยอมพวกท่านและปล่อยนางไปพักผ่อน ทว่าน่าเสียดายที่เขาปล่อยนางไปในครั้งนี้ เนื่องจากเมื่ออิงเพียวฟื้นฟูสภาพจิตใจตนเองแล้ว นางก็กล่าวกับเสด็จพ่อแม่ของตนเองอย่างเด็ดขาด ถึงการที่นางต้องการหย่าขาดจากมินชิว แม้ทั้งสองพระองค์จะตื่นตระหนก แต่ก็เข้าใจในตัวลูกรักที่ต้องผ่านความเจ็บปวดทางจิตใจ จากน้ำมือหวังมู่มาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ไท่ซ่างหวงและไทเฮาแห่งชิงหลาง จึงเชื้อเชิญไท่ซ่างหวงและไทเฮาแห่งกวางโจว มาเยือนที่วังฤดูร้อนนี้อย่างปิดบังมินชิว เมื่อไท่ซ่างหวงมานเหอกับไทเฮาหยางมี่ได้ฟังวาจาของนาง เรื่องความต้องการในการหย่าร้างกับมินชิว ก็ตระหนกตกใจเข้าไปห้ามปราบนางในทันที แต่นางก็ยืนหยัดสิ่งที่ต้องการอย่างไม่ลดละ ทำให้ไทเฮาหยางมี่ถึงกับกุมหน้าผากอย่างกังวล ส่วนไท่ซ่างหวงมานเหอก็หนักใจไม่แพ้กัน แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ยินยอมกับความต้องการนี้ของนาง

นางจึงกล่าวข้อแลกเปลี่ยนกับไท่ซ่างหวงมานเหอว่า นางจะจัดการวางเหล่าขุนนางที่ทำงานด้วยความเป็นธรรม ทั้งยังจะจัดเตรียมผู้คนมากฝีมือเก่งกาจให้อยู่ในทั้งราชสำนักทั้งตำแหน่งสำคัญ มีกำลังสำคัญให้มินชิวปกครองชิงโจวได้อย่างร่มเย็นมีสุข ทั้งยังวางรากไม่ให้หวังมู่ได้มีโอกาสผงาดล่าแค้น ทำลายล้างราชสำนักและผู้คนในชิงโจว หากไท่ซ่างหวงมานเหอยินยอมให้หย่าอย่างสันติสุข ทุกอย่างที่กล่าวมา นางจะทำให้เป็นจริงก่อนการหย่าร้างแน่นอน ยิ่งถ้านางทำไม่สำเร็จการหย่าร้างนี้ก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น เสด็จลุงจึงมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าพระองค์ได้กล่าวต่อรองเพิ่มอีกหนึ่งปัจจัยว่า หากนางสามารถตามหาผู้พิทักษ์ในตำนาน ผู้ที่หลงเหลืออยู่คนสุดท้าย และทำให้เขายอมมาพักประจำอยู่ที่วังหลวงแห่งชิงโจว การหย่าร้างนี้เขาย่อมยินยอมให้นาง เสด็จป้าเองก็ตกใจนักที่ชายรักกล้ายินยอม ในเมื่อเขากล่าวรับรองลูกสะใภ้คนโปรดของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ทำใจยอมรับทั้งยังภาวนาให้อิงเพียวทำไม่สำเร็จ

เสด็จพ่อเสด็จแม่และนางต่างได้รับคำรับรองแล้วก็โล่งใจมากขึ้น ตัวนางเองก็ยินยอมที่จะกลับไปวังหลวง ไท่ซ่างหวงและไทเฮาทั้งสี่พระองค์ ต่างปิดเงียบเรื่องการตกลงไม่ให้มินชิวได้ทราบ นางสบายใจมากขึ้นแต่เมื่อได้ก้าวเท้ามาเหยียบวังหลวงที่เป็นบ้านของนางแล้ว กลับรู้สึกว่าที่แห่งนี้คือกรงขังทองที่นางไม่อยากอยู่อีกต่อไป นางได้แยกจากท่านพ่อท่านแม่กลางเส้นทาง เพราะวังฤดูร้อนที่ไปพักมา อยู่ระหว่างเส้นทางจากวังหลวงชิงโจวไปวังหลวงชิงหลาง

นางเข้าพักขนสัมภาระได้ไม่ทันไร มินชิวก็มาเยือนอย่างใจร้อนทั้งอยากพูดคุยกับนาง หลังจากได้ฟื้นฟูจิตใจนางก็รู้ว่าเขาย่อมทำไปโดยไม่ตั้งใจ จึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเขาแต่อย่างใด เพียงแค่หมดหวังเหนื่อยล้า ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาและหวังมู่เช่นนี้ แต่พอเห็นหน้าเขาก็อดนึกถึงตอนที่ เขาเข้าข้างหวังมู่มาโดยตลอดไม่ได้ ท่าทางของนางจึงเย็นชาห่างเหินอย่างไม่เคยแสดงมาก่อน มินชิวเห็นแล้วก็ใจแป้ว ได้แต่พยายามอธิบายง้อนางอย่างสุดความสามารถ

ในตอนที่นางรับฟังเขาแล้วก็ได้รับรู้ว่าความจริงเขาก็มีความเปลี่ยนแปลง หากช่วยกันพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น มันอาจจะเป็นโอกาสแก้ตัวของความรักทั้งคู่ นางจึงเรียกขวัญกำลังใจตนเองกล่าวออกไป ด้วยเสียงที่พยายามไม่เย็นชาว่า "หากถ้าพวกเราจะเดินทางชีวิตร่วมกันต่อ ครั้งนี้ข้าขอเห็นแก่ตัว ขอกับท่านโดยตรงว่า ถ้ามีข้าอยู่ ก็ไม่มีหวังมู่ในชีวิตท่านได้ มินชิว ท่านได้เห็นสิ่งที่นางกระทำกับข้าในแต่ละครั้งได้ ทั้งตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทุกครั้งได้สร้างบาดแผลบนใจข้า ทั้งปวดร้าวทั้งลบเลือนไม่ได้ ข้าไม่มีวันย้อนกลับไปทรมานใจตนเองอีกแล้ว ท่านรับปากข้าได้มั้ยว่า ท่านจะพาหวังมู่ออกจากชีวิตท่านไปตลอดกาล"

มินชิวจ้องมองนางด้วยความหนักใจ และกล่าวอย่างจริงจังว่า "ข้าอยากจะรับปากเจ้านักอิงเพียว เพียงแต่เจ้าคงยังไม่ทราบว่า หวังมู่ได้กลายเป็นหญิงสติไม่ดี มีลักษณะท่าทางดังเด็กสามขวบ ทั้งยังขี้กลัวไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่นางยังยอม อิงเพียว ข้ารู้ใจตนเองแล้วว่า ที่ผ่านมา ข้าเพียงชื่นชอบหวังมู่เท่านั้น หาใช่ความรักไม่ เจ้าจะสามารถมองข้ามเรื่องนี้ไปได้มั้ย พวกเรามาเริ่มต้นใหม่กัน หวังมู่จะอยู่ในที่ของนาง ไม่ออกมาทำร้ายเจ้าได้อีกแล้วนะ"

ทว่าเมื่อนางฟังเขากล่าวจบ ก็ปวดใจจนด้านชา เขาไม่เคยเข้าใจความเจ็บปวดของนางเลย ถึงได้ยังเก็บหวังมู่ไว้ใกล้ตัว ความจริงมินชิวเพียงรู้สึกว่า ตนต้องรับผิดชอบหวังมู่ ผู้ที่กลายเป็นช่วยเหลือตนเองไม่ได้แล้ว หากปล่อยไปนางย่อมเกิดอันตรายขึ้นมา ได้แต่โทษตนเองที่ดึงหวังมู่เข้ามาในชีวิต ให้พบกับหายนะมากมาย ถ้านางรู้ความนึกคิดเขา อิงเพียวคงจะกล่าวตอกหน้าไปว่า จะเป็นชายที่เห็นแก่ตัวหน่อยจะเป็นอันใดไป ยอมทำเพื่อความรักของตนเอง มัวแต่รู้สึกผิดกับหญิงที่หาเรื่องใส่ตัวเอง แล้วไม่คิดบ้างหรือว่าตนเองกำลังปกป้องคนผิดอยู่ ทั้งยังส่งเสริมให้นางผู้นี้ไม่ต้องรับผลกระทำของตนเองเลย เขากลับทำตัวเช่นนี้ช่างขัดใจนางจนอดที่จะโมโหไม่ได้


*1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว