[จบ] หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์-บทที่ 30 หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ! (ต้น)

โดย  Enjoybook

[จบ] หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 30 หนึ่งกระบี่ชี้ชะตา ! (ต้น)

การเดินทางปลอดภัย ทุกสิ่งสะดวกราบรื่น เป็นไปดังคำทำนาย ทักษะการเอาตัวรอดในน้ำที่ฝึกฝนมาอย่างดีไม่ได้ใช้ประโยชน์สักนิด แม้กระทั่งฝนสักหยดก็ไม่ตก คณะเดินทางของเซี่ย-ฉางเยี่ยนมาถึงนครอวี้จิงได้อย่างราบรื่นในอีกหนึ่งเดือนต่อมา

เมื่อลงจากเรือก็ต้องเดินทางต่อด้วยรถ ต้นหลิ่วเขียวขจีขนาบสองข้างทาง เสียงจักจั่นร้องระงม

กลางคิมหันต์แห่งรัชศกหฺวาเจินปีที่สาม สรรพสิ่งมีสีสันเข้มข้นสดใสดูมีชีวิตชีวายิ่ง

เซี่ยฉางเยี่ยนเลิกม่านรถขึ้น มองไปยังกำแพงเมืองสีเทาอมเขียวสูงตระหง่านเบื้องหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ อวี้จิงมีประตูเมืองทั้งหมดสิบสองประตู ตามกฎมณเฑียรบาล นางจะต้องเข้าทางประตูหมิงเต๋อซึ่งเป็นประตูทิศใต้ ยามนี้ประตูเมืองเปิดแล้ว ทหารเฝ้าประตูเมืองในชุดเกราะเงินขี่อาชาสีดำสิบสองแถวยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบที่หน้าประตูเมือง ด้านหน้ากองทหารแต่ละแถว มีนางกำนัลสวมชุดกระโปรงสีเขียวกุ๊นขอบแดง ยืนถือพัดที่ใช้ในวังหลวงอยู่แถวละสองคน

เมื่อมองเลยออกไปเบื้องหน้า เห็นอาชาพันธุ์ดีสีขาวสูงใหญ่สวมขลุมทอง เด็กหนุ่มรูปงามฟันขาวริมฝีปากแดงนั่งอยู่บนหลังม้า เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นคือหรูอี้นั่นเอง

เพียงแต่ท่าทางของเขามิได้หยิ่งยโสเหมือนเมื่อครั้งที่เดินทางไปประกาศราชโองการ

ครั้นเห็นรถของเซี่ยฉางเยี่ยน เขาก็กระตุกบังเหียนให้ม้าเดินขึ้นหน้ากระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่วงท่างดงาม จากนั้นคุกเข่าลงคารวะที่หน้ารถของเซี่ยฉางเยี่ยน “บ่าวรับพระบัญชาให้มารับแม่นางเซี่ย”

ภายในรถ เจิ้งซื่อขยิบตาให้บุตรสาว เซี่ยฉางเยี่ยนซึ่งนอนเอกเขนกมาตลอดทางรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง รอจนบ่าวหญิงเปิดประตูรถ ก็ค่อย ๆช้อนตาขึ้นช้า ๆ จากล่างขึ้นบน มองอีกฝ่ายที่อยู่นอกรถด้วยกิริยาท่าทางตามแบบฉบับกุลสตรีผู้เพียบพร้อม ทั้งสำรวมและสง่างาม “ขอบคุณกงกงที่กรุณามารับ ลำบากให้ท่านคอยนานแล้ว”

หรูอี้เอ่ยตอบ “ฝ่าบาททรงเตรียม ‘เรือนจือจื่อ’ ไว้ให้แม่นางเรียบร้อยแล้ว บ่าวจะนำทางไปเดี๋ยวนี้”

หรูอี้หันกลับไป กำลังจะขึ้นหลังม้า เซี่ยฉางเยี่ยนมองตามด้วยแววตาสงสัย พลันเอ่ยเรียกเขา “ท่านมิใช่หรูอี้กงกงหรือ”

หรูอี้หันกลับมา “บ่าวจี๋เสียง ไม่ทราบว่า...แม่นางทราบได้อย่างไร”

“คราที่หรูอี้กงกงไปที่บ้านสกุลเซี่ย ข้าเห็นเขาถือถ้วยชา นิ้วมือเขาเรียวงามดุจหยก ทว่านิ้วมือของท่านมีหนังด้านบาง ๆ อาจเพราะต้องกุมแส้ม้าเป็นประจำ”

จี๋เสียงยิ้มพลางเอ่ย “แม่นางเซี่ยช่างสังเกตยิ่งนัก บ่าวเลื่อมใสเชิญ...”

กล่าวจบ จี๋เสียงก็หันไปพลิกกายขึ้นหลังม้า ขบวนทหารอารักขาสิบสองแถวบังคับม้าให้กลับหลังหันอย่างพร้อมเพรียง คอยนำทางอยู่ด้านหน้า ขบวนรถมุ่งหน้าต่อไป

เจิ้งซื่อเอ่ยกับเซี่ยฉางเยี่ยน “หรูอี้กงกงหยิ่งยโสออกปานนั้น แต่จี๋เสียงกงกงกลับไม่ถือตัวแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ย่อมไม่อาจคาดคะเนท่าทีของอีกฝ่ายได้”

“คาดคะเนท่าที?”

“เขาทั้งคู่ต่างก็เป็นมหาดเล็กคนสนิทของฝ่าบาท ดูจากท่าทีที่พวกเขาแสดงออกต่อเจ้า ย่อมคาดเดาได้ว่าฝ่าบาททรงคิดเช่นไรกับเจ้า หากพระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่เจ้า พวกเขาย่อมต้องสำรวมกิริยา แต่หากทรงมีท่าทีเมินเฉย พวกเขาย่อมปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เกรงใจ ทว่าบัดนี้ คนหนึ่งเย่อหยิ่ง แต่อีกคนกลับมีไมตรี...”

“นั่นสิเจ้าคะ จะว่าไปก็น่าสนุกอยู่...” เซี่ยฉางเยี่ยนทอดสายตามองแผ่นหลังของจี๋เสียงพลางหัวเราะคิกคัก แม้จะเป็นนักเดินหมากที่แย่ที่สุดแต่เมื่อหมากกระดานใหม่เริ่มต้นขึ้นก็ย่อมยินดีและเฝ้าคอยด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

เมื่อรถเคลื่อนผ่านประตูทิศใต้เข้าไป ก็เป็นถนนปูหินสีเทาอมเขียวทอดยาวชื่อว่า “ถนนเทียนซู” ถนนสายนี้กว้างขวางนัก สองข้างทางมีชาวบ้านมายืนมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เซี่ยฉางเยี่ยนอดตื่นเต้นไม่ได้ “พวกเขามารอต้อนรับข้าหรือ”

เจิ้งซื่อเอ่ยเตือน “นั่งดี ๆ อย่ายุกยิก”

“กลัวอะไรเจ้าคะ พวกเขามองไม่เห็นข้าเสียหน่อย” เซี่ยฉางเยี่ยนแสร้งทำกะบึงกะบอน แล้วยิ้มเป็นนัย “นึกไม่ถึงเลย นี่ข้ายังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสแท้ ๆ ก็มีขบวนทหารมาต้อนรับอย่างเอิกเกริกเช่นนี้...”

เจิ้งซื่อมองบุตรสาวด้วยสายตากังวล ครั้นเห็นว่าบุตรสาวกำลังลิงโลดจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก


ถนนสายหลักในนครอวี้จิงเชื่อมต่อกันเหมือนรูปกลุ่มดาวเป๋ยโต่วทั้งเจ็ด รถม้าเคลื่อนไปตามถนนเทียนซู[1] ได้หนึ่งก้านธูป[2] ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเทียนเสวียน[3] จากนั้น เมื่อเคลื่อนไปได้อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงถนนเทียนจี[4]

“เรือนจือจื่อ” ตั้งอยู่ที่สุดถนนเทียนจี เงียบสงบยิ่งนัก

เรือนแห่งนี้มีบริเวณไม่กว้างขวาง แต่ตกแต่งจัดวางอย่างพิถีพิถันที่ลานหน้าเรือนปลูกดอกหมู่ตาน เนื่องจากเลยฤดูผลิบานมาแล้ว เวลานี้จึงมีแต่ผลหมู่ตานเต็มต้นไปหมด ในสระน้ำมีดอกบัวหลวงกำลังบานอวดโฉม ใบบัวสีเขียวหยกแผ่กระจายเชื่อมต่อกัน น้ำในทะเลสาบใสราวคันฉ่องสะท้อนภาพหอและศาลาภายในสวน ยามต้องแสงตะเกียง ดูระยิบระยับงามจับตา

งานเลี้ยงรับรองค่ำคืนนี้เพียบพร้อมด้วยอาหารโอชารสมากมาย นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยฉางเยี่ยนได้ลิ้มรสเนื้อปลาดิบแล่บางปรุงรสด้วยเจี้ยเจี้ยง[5]อยู่ที่สกุลเซี่ยใช้ชีวิตสมถะ กินอาหารง่าย ๆ เพียงอิ่มท้อง หาได้เคยกินอยู่หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้

จี๋เสียงคอยอธิบายอยู่ข้าง ๆ “คำกล่าวที่ว่า ‘ปลาดิบแล่บางดุจแผ่นหิมะ ลิ้มรสเคล้าเคียงน้ำจิ้มส้ม’ ก็หมายถึงการรับประทานปลาดิบ สิ่งที่ต้องพิถีพิถันก็คือการแล่เนื้อปลา ลงมีดไร้เสียง เนื้อปลาพลันร่อนลงดุจเกล็ดหิมะ เพียงลมปากเป่า ฟู่...”

เมื่อเด็กหนุ่มออกแรงเป่าลมจากปาก ปลาดิบซึ่งแล่เป็นแผ่นบางเฉียบดุจปีกจักจั่นก็ลอยขึ้นทั้งจาน

เซี่ยฉางเยี่ยนหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นภาพชวนขบขันตรงหน้า

เจิ้งซื่อซึ่งอยู่ข้าง ๆ แอบกระตุกแขนเสื้อบุตรสาว

เซี่ยฉางเยี่ยนยกแขนเสื้อขึ้นป้องปาก ดวงตาหยีโค้งมองไปยังจี๋เสียง

นางกำนัลก้าวขึ้นมาเก็บโต๊ะอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว จี๋เสียงหัวเราะหึ ๆ พลางเอ่ยต่อ “เช่นนี้จึงเรียกว่ามีฝีมือแล่ปลา”

จี๋เสียงไม่ถือตัวเช่นนี้ เซี่ยฉางเยี่ยนจึงวางตัวอย่างผ่อนคลาย นางหยิบผลไม้จากจานเล็กด้านข้างพลางถาม “นี่คืออะไรหรือ”

“จวี่หยวน[6] ผลมีรสออกขมไม่อร่อย จึงนิยมแกะสลักเป็นนกหรือดอกไม้ นำไปแช่อิ่มในน้ำผึ้ง จากนั้นก็แต้มสีชาดเล็กน้อย เพื่อให้ได้สีสวยกลิ่นหอม และอร่อยลิ้น ครบครันทั้งสามด้าน”

เซี่ยฉางเยี่ยนดึงผลจวี่หยวนออกมาชิมกลีบหนึ่ง รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานถูกปากดังที่จี๋เสียงสาธยาย “อร่อย”

นางกินอาหารมื้อนั้นอย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ ทั้งยังรู้สึกว่า ช่วงชีวิตสิบสามปีที่ผ่านมา นี่คืออาหารมื้ออร่อยที่สุด ทั้งยังได้ฟังประวัติความเป็นมาและวิธีการปรุงอาหารจานต่าง ๆ จากจี๋เสียง เขาเล่าได้สนุกสนาน ส่วนตัวนางก็ฟังอย่างเพลิดเพลิน

เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุดลง จี๋เสียงก็ลุกขึ้นเอ่ยลา “เวลาไม่เช้าแล้ว บ่าวต้องขอตัวกลับวังไปรายงานก่อน ท่านทั้งสองเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ควรรีบพักผ่อน”

“ไม่ทราบว่าเฮ่อกงจะมาสอนวิชาให้ข้าเมื่อใด”

จี๋เสียงมีสีหน้าลำบากใจ เมื่อเซี่ยฉางเยี่ยนซักไซ้ เขาจึงตอบว่า“เฮ่อกงยังกลับมาไม่ถึงเมืองหลวง แม่นางยังต้องรออีกสองสามวัน”

เซี่ยฉางเยี่ยนกลอกตา “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งข้าออกไปเที่ยวเล่นสักหน่อยได้หรือไม่”

“ย่อมได้ ๆ พรุ่งนี้บ่าวจะมาถึงยามมะโรง[7] พาแม่นางออกไปเดินเที่ยว”จี๋เสียงยิ้มพลางกล่าวลา

เซี่ยฉางเยี่ยนไปส่งจี๋เสียงถึงหน้าประตู เมื่อเดินกลับมาก็เห็นเจิ้งซื่อยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปไหน นางมองไปยังโต๊ะตรงหน้าผู้เป็นมารดาอาหารหลายอย่างมารดาแทบไม่ได้แตะต้อง “ท่านแม่เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”

เจิ้งซื่อโบกมือเป็นสัญญาณ บ่าวรับใช้ทั้งหมดต่างถอยออกไปจากที่นั้นภายในบริเวณรับแขกในสวนจึงเหลือเพียงสองแม่ลูก

เจิ้งซื่อมองไปรอบบริเวณแล้วก็อดหลับตาลงไม่ได้ “เรือนงามวิจิตรโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ภาพวาด อักษรศิลป์ และตำรับตำราล้ำค่า งานศิลป์ฝีมือประณีต แวววาวเปล่งประกาย...หรูหราโอ่อ่าเช่นนี้ เจ้ามิกลัวหรือหวันหว่าน”

เซี่ยฉางเยี่ยนเข้าใจความหมายที่มารดาต้องการสื่อ จึงหลุบตาลง

“การใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ออกหน้าออกตาในสังคม เป็นข้อห้ามของสกุลเซี่ย ลุงห้าไม่เคยสอนเจ้าหรือว่าให้ใช้ชีวิตสมถะเรียบง่าย ความขยันหมั่นเพียรและมัธยัสถ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จ ความสุรุ่ยสุร่ายเป็นบ่อเกิดแห่งความล้มเหลว แล้วดูเจ้าสิ พอเห็นชาวบ้านมารอต้อนรับก็ลิงโลดจนเสียกิริยา เมื่อได้ลิ้มลองอาหารรสโอชาก็ตื่นเต้นยินดีจนลืมปณิธาน ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือ”

“ขอบคุณท่านแม่ที่สอนสั่ง” เซี่ยฉางเยี่ยนคำนับมารดาครั้งหนึ่ง นิ่งอยู่นานก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “แต่ลูกมีคำพูด”

“ว่ามา”

“นับตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา ทุกสิ่งที่เราพบล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงจัดเตรียมไว้ให้ ท่านแม่คิดว่า พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อจุดประสงค์ใด”

เจิ้งซื่ออึ้งไป

“ทั้งที่รู้ว่าสกุลเซี่ยมีคำสอนประจำตระกูลว่า ‘จงปลีกตัวจากสังคมเฉกเช่นชาวฉี่’ แต่พระองค์กลับทรงเจตนาเลือกธิดาสกุลเซี่ยเป็นหวงโฮ่วทั้งที่ทรงทราบว่าข้าอายุเพียงสิบสามปี แต่ก็ยังทรงให้ข้าได้สัมผัสความหรูหราฟุ่มเฟือย...สิ่งที่ฝ่าบาททรงประสงค์จะทอดพระเนตรมิใช่ ‘ท่าทีเสียกิริยาและลืมปณิธาน’ หรอกหรือ”

เจิ้งซื่อตกตะลึงจนลุกพรวดขึ้น

“วิธีการที่ท่านลุงห้าสอนให้ข้าเดินหมากต่างจากวิธีของพี่เก้า พี่เก้าสอนให้ข้าเดินหมากหนึ่งตาพร้อมกับคิดล่วงหน้าสามตา แต่ท่านลุงห้ากลับสอนให้ข้าเดินหนึ่งตารอสามตา ฝ่าบาททรงเดินหมากเช่นนี้เพื่ออะไร พระองค์ทรงประสงค์ให้ข้ามีท่าทีเช่นไร” พูดถึงตรงนี้เซี่ยฉางเยี่ยนก็ยิ้มน้อย ๆ “ในเมื่อยังไม่รู้ ก็ควรทำตามพระประสงค์ไปก่อน หากทรงประสงค์ให้ข้ายินดีข้าก็จะยินดี หากทรงประสงค์ให้ข้าพักที่นี่ ข้าก็จะพักที่นี่ หากทรงประสงค์ให้ข้ากิน ข้าก็จะกิน”

เจิ้งซื่อมองบุตรสาว ผ่านไปนานจึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ลูกประเมินสถานการณ์ในใจอยู่แล้ว กลับเป็นแม่เสียอีกที่กังวลเกินกว่าเหตุ”

“แม้ลูกจะแจ้งแก่ใจดี แต่ลูกยังเยาว์วัย เมื่อได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศก็ไม่อาจหยุดปากได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องมีท่านแม่อยู่เคียงข้าง คอยเตือนสติลูกทุกขณะ” เซี่ยฉางเยี่ยนกอดเอวมารดาพลางฉอเลาะ “ลูกสู้อุตส่าห์เสี่ยงกระตุกหนวดมังกรเพื่อให้ท่านแม่ได้เดินทางมาด้วยกัน ก็เพื่อจะฟังท่านแม่พร่ำบ่นสอนสั่ง หากไม่มีเสียงบ่นของท่านแม่ ลูกจะอยู่ได้อย่างไร”

เจิ้งซื่อขันคำพูดของบุตรสาวจนทนทำหน้าบึ้งตึงต่อไปไม่ไหวและหัวเราะออกมาในที่สุด


จางหฺวาสวมเสื้อตัวสั้นกับกางเกงขาสั้น โพกผ้าบนศีรษะ วางบัวกระถางพันธุ์เล็กกอหนึ่งซึ่งกำลังออกดอกงามลงในแอ่งหินอย่างระมัดระวัง

หินก้อนนั้นมีสีเขียวคราม ตรงกลางมีแอ่งเว้าตามธรรมชาติ แอ่งหินนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดสามฉื่อ[8] ในนั้นมีน้ำใสขังอยู่เล็กน้อย รอบ ๆมีชิงไถ[9] กับวัชพืชปกคลุมเต็มไปหมด ผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่บนยอดพงไม้นั้นปีกที่แทบจะโปร่งแสงขยับขึ้นลงช้า ๆ

ไม่นานผีเสื้อก็บินผละจากยอดไม้ไปยังบัวกระถางกอนั้น แล้วเริ่มดูดน้ำหวาน

จางหฺวาสังเกตผีเสื้อตัวนั้นเงียบ ๆ สรรพสิ่งสงบนิ่ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงดังมาจากนอกประตู “ฝ่าบาท จี๋เสียงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จางหฺวาได้ยินก็หันไป เดินออกจากเรือนผีเสื้อ

นอกเรือนผีเสื้อเป็นห้องเล็ก ๆ ที่กั้นแยกไว้ เขาถอดเสื้อกางเกงและรองเท้าไม้ในห้องนั้น หรูอี้เตรียมสวมรองเท้าจ้าวเซวีย[10] ให้เขา ส่วนจี๋เสียงยืนรอรับใช้อย่างสำรวมอยู่อีกด้านหนึ่ง

จางหฺวาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ดึงผ้าโพกศีรษะออก แล้วเดินนำหน้าอีกสองคนออกไปจากห้อง

เมื่อออกจากห้องนั้นก็จะเป็นห้องอักษรของเขา

จางหฺวาจุดเตาเครื่องหอมด้วยตนเองพลางเอ่ยถาม “ไปเจอเซี่ยฉาง-เยี่ยนมาแล้วใช่หรือไม่ เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

จี๋เสียงเหลือบมองหรูอี้ผาดหนึ่ง เม้มปากยิ้ม “งดงาม สูงสง่า มีปฏิภาณไหวพริบยิ่งนัก”

หรูอี้ถลึงตาโปน “ฝ่าบาท! เขาจงใจ! จงใจพูดขัดกับถ้อยคำของบ่าวพ่ะย่ะค่ะ!”

จางหฺวามิได้สนใจที่ทั้งคู่ต่อล้อต่อเถียงกัน แต่กลับเอามือโบกให้กลิ่นเครื่องหอมลอยขึ้นมาช้า ๆ แล้วปิดฝาครอบ ควันขาวลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วห้อง

“เจ้าเองก็เคยเห็นเซี่ยฝานอี ทั้งคู่ต่างกันอย่างไร”

“ทูลฝ่าบาท คราวที่ได้พบเซี่ยฝานอี บ่าวอายุเพียงแปดขวบ จึงรู้เพียงว่านางงดงามดั่งเทพธิดาจุติลงมา ทว่าวันนี้เมื่อได้พบเซี่ยฉางเยี่ยนแม้นางจะงดงามไม่เท่าเซี่ยฝานอี แต่...” จี๋เสียงใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ“เป็นเด็กสาวที่น่าสนใจคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“ว่ามาให้ละเอียด”

“พ่ะย่ะค่ะ นางมองปราดเดียวก็รู้ว่าบ่าวไม่ใช่หรูอี้ เพราะมือของหรูอี้เนียนเรียบกว่ามือของบ่าว”

หรูอี้เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ก็ใช่น่ะสิ ข้าล้างมือคู่นี้ด้วยน้ำค้างจากดอกไม้สดทุกวัน จากนั้นก็นวดอย่างพิถีพิถันด้วย...”


[1] ชื่อดาวดวงที่หนึ่งในกลุ่มดาวเป๋ยโต่ว ซึ่งมีทั้งหมด 7 ดวง

[2] เป็นการประเมินระยะเวลาคร่าวๆสมัยโบราณ 1 ก้านธูป เท่ากับประมาณ 15 - 30 นาที ขึ้นอยู่กับความยาวธูปและความเร็วในการเผาไหม้

[3] ชื่อดาวดวงที่สองในกลุ่มดาวเป๋ยโต่ว

[4] ชื่อดาวดวงที่สองในกลุ่มดาวเป๋ยโต่ว

[5] ซอสมัสตาร์ด

[6] ส้มมะงั่ว หรือมะนาวควาย ผลเป็นทรงกลมยาว ผิวหยาบ เปลือกตะปุ่มตะป่ำเล็กน้อย เนื้อ เปลือกหนาสีเหลือง มีกลิ่นหอม กลีบเล็ก รสชาติออกเปรี้ยว

[7] “ยามเฉิน” เวลาระหว่าง 7.00–9.00 นาฬิกา

[8] 1 ฉื่อ เท่ากับประมาณ 1 ฟุต

[9] ต้นมอส

[10] รองเท้าหุ้มแข้งสีดำส้นหนาที่ขุนนางราชสำนักและชนชั้นสูงสวมใส

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว