SUNSIREN-NC18+ -END-

โดย  Smile Always.

SUNSIREN

NC18+ -END-

ชาวไมอาต่างรู้จัก บารอน ‘เธียรี่’ เป็นอย่างดี ฝีมือของเขาไม่ได้เป็นรองมาร์กีแห่งไวน์แอตแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเชิงดาบอันเป็นเอกลักษณ์ ความกล้าหาญ และเสน่ห์อันล้นเหลือ ทุกสิ่งล้วนดึงดูดสายตาของเหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ ซึ่งไม่เพียงหมายปองจะครองหัวใจ แต่หวังแม้เพียงตำแหน่งอนุภรรยาก็ยังดี

ทว่า ความสามารถอันโดดเด่นกลับไม่เคยได้รับการผลักดัน ตำแหน่ง ‘บารอนไร้ที่ดิน’ จึงติดตัวเขามาเนิ่นนานหลายสิบปี ในฐานะขุนนางชั้นล่างผู้รับใช้ราชวงศ์ หรือในฐานะหอกและดาบเท่านั้น

ดาบเล่มโตในมือขุนนางหนุ่มสะบัดวูบวาบ คล่องแคล่วเกินมนุษย์ธรรมดา เหวี่ยงลงทางซ้ายที ฟาดลงทางขวาที ประหนึ่งคู่ต่อสู้เป็นเพียงหุ่นไม้สำหรับฝึกซ้อม สายตาอันแข็งกร้าวยิ่งตอกย้ำถึงความเหนือชั้นทางเชิงยุทธ ทุกแรงฟาดผลักดันให้โคราลีจำต้องถอยหลังเพื่อประคองตัว

นางรู้ดีว่าอาวุธของอีกฝ่ายเป็นเพียงดาบเหล็กกล้า หาใช่อาวุธอาคมเฉกเช่นขวานของนางที่รังสรรค์ขึ้นจากเวทมนตร์ ทว่าดาบเล่มนั้นกลับใหญ่โตผิดธรรมดา ใบดาบกว้างถึงหนึ่งฟุต ยาวสามเมตรเศษ ไม่มีทางที่แรงมนุษย์จะแกว่งไกวแคล่วคล่องได้ดังที่เห็น ความลับคงเป็นพลังจากมณีที่ช่วยเสริมเรี่ยวแรงให้กับเขา จนเกินขอบเขตมนุษย์

“มิได้เห็นว่าเจ้าจะเก่งฉกาจสมคำโอ้อวด ทิ้งอาวุธ ถอดชุดเกราะ กลับบ้านไปล้างตัว ปะพรมน้ำหอมเสียให้ทั่ว แล้วหัดเย็บปักถักร้อยเสียดีกว่า”

เธียรี่ส่งเสียงเย้ยหยัน ขณะใช้เรี่ยวแรงกดดาบใหญ่ลงบนด้ามขวานที่โคราลียกขึ้นรับ พยายามบีบให้นางถอยหลังและทรุดลงแทบเท้า เบียดเข้าใกล้ ส่งถ้อยคำหยาบโลนกระซิบชิดใบหู หยาบคายเสียยิ่งกว่าที่นางเคยได้ยินมา

“ข้ายังขาดแคลนนางบำเรออยู่ เจ้าสนใจหรือไม่”

คำพูดนั้นคล้ายคมดาบที่เสียบทะลุหัวใจ หากเป็นโคราลีในวันวาน นางคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ทว่าหญิงสาวในวันนี้มีเพียงรอยยิ้มบางประดับ คำยั่วยุของเขาไม่มีผลกับนาง

“ท่านนี่น่ารังเกียจนัก”

อัศวินหญิงยิ้มบาง ถีบยันเข้าที่อกของอีกฝ่ายจนเขาเซถอยไป เสียงหัวเราะยังคงระงมอยู่ใต้หมวกเกราะ

“อย่าเข้าใจข้าผิดไป ข้าหาได้ล้อเจ้าเล่น เจ้าจะมีชีวิตสุขสบายในคฤหาสน์ของข้าที่ไมอา”

“น่าเห็นใจภรรยาของท่านเหลือเกิน เพราะข้าเกรงว่าท่านอาจไม่ได้กลับไปอีก”

พวกเขาปะทะคารมกันทุกครั้งที่อาวุธเฉียดใกล้ เสียงโลหะกระทบกันดังสะเทือนแก้วหู สะท้อนถึงแรงปะทะอันหนักหน่วง ทว่าถ้อยคำคล้ายหยอกเย้าหาได้ลดความตึงเครียด อาวุธของพวกเขามีอานุภาพร้ายกาจ เพียงพอจะผ่าร่างของอีกฝ่ายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

โคราลีอาศัยความคล่องตัว หลบหลีกและคอยอ่านทิศทางอาวุธ สายตาคมกริบจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของดาบยักษ์ ตระหนักถึงจุดอ่อนที่ไม่ต่างจากดาบยาวทั่วไป กระบวนท่าจากดาบที่ใหญ่โตนั้นถูกจำกัด และจดจำได้ง่ายมาก

โอกาสที่รอคอยมาถึง ขวานในมืออัศวินสาวถูกยกขึ้นรับแรงฟาด ก่อนจะบิดเบี่ยงคมดาบออกด้านข้าง มันช่างง่ายดายเสียยิ่งกว่ายามฝึกซ้อมกับปัสกาล นางพุ่งเข้าหาในจังหวะที่อีกฝ่ายเสียหลัก กำปั้นกระแทกเข้าเต็มใบหน้าภายใต้หมวกเกราะ แรงปะทะทำเอาชายหนุ่มถึงกับผงะเซถอยไปสองก้าว



อัศวินในสังกัดของเจ้าชายเอเตียนล้วนมาจากตระกูลสูงศักดิ์ เติบโตในคฤหาสน์หรูหรา ท่ามกลางวิถีชีวิตของงานเต้นรำ การประลองดาบ ขี่ม้า และล่าสัตว์ ในโลกของพวกเขา ประชาชนมีหน้าที่เพียงแหงนมองด้วยความยำเกรง และรอรับการคุ้มครอง มีเพียงเท่านั้น

แต่วันนี้ ทุกสิ่งกลับตาลปัตร เหล่าสามัญชนชาวบูล็องต์กล้าที่จะลุกขึ้นต่อต้านอย่างไม่คาดฝัน ความกล้าหาญอันเหลือเชื่อนี้ทำเอาเหล่าอัศวินตกตะลึงในชั่วขณะ ก่อนที่ความขุ่นเคืองจะแทนที่ พวกเขาไม่เพียงมองว่านี่คือความหยาบคาย แต่คือการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอันสูงสง่า

เสียงในใจตะโกนก้องด้วยคำถามเดือดดาล ‘พวกมันคิดว่าตัวเองเป็นใคร!?’

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและความอลหม่าน สถานการณ์เริ่มออกนอกการควบคุม เจ้าชายร่างหนาตันผู้แอบอยู่เบื้องหลังกองอัศวิน ตะโกนก้องอย่างโกรธเกรี้ยว

“จัดการพวกมันให้หมด!! จงแสดงให้มันเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของดาบแห่งไมอา!!”

เมื่อคำสั่งที่รอคอยมาถึง อัศวินทั้งหลายตั้งท่าพร้อมเพรียง เสียงขานรับหนักแน่นดังก้องทั่วลาน เหมือนมีก้อนหินมหึมาถูกทุ่มกระแทกลงสู่พื้น

ทว่าความเงียบงันชวนสะพรึงกลับแทรกเข้ามา เมื่อสายตาของเจ้าชายเอเตียน และอัศวินรอบข้างสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่แฝงตัวในเงามืดของเสาหิน หน้ากากตัวตลกสีขาวสลับดำสะท้อนแสงริบหรี่ เผยความเย็นเยียบที่ไม่อาจละสายตา ยิ่งตอกย้ำถึงสถานะของผู้สวมใส่

เมื่อประจักษ์ชัดว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร เอเตียนถึงกับเบิกตากว้าง ร่างกายพลันหนักอึ้ง ราวถูกโซ่ตรวนมองไม่เห็นตรึงไว้ เสียงลมหายใจของเขาสะดุดติดขัด ขณะริมฝีปากขยับอย่างยากเย็น เสียงที่เปล่งออกแหบพร่าและสั่นเทา

“...บาร์บารี!?”

เสียงหนึ่งหลุดออกจากริมฝีปากของใครสักคนอย่างยากเย็น

ท่ามกลางความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นทันใด การปรากฏตัวของภาคีมือสังหารสร้างความหวาดหวั่นเสมอ โดยเฉพาะในสายตาของชนชั้นสูงที่มองบาร์บารีไม่ต่างจากยมทูตในเงามืด

“พวกเจ้ามันโง่เขลา แต่กลับเพ้อฝัน ทะเยอทะยาน ไม่เคยพึงพอใจต่อสิ่งใด และเพราะอย่างนั้น…”

เสียงทุ้มเยือกเย็นดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มใต้หน้ากาก สองเท้าพาร่างสูงสง่าพุ่งเข้าหากลุ่มอัศวินที่กำลังตื่นตระหนก มือหนึ่งถือดาบโค้ง อีกมือถือกริช ประกายจากดวงตาพุ่งเข้าหาเอเตียนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบก้าว

ด้ามดาบทุบใส่หมวกเกราะเผื่อผลักอัศวินที่ขวางทาง กริชในมือฉีกผ่านช่องโหว่ใต้รักแร้ของอีกคน แหวกว่ายทะลวงฝ่าการป้องกันอย่างง่ายดาย ผ่านการสนับสนุนอีกแรงด้วยหน้าไม้ จากกองกำลังที่ซุ่มซ่อน



“ท่านควรถอยกลับไปคุ้มครองนายหัวของท่าน”

โคราลีเอ่ยปากบอกเธียรี่ หลังกำปั้นหนักหน่วงซัดเข้าเต็มใบหน้าของเขา จนต้องถอยหลังไปอีกหลายก้าว และนับเป็นหมัดที่สามแล้ว

ดวงตาของนางฉายแววแห่งชัยชนะ ขณะมองภาพกองอัศวินที่เริ่มแตกแถว บางคนหันไปสนใจมือสังหาร บางคนพยายามยกโล่ป้องกันก้อนหินที่สามัญชนขว้างใส่ ก่อนสายตางามคมจะย้ายกลับมายังคู่ต่อสู้ที่กล่าวย้ำชัดถึงจุดยืนของตน

“ข้าไม่ได้ข้ามทะเลมาถึงที่นี่เพื่อรับใช้เขา”


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว