“บุตรของพระเป็นเจ้า… ไม่ใช่เทพเจ้า ไม่ใช่ผู้วิเศษ พวกเขายังคงเป็นมนุษย์… มีเลือดเนื้อ มีความกลัว และมีความตาย ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือเส้นทางที่ถูกลิขิตนั้น มาจากการกำหนดของพวกเขาเอง”
“พวกเขาเกิดมา… เพื่อทำบางสิ่ง”
“นับแต่อดีตกาล บุตรของพระเป็นเจ้ามักถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย หรือมหันตภัยที่สั่นสะเทือนผืนแผ่นดิน นั่นเพราะพวกเขากำหนดมันเอาไว้… หากแต่… พวกเขาหาได้บรรลุเป้าหมายเสมอไป… บางคนล้มเหลว บางคนสูญสลาย บางคนแม้แต่ชื่อยังถูกลืมเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์…”
“หากพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น… บุตรของพระเป็นเจ้าเปรียบเสมือน ‘ตัวหมาก’ บนกระดานของโชคชะตา”
“มาลิก หาได้เป็นเพียงชาติกำเนิดใหม่ของปัสกาล… เขายังเคยเป็นส่วนหนึ่งในตำนานอันยิ่งใหญ่… ท่านรู้หรือไม่ ปฐมกษัตริย์แห่งไมอามีเรือนเรือนผมสีเพลิง เชี่ยวชาญวิชาหอกอย่างไร้ที่ติ”
มาลิกตวัดหอกออกไปสุดแขน แทงตรงฉับไว ก่อนเปลี่ยนเป็นเหวี่ยงฟาดเข้ากับหุ่นซ้อม จนผืนทรายสั่นสะเทือนตามแรงกระแทก เสียงดังก้องแข่งกับเสียงหวีดหวิวของหอกที่ตัดผ่านอากาศ
ปลายหอกพลิกหมุนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทุกการเคลื่อนไหวแน่นหนักแต่ลื่นไหล ประสานกันอย่างแม่นยำ ไม่มีอาการลังเลแม้เสี้ยววินาที แรงเหวี่ยงแต่ละจังหวะเฉียบคม แทง ทวน ฟาด ต่อเนื่องเป็นวงคลื่นไม่ขาดสาย แม้ผู้ชาญยุทธ์ยังไม่เห็นแม้สักเสี้ยววินาทีที่ปลายหอกหยุดนิ่ง
ใต้เสียงสายลมแตกซ่านดังอยู่ในลานฝึก เงาเมฆทอดทับลงบนพื้นทรายเป็นริ้ว ๆ ตามจังหวะการเคลื่อนตัว ขณะเดียวกัน เสียงทุ้มของทายาทชีคแห่งฮาซานได้ดังขึ้น
“เจ้านี่ช่างเหลือเชื่อนัก”
กาซันกอดอก ยืนพิงเสาไม้ใกล้ลานฝึก มองอีกฝ่ายที่หยุดมือ
“ช่วงสองสามปีมานี้ฝีมือของเจ้ารุดหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จนแซงข้าไปไกล ทั้งที่ฝึกอยู่เพียงลำพัง บอกใครจะเชื่อว่าไม่มีปรมาจารย์หอกคนใดจะสอนเจ้าได้อีก”
แสงแดดยามเช้าสาดผ่านช่องว่างระหว่างอาคาร ฝุ่นทรายลอยคลุ้งเป็นเงาจาง ๆ ทาบลงบนผ้าคลุมของมาลิก องครักษ์หนุ่มผ่อนลมหายใจ ยืดตัวขึ้นเพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อ แหงนมองฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเลื่อนสายตามาทางสหายรัก
เขาเพียงยักไหล่ เหมือนจะบอกให้พูดต่อ ขณะที่กาซันยิ้มน้อย ๆ กลอกตามองไปรอบลานฝึก
“อย่างที่คิด สายของข้ารายงานว่ามีความเคลื่อนไหวลับ ๆ ในกองทัพฮาซาน”
มาลิกเลิกคิ้ว เอียงศีรษะเล็กน้อย แสงแดดที่ตกกระทบบนเสี้ยวหน้า ขับให้ดวงตาสีมรกตทอประกายวาว ข่าวสารนั้นไม่ผิดจากที่ตนคาดการณ์เอาไว้เช่นกัน เขาเพียงเบ้ปากแล้วเอนตัวพิงด้ามหอก รอฟังผู้เป็นนายของตนเล่าต่อ
“การตายของอาลีสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้ตระกูลของเขา ตอนนี้ฐานอำนาจของไฟซาลกำลังสั่นคลอน มีนายทหารบางคนคิดเลื่อยขาเก้าอี้ หรืออาจไปไกลถึงการลอบสังหาร” กาซันบอก
เขาเดินไปยังขอบลานฝึกแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนแท่นหิน ขณะที่มาลิกหรี่ตาลง มองต่ำไปยังรอยเท้าของตนเองที่ฝังอยู่ในผืนทรายแห้ง แล้วจึงเดินตามไปนั่งลงข้างกาซัน
“นั่นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”
“ไม่ดียังไง? ศัตรูของเราอ่อนแอลง ข้าเดาได้ว่าอีกไม่นานคงมีใครสักคนติดต่อข้า หวังพึ่งพิงข้า”
ฟังคำสหายแล้วมาลิกก็ส่ายหน้าช้า ๆ
“เจ้าหลงตัวเองเกินไปไหม? หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเจ้า ใครจะมาซบอิง”
กาซันหันขวับ พุ่งสายตาเข้าใส่ทันที แววเย้าหยอกในดวงตาของอีกฝ่ายชวนให้อยากท้าทาย
“เจ้านี่ช่างปากกล้านัก รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”
“เจ้าถามข้าเหรอ? ได้ ข้าจะบอกเจ้าเอง… เจ้าเป็นทายาทชีคที่อาภัพชะมัด เจ้าขาดแคลนทั้งพลังและอำนาจ แต่กลับทะเยอทะยานอย่างไม่ดูตัวเอง”
กาซันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบก้อนกรวดขนาดเล็กขึ้นมาหมุนเล่นระหว่างนิ้ว มันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขาที่ไม่มีใครเหนือกว่ากัน
คุยกันจนหลุดประเด็นเข้าสู่เรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ กาซันจึงย้อนกลับมาเข้าเรื่อง
“ข้าเข้าใจที่เจ้าว่ามา สถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอให้ใครสนใจข้า… ลองคิดตามเจ้าแล้วก็น่าเจ็บใจชะมัด… หรือข้าควรส่งเจ้าไปเชือดใครสักคน เพื่อขยายรอยร้าวเล็ก ๆ นี้ดี?”
มาลิกเหลือบมองคนข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“หากสถานการณ์เลวร้ายถึงขั้นนั้น เชื่อเถอะว่าทั้งเจ้าและข้าคงได้เก็บข้าวของ หนีตายออกจากเมืองแทบไม่ทัน”
“สถานการณ์เลวร้าย…? ขั้นนั้น?”
“กองทัพฮาซานไม่ควรแตกแยก เพราะศัตรูตัวใหญ่ที่สุดของเราไม่ใช่ไฟซาล หรือแม้แต่บาซิม”
กาซันฟังแล้วนิ่งไป อึดใจเดียวก็เข้าใจในคำเตือนนั้น ดวงตาสีเข้มทอประกายขบคิด พึมพำเบา ๆ อย่างรู้กัน
“...กองทัพไมอา”
ความเงียบปกคลุมชั่วขณะ สายตาของมาลิกทอดลงไปยังเงาของเสาธงที่สั่นไหวบนพื้นทราย โอนเอนตามแรงลมส่งเสียง ออดแอด คล้ายสภาพของฮาซานเวลานี้ที่กำลังระส่ำระสาย หลุบตามองครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงคร่ำเคร่ง
“กองทัพไมอามีกำลังพลเรือนหมื่น หากแม่ทัพใหญ่ผู้ชาญศึกอย่างไฟซาลถูกโค่น บาซิมจะแทบไม่เหลือไพ่ในมือ ถึงตอนนั้นกองทัพไมอาก็คงไม่อยากเก็บเขาเอาไว้ และยิ่งไม่ต้องคิดเลยว่าแรนเดลจะยังอยากเอาเจ้าไว้หรือเปล่า?”
ทายาทชีคนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่การแตกแยกในกองทัพฮาซาน แต่เป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพ”
มาลิกฟังแล้วยิ้มมุมปาก
“ใช่ เราต้องทำให้ศัตรูของเราอ่อนแอพอจะควบคุม ไม่ได้ทำให้แตกแยกจนล่มสลาย… เหมือนการดึงเชือกตึงไว้ตลอดเวลา หากปล่อย เชือกจะหลุดมือ หากกระชากแรงเกินไป เชือกก็ขาด ทุกอย่างต้องอยู่ในกำมือของเรา และอยู่ในสายตาของเราเสมอ จนเมื่อสิ่งที่เชือกผูกเอาไว้หมดประโยชน์ เราค่อยปล่อยมือจากมันซะ”
กาซันหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที เขาลุกขึ้น เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ ขยับไหล่ไปมาอย่างผ่อนคลาย พลางเย้าแหย่
“เจ้าควรถอดชุดเกราะ เลิกเป็นองครักษ์ต๊อกต๋อยซะ แล้วมาสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีหรูหรา ในฐานะนักยุทธศาสตร์ของข้าดีกว่า”
“เมื่อไหร่ที่เจ้ามีอำนาจในมือจริง ๆ ข้าจะคิดดูอีกที”
ทั้งคู่หยอกล้อกันจนทายาทชีคมั่นใจในความคิดของตน เขาหันไปจ้องสหายรักครู่หนึ่ง ยิ้มกริ่ม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจับผิด
“เจ้าอารมณ์ดีขึ้นจริง ๆ …เพราะสาวน้อยนางนั้นงั้นรึ?”
มาลิกแทบสำลักอากาศ เผลอกระชับด้ามหอกแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้ได้ยังไง?”
“เจ้าดูแคลนสายข่าวของข้าเกินไปไหม?”
คำกล่าวนั้นสร้างความเงียบขึ้น องครักษ์หนุ่มได้เพียงนิ่ง มองต่ำลงเหมือนกำลังทบทวนบางสิ่ง ขณะที่กาซันหัวเราะในลำคอ ตบบ่ามาลิกเบา ๆ แล้ววางมือบนบ่าแข็งแกร่ง กล่าวขึ้นอย่างทีเล่นทีจริง
“เอาเถอะ มันก็ไม่ได้ผิดวินัย หรือไม่เหมาะสมอะไรหรอก เจ้าเป็นองครักษ์เอกของท่านพ่อ ไม่มีใครสั่งเจ้าได้อยู่แล้ว ข้าเข้าใจดีว่าสักวันเจ้าคงมีสาวสักคนที่ถูกใจ อีกอย่าง… นางก็น่ารักดี เหมาะสมกับเจ้ามาก”
มาลิกเงียบไป ไม่ได้ตอบอะไร ส่วนกาซันนั้นแม้คลี่ยิ้ม แต่ดวงตาของเขากลับไม่ได้ยิ้มไปด้วย เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ ก่อนทายาทชีคจะตบบ่าสหายรักอีกครั้ง แล้วจึงหมุนตัวเดินออกจากลานฝึก
“ข้าไม่รบกวนการฝึกของเจ้าแล้ว วันหลังช่วยแนะนำนางกับข้าด้วยล่ะ”
มาลิกมองจนสหายรักพ้นจากสายตาแล้วจึงลุกขึ้น ในหัวเต็มไปด้วยความคิดหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ถอนใจเบา ๆ แล้วก้าวเข้าไปยังกลางลาน
พอดีกับเสียงเจื้อยแจ้วของยัสมินดังขึ้นจากด้านหลัง
“ดีจริงนะ นายท่านคงถึงวัยที่จะสนใจสตรีสักคนแล้วสิ”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว