เปลวรักเพลิงสวาท

บทที่ 6 ตัดรัก...เฉือนใจ

บทที่ 6 ตัดรัก...เฉือนใจ

“ผมอิ่มแล้วขอตัวก่อนนะครับ”

สี่เดือนต่อมา บนโต๊ะอาหารมื้อค่ำในบ้านแอลเรียสัน ข้าวในจานพร่องไปแค่ครึ่งก่อนฌอชรวบช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วเอ่ยปากบอกทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะ ลุกเดินขึ้นห้องของตนไปเงียบๆ

หลังเขาลุกห่างออกไปแล้ว สายตาของผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามหันมองไปยังร่างสูงใหญ่หุ่นสมาร์ทในชุดทำงานที่ดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อเขาถอดเสื้อสูทออกเหลือเพียงเชิ้ตสีดำแขนยาวพับแขนขึ้นแค่ศอก แกะกระดุมเม็ดบนออกสามเม็ดเผยให้เห็นแผงอกกว้างชวนมอง ดึงชายออกจากกางเกงขายาวสีเทาด้วยความแปลกใจและเป็นห่วง โดยเฉพาะดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลทองของทันตแพทย์สาว...พลอยนภัส

“ทำไมวันนี้คุณฌอชทานน้อยจัง...หรือแวะทานที่อื่นกันมาแล้วด้วยลูกพลอย?” หลังเปรยออกมาด้วยความสงสัย มารดาหันกลับมาถามหล่อนตอนท้าย

“เปล่าค่ะ เลิกงานแล้วกลับมาบ้านเลย คุณณอชคงเครียดเรื่องงานมั้งคะ เห็นในรถก็นั่งเงียบหน้าเคร่งมาตลอดทาง เลยพาลเบื่ออาหารไปด้วย” หล่อนบอกไปอย่างที่เห็นและเข้าใจ

“นั่นสิ จะว่าวันนี้อาหารไม่ถูกปากก็ไม่ใช่ ส่วนใหญ่ที่ตั้งโต๊ะก็เป็นของโปรดเกือบทั้งนั้น…คุณนี่น่ารักจริง เอาใจนายฌอชตลอด อย่าตามใจมันนักแล้วกัน ยิ่งเอาแต่ใจอยู่ กลัวมันจะเหลิงหนักกว่าเดิม” คุณยอร์ชก็คิดอย่างพลอยนภัส ก่อนจะชมเปาะภรรยาและปรามไม่ให้เอาใจบุตรชายนัก

“เอาอกเอาใจอะไรกันละคะ” คุณพิมพ์นภาแย้งใบหน้าระรื่น เห็นขำเสียมากว่า “...เขาเรียกใส่ใจค่ะ พิมพ์ก็ใส่ใจกับทุกคนในบ้านเท่าๆ กันนั่นแหละค่ะ”

“หนูพลอย นายฌอชและผมนี่โชคดีนะที่มีคุณคอยดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้ ขอบคุณอีกครั้งนะพิมพ์กับสิ่งที่คุณทำให้ผมและลูกๆ ของเรา” ฝ่ายสามีเอ่ยขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ คุณพิมพ์นภาก็ออกตัวแก้ต่างอย่างน่ารักและออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจให้คนฟังตื้นตัน รักใคร่หนักเข้าไปอีกว่า

“พิมพ์ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมายนี่คะ มีความสุขด้วยซ้ำไปค่ะที่ได้ทำให้”

พลอยนภัสตักอาหารใส่ปากพลางนั่งฟังมารดาและบิดาเลี้ยงสนทนากันไปพลาง หากแต่ไม่วายลอบมองออกไปนอกห้องอาหารด้วยความเป็นห่วงพี่ชายต่างสายเลือดที่เห็นเขาแปลกๆ ไปในวันนี้หลังเลิกงาน

ประมาณสองทุ่ม บนห้องนอนกว้างเน้นเครื่องเรือนน้อยชิ้นโทนสีดำตัดกับพื้นห้องสีขาว อากาศถ่ายเทได้สะดวก ทำให้โปร่งโล่งสบาย คนที่
พลอยนภัสแอบเป็นห่วงกำลังยืนกอดอกมองเหม่อไปยังสวนสวยนอกระเบียง ย้อนนึกถึงเรื่องที่เพื่อนสนิทเข้ามาพูดกับตนในห้องทำงานเมื่อตอนกลางวันแล้วคิดหนักว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปดี

ช่วงบ่ายของวัน หลังเลขาสาวเคาะประตู เข้ามารายงานว่ารามมาหา ลับร่างหล่อนไปแล้วเมื่อเขาอนุญาต เจ้าเพื่อนสนิทที่เขารักเหมือนพี่เหมือนน้องในไส้ก็โผล่หน้ากวนๆ เข้ามานั่งแหมะตรงขอบโต๊ะไม้โอ๊กสีน้ำตาลเข้มของเขาแทนเก้าอี้บุนวมนั่งสบายที่เตรียมไว้รับแขกตรงหน้าโต๊ะ ยกขาขึ้นไขว่ห้างเอามือทั้งสองกอดประสานไว้ตรงเข่าอีกที แล้วโน้มหน้าเข้ามาถามเขาใกล้ๆ ว่า ‘หน้าเคร่งจัง เห็นคุณเด่นจันทร์บอกว่าแกกำลังยุ่งๆ เครียดๆ อยู่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?’

ได้ยินรามถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง จากที่นั่งตัวตรงหน้าขรึมขึงตาตำหนิเจ้าเพื่อนกวนอารมณ์อยู่ก่อนหน้า ฌอชถอนหายใจคลายปัญหาที่แบกรับไว้ช้าๆ เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเอนหลับพิงพนักเก้าอี้สูงใหญ่ของตน ยกมือสอดประสานซ้อนศีรษะไว้ดูผ่อนคลายขึ้นมากโข จากนั้นค่อยเปิดปากระบายความกลัดกลุ้มและปัญหาเรื่องงานกับเพื่อนเสียงเนิบ ‘เกิดปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับตัวเลขทางบัญชีของแก้วเกล้าอินเตอร์ เชียงใหม่’

‘ทำไม?’ รามให้ความสนใจเลิกคิ้วถาม

‘กำลังตรวจสอบกันอยู่...เรื่องฉ้อโกง ยักยอกเงิน’

‘เฮ้ย!!’

‘ไม่เฮ้ยละ ทางฉันและฝ่ายบัญชีกลางกำลังจับได้ว่าคุณสมภพหัวหน้าบัญชีที่นั่นยักยอกเงินไปหลายล้าน ฉันและทีมทนายกำลังเตรียมหลักฐานเอาเรื่องอยู่’

‘ทำกันเป็นทีมหรือคนเดียว?’

‘จากที่สืบทราบมา มีผู้ร่วมขบวนการด้วยอีกคน ก็พนักงานในแผนกนั่นแหละ’

‘อืม แล้วโกงมานานรึยัง?’

‘ทำมาเรื่อยๆ ร่วมปีได้แล้ว’

‘เฮ้อ!...พวกนี้เห็นแก่ได้จริงๆ ตัดอนาคตตัวเองแท้ๆ’ นี่แหละที่เขาว่าซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน อีกหน่อยคนพวกนั้นก็ต้องได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้...รามถอนหายใจปลงอนิจจังกับพนักงานที่ฉ้อโกง ก่อนทำหน้าเห็นใจเพื่อนหนุ่ม เปรยขึ้น

‘ช่วงนี้นายต้องเหนื่อยหนักหน่อยสินะ ว่างานฉันในแต่ละวันผ่าตัดคนไข้เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว เห็นสารพัดอย่างที่นายต้องทำแล้วเหนื่อยแทน ดูหนักหนาสาหัสกว่ากันเยอะ”

อีกคนได้ยินถึงกับหัวเราะลงลูกคอแกนๆ ‘มีแต่นายที่มองว่าฉันเหนื่อย คนนอกสิต่างก็มองว่าเป็นผู้บริหารวันๆ สบาย หากนายสงสารฉัน ก็เข้ามารับตำแหน่งช่วยบริหารอีกสักตำแหน่งสิ แบ่งๆ กันไป’

‘อื้อ...ไม่ละเพื่อนขอบใจ ฉันขอบายดีกว่า เป็นหมออย่างเดียวก็
อ่วมอรทัย เหนื่อยจะแย่แล้ว ขี้เกียจหาเหาใส่หัววะ ทำงานรับเงินเดือนและคอยกินเงินปันผลรายปีจากแก้วเกล้าฯ นะดีแล้ว ให้ฉันมีเวลาว่างๆ ไว้หลีสาวบ้างเถอะ’ คนถูกชักชวนรีบส่ายหน้าดิกตามเคย ไม่ว่าจะโดนตื้อจากเจ้าเพื่อนรักกี่ครั้งก็ตาม ขณะกล่าวน้ำเสียงระรื่นขึ้นท้ายประโยค

‘แกนี่น่า ไม่ยอมใจอ่อนสักที’ ฌอชถอนหายใจเสียงดัง ส่ายหน้าขัดใจ แล้วบ่นต่อ ‘เอาเปรียบกันชัดๆ แกก็เป็นส่วนหนึ่งของแก้วเกล้าฯ เหมือนกันนะไอ้หมอราม แทนที่จะช่วย อืม...นอกจากมาแสดงความเห็นใจแล้วนี่มีอะไรอีก ถึงได้หนีคนไข้มาเกร่อยู่แถวนี้ได้’

‘มีสิ ไม่มีจะมาทำไม’

‘แล้วเรื่องอะไร? เร็วๆ ฉันไม่มีเวลามาก’ คนมีเวลาน้อยเร่ง

‘ทีกับฉันไม่มีเวลา กับสาวๆ ละ...หมั่นไส้วะ’

‘เออ รู้ตัวเองก็ดี...แล้วมีอะไร?’ เขาย้อนเข้าให้ก่อนถามย้ำ

‘เรื่องน้องสาวนาย’ คราวนี้คนถูกเร่งถามไม่อ้อมค้อม

‘น้องสาวฉัน!?’

‘ใช่ เรื่องพลอย คืออย่างนี้....พลอยเขาก็เรียนจบ ทำงานมาก็หลายเดือนแล้ว หากบ้านนายไม่ขัดข้องฉันว่าจะไปสู่ขอพลอยเสียที’

‘สู่ขอพลอย!?’ ใจคนฟังกระตุกตุบ คลับคล้ายจะหายใจไม่ออกเสียด้วยซ้ำหลังได้ยิน เหมือนมีใครโยนหินหนักๆ มาทับร่าง ก่อนจะร้องอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อหู

‘อืม! ทำไม?...อึ้งละสิๆ ฉันว่าแล้ว นายต้องตกใจแน่ๆ’ รามหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี โดยที่ไม่สังเกตว่าฌอชหน้าเคร่งขึ้นเพียงไร

‘นายคิดดีแล้วเหรอ?’ เสียงเรียบดังขึ้น หลังพยายามปรับให้มันปกติที่สุดไม่แพ้สีหน้าและแววตา

‘ทำไมละ? ฉันรักน้องสาวนายจริงๆ นะ อายุฉันก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แม่ก็บ่นอยากจะอุ้มหลานอยู่ทุกวัน ฉันว่าถึงเวลาเสียทีที่ฉันจะมีครอบครัว’ รามเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นยืนเอามือทั้งสองค้ำโต๊ะ มองหน้าสบตาเพื่อนรักท่าทางจริงจังขึ้น ก่อนจะมองอย่างค้นคว้า แล้วพูดหยั่งเชิงขึ้นว่า

‘หากนายไม่คิดอะไรกับพลอยและไม่ขัดข้อง...’

ฌอชหันหลบไปทางอื่นไม่กล้าสบตาเพื่อนสนิท รีบเปลี่ยนเรื่องถามว่า ‘ทำไมนายใจร้อนจัง ไม่รอดูเขาอีกนิดเหรอ บางทีคบๆ ไปเขาอาจไม่ใช่อย่างที่นายคิดก็ได้นะ’

‘ไม่ใช่ได้ยังไง ผู้หญิงคนนี้แหละใช่ที่สุดแล้วสำหรับฉัน’

‘ตกลงนายคิดจะเอาจริงกับพลอยเหรอ?’ เขาถามย้ำ เรื่องที่เข้าหูมาก่อนหน้าเขาอยากจะให้รามพูดเล่นเสียจริงๆ

‘ใช่...หากนายคิดกับพลอยแค่น้องสาวจริง ไม่นานนี้ฉันว่าจะให้แด๊ดไปขอหมั้นพลอยให้’ แค่น้องสาวเหรอ?...ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธอยู่ในใจ ระหว่างเขากับพลอยนภัสมันไปไกลมากกว่านั้นนานโขแล้ว รามยังไม่รู้ และเขาอึดอัดใจเหลือเกินยามนี้ เหมือนคนน้ำท่วมปาก เพื่อนเขาไม่ควรมีใจให้พลอยนภัสเลย แล้วนี่มันตกลงจะหมั้นหมายแต่งงานกับหล่อนแล้ว แล้ว...

‘คุยกับเขารึยังละ?’ เขาถามออกมาดังๆ ตามที่คิด

‘ยัง...กะว่าว่างวันไหนจะชวนเขาไปกินข้าว ลองขอเขาดู เห็นพลอยเขายังไม่มีใคร เขาอาจจะรับหมั้นฉันก็ได้ ว่าแต่นายเถอะ ปล่อยให้ยายนิลบิ่นรอนานแล้ว เมื่อไหร่จะไปสอยสาวเจ้าลงจากคานเสียที’ ได้ทีรามซักกลับบ้าง หลังเปิดโอกาสให้เขาถามมานาน

‘จะสอยใครลงจากคานเหรอนายรามสูร?’ พอรู้จากปากเลขาหน้าห้องว่า สองหนุ่มคุยกันอยู่ข้างใน นิลเนตรไม่ต้องรอเสียงเอ่ยอนุญาตให้เสียเวลา เคาะประตูแล้วเปิดผลัวะเข้ามาเลยเพราะสนิทกับทั้งสองดีและทันได้ยินเสียงรามตอนท้าย

‘ผู้หญิงอะไรแก่ง่าย ตายยากจริง พูดถึงไม่ทันขาดคำก็มา’ เห็นหน้าสาวคู่กัด รามเปิดปากแขวะกลับทันที

‘นี่อย่าบอกนะว่าก่อนหน้า กำลังนินทาฉันว่าขึ้นคานนะ’ คนร้อนตัวเดินปราดเข้ามาหาคู่กรณีว่าพลางกระหน่ำตีแผงอกกว้างไม่ยั้งมือ

‘โอ๊ย! เจ็บนะตีอยู่ได้ ระวังเถอะนายฌอช อยู่กับแม่นี่นานๆ อาจจะช้ำตายสักวัน แรงก็ไม่ใช้น้อยๆ’ รามแกล้งร้องโอดโอยแล้วว่าพลาง มือก็รีบคว้าข้อมือสาวเจ้าทั้งสองมากุมไว้แน่นไม่ให้ประทุษร้ายเขาได้อีกต่อไป

‘พูดมาก จะไปไหนก็ไปเลย’ นิลเนตรขึงตาใส่พร้อมสะบัดมือออกหลุดเป็นอิสระก่อนไล่ให้เขาไปให้พ้นหน้าในขณะฌอชอมยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าระอาเพื่อนทั้งสองที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เด็ก

‘จะไปอยู่แล้วแหละ กะว่าจะไปหาแหวนสวยๆ สักวง ขอสาวแต่งงานดีกว่า ไปแล้วนายฌอช นายรอฟังข่าวดีจากฉันนะ’ ชายหนุ่มเบี่ยงหลบแม่เพื่อนสาวที่ขวางทาง บอกให้ทราบแล้วหันมาโบกมือให้ผู้บริหารหนุ่มหลังโต๊ะ

‘รามเขาจะไปขอใครแต่งงานเหรอฌอช?’ ลับแผ่นหลังกว้างของรามหลังประตูห้องปิดลงอีกครั้ง นิลเนตรหันกลับมาถามใคร่รู้ เดินมาทรุดนั่งตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่

‘พลอยนะ’

‘เหรอคะ?’ นอกจากแปลกใจแล้วคนถามยังใจหายสะดุดติดขัดอีกด้วย

‘นิลละ ไม่อยากแต่งบ้างเหรอ?’ เห็นเพื่อนสาวอึ้งๆ ไปไม่ต่างกับเขานักหลังได้รับคำตอบ ฌอชพูดล้อขึ้นยิ้มๆ

‘ถามแปลก...หากมีคนไปขอ ก็แต่งสิคะ’ หญิงสาวรีบปรับสีหน้าตอบกลับอย่างขัดเขิน ดวงตาสีนิลเข้มมองนิ่งมายังเขา กระเซ้าถามกลับ

‘รามเตรียมสละโสดไปคนหนึ่งแล้ว แล้วฌอชละ?...ไม่คิดจะสละโสดบ้างเหรอ?’

นึกมาถึงตรงนี้เขาก็กำหมัดแน่น ใบหน้าที่คิดไม่ตกเริ่มแรกดูเจ็บปวด ก่อนจะหลับตาลงอย่างขมขื่น

ถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว...ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกๆ คน

เขาต้องเลือกแล้วสินะว่า...จะเฉือนหัวใจใครทิ้ง!

...ไม่เว้นแม้แต่ใจเขาเอง!!


ร่างสูงใหญ่ค่อยเดินออกจากห้องลงมายังชั้นล่างหลังจากนั้น เห็นสาวใช้กำลังกวาดขยะอยู่ตรงโถงกว้างจึงถามขึ้น “ก้ามปู พ่อละเห็นไหม? หรือขึ้นห้องแล้ว?”

“เห็นเดินไปทางหลังบ้าน คงไปนอนเล่นที่สระน้ำมั้งคะ”

“อืม...ขอบใจ” ฌอชพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินออกจากบ้านหายลับไปยังหลังบ้านเช่นกัน จนกระทั่งมาเจอบิดานอนเอนร่างทอดอารมณ์อยู่ตรงเก้าอี้ริมสระน้ำอย่างที่ก้ามปูบอกจริงๆ เขาทรุดนั่งตรงเก้าอี้อีกตัวใกล้กัน แล้วตัดสินใจเอ่ยเรื่องที่ตั้งใจมาพูดกับท่านหลังจากนั้น

“พ่อฮะ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”

“มีเรื่องอะไรฌอช ดูหน้าเคร่งเชียว” คุณยอร์ชหันมองหน้าเคร่งของบุตรชายก่อนถามขึ้น

“ผมจะหมั้นกับนิลเขาไว้ก่อนครับ” เขาตอบในสิ่งที่คิดมาดีแล้ว

“หมั้น!?”


“อุ๊ย!! ตายแล้วพลอยลูก ทำไมตาแดงหน้าซีดอย่างนั้นละ ไม่สบายเหรอ ดูซิ...”

ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ในห้องอาหาร เห็นพลอยนภัสเดินก้มหน้าเข้ามาในห้องเป็นคนสุดท้ายด้วยใบหน้าอิดโรยและดวงตาแดงก่ำช้ำหนักอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณพิมพ์นภารีบลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปหา จับใบหน้านวลขึ้นหันซ้ายหันขวาพิศมองอีกครั้งใกล้ๆ ยกมือแตะหน้าผากวัดไข้อย่างร้อนรนเป็นห่วง

พลอยนภัสหลบสายตาไม่มองหน้าใครทั้งนั้นในห้อง โดยเฉพาะคนใจร้ายตัวต้นเหตุที่นั่งก้มหน้าทานอาหารเช้านิ่งหลังเขาตวัดสายตาชำเลืองมองมาเมื่อมารดาอุทานขึ้น หล่อนกัดปากสั่นระริกกลั้นก้อนสะอื้นที่เอ่อขึ้นมาจุกตรงอกเพราะทำใจไม่ได้ จากนั้นโกหกมารดาว่า “เปล่าค่ะแม่ พลอยไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น เมื่อคืนพลอยแค่อินกับนิยายมากไปหน่อย สนุกจนวางไม่ลง อ่านไปร้องไห้ไปเกือบทั้งเรื่องแนะค่ะ กว่าจะจบก็ดึกมากแล้ว สุดท้ายก็เป็นอย่างที่แม่เห็นนี้แหละค่ะ”

หล่อนหัวเราะตบท้ายอย่างขบขันปกปิดความชอกช้ำภายใน พยายามให้มารดาเชื่อมากที่สุด หากฟังยังไงมันก็ขื่นๆ ดูปวดร้าวอยู่ดี

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มาทานข้าวดื่มนมเสียหน่อยลูก จะได้มีแรงทำงาน” คุณพิมพ์นภารู้ดีว่าบุตรสาวชอบอ่านนิยายมากแค่ไหน และเคยเห็นร้องไห้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่คิดมาก กลับส่ายหน้าระอาแล้วยิ้มเอ็นดูส่งให้ก่อนจะจับแขนเล็กลากให้เดินตามมายังโต๊ะอาหาร

“ค่ะ” พลอยนภัสรับคำอย่างว่าง่าย ทรุดลงนั่งที่ประจำข้างมารดาเยื้องกับฌอชที่นั่งอีกฝั่งตรงข้ามคุณพิมพ์นภา ส่วนคุณยอร์ชนั่งหัวโต๊ะ

หญิงสาวตักข้าวต้มกลืนลงคอ พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด เพื่อไม่ให้ใครสงสัย โดยเฉพาะมารดาและบิดาเลี้ยงที่จับตาดูอยู่ ถึงแม้อาหารที่กลืนลงท้องนั้นจะไร้รสชาติ ฝืดเฝื่อนแค่ไหนก็ตาม กลืนไปได้ไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงคนที่สะบั้นหั่นรักหล่อนเมื่อคืนเอ่ยกับผู้เป็นแม่ว่า

“เย็นนี้เห็นนายรามเปรยอยู่ว่าจะมาทานข้าวด้วย รบกวนคุณพิมพ์เตรียมกับข้าวเผื่อแขกด้วยนะครับ”

“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณรามก็เหมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้อยู่แล้ว” นึกถึงหนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นที่พักหลังเข้าออกบ้านแอลเรียสันเป็นว่าเล่นแล้วคุณพิมพ์นภาอมยิ้ม นางก็รักใคร่ชายหนุ่มคนนี้เหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งเช่นกัน พอจะรู้อยู่ ดูออกว่าชายหนุ่มคนนี้เทียวมาเทียวไปบ้านหลังนี้บ่อยเพราะเหตุใด นางเหล่มองบุตรสาวที่นั่งฟังนิ่งไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ แล้วไพล่คิดไปถึงวันเลี้ยงรับปริญญาของหล่อนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ช่วงหนึ่งของงาน ระหว่างที่ตนได้มีโอกาสคุยกับคุณโยธกามารดาของรามสองต่อสอง

คุณโยธกามองบุตรชายของตนที่กลายเป็นเงาตามตัวอยู่ไม่เคยห่างบุตรสาวของนางตลอดทั้งงานแล้วเผยยิ้มกว้างดวงตาเจิดจ้าเปรยขึ้นว่า ‘ลูกรามของดิฉันดูจะชอบพอหนูพลอยอยู่ไม่น้อยนะคะ ดูสิ...เดินตามเอาใจไม่ห่างเลย ลับหลังก็พูดถึงอยู่บ่อย ดิฉันไม่เคยเห็นเขาจริงจังกับใครเท่านี้มาก่อนเลย หนูพลอยก็นิสัยดี ทั้งสวยทั้งน่ารัก ดูสิคะ เดินคู่กันสมกันดีออก’

‘ค่ะ’ คุณพิมพ์นภารับคำสั้นๆ ขณะอีกฝ่ายชื่นชมชี้ชวนให้ดูสองหนุ่มสาวที่กำลังพูดถึง ก่อนที่กองเชียร์ฝ่ายชายจะถามหยั่งเชิงว่า

‘ตอนนี้หนูพลอยก็เรียนจบ เป็นคุณหมอสมความตั้งใจแล้ว
คุณพิมพ์คิดว่ายังไงคะ หากคู่นี้เขามีใจให้กันและจะมีข่าวดีกันในวันหน้า’

นางส่งยิ้มเอ็นดูให้สองหนุ่มสาว โดยที่พวกเขาไม่รู้ไม่เห็น แล้วหันมาหัวเราะเบาๆ พูดอย่างที่คิดให้แม่ฝ่ายชายหมดกังวลและมีหวังอยู่ลึกๆ ว่า “หากเด็กๆ เขาชอบพอกันจริง ดิฉันก็ไม่ขัดหรอกค่ะ ยินดีด้วยช้ำ”

ทว่าลึกๆ แล้วจากที่ดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว นางพอดูออกว่าบุตรสาวของตนไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งกับรามมากนัก คงเห็นเป็นเพื่อนเป็นพี่มากกว่า หากแต่กับคนใกล้ตัวแถวนี้...ไม่แน่

สายตานิ่งลึกมองเลยไปทางฝั่งฌอช แอบถอนหายใจแผ่ว กลัดกลุ้มและเป็นห่วงแทนบุตรสาว เพราะไม่อาจรู้ใจชายหนุ่มผู้นี้ได้เลยว่าคิดยังไงกับหล่อน เขาแค่อาทรพลอยนภัสอย่างน้องสาวหรือยิบยื่นไมตรีอื่นให้ด้วย ไหนจะหญิงสาวผู้เพียบพร้อมเหมาะสมไปเสียทุกด้านอย่างนิลเนตรอีกละ เขาคิดยังไงกับหล่อนเช่นกัน เพราะเห็นรู้ใจสนิทสนมกันดี

ใครๆ ก็วาดหวังและคิดว่าคู่นี้คงต้องลงเอยกันในสักวัน หากไม่ติดกับบุตรสาวของนาง คุณพิมพ์นภาเองก็คิดเช่นนั้น คิดถึงหญิงสาวที่เป็นเงาคู่กับฌอชแล้วก็อดถามไม่ได้ “ว่าแต่คุณนิลจะมาด้วยไหมคะ น้าจะได้เตรียมได้ถูก?”

“ยังไม่แน่ครับ แต่เตรียมไว้หน่อยก็ดี” คนถูกถามแย้มยิ้มบอก...มันขื่นใจยังไงไม่รู้ เมื่อได้ยินชื่อของว่าที่คู่หมั้นเขา หากให้นั่งต่อพลอยนภัสไม่อยากต่อมน้ำตาแตกให้ความลับใดๆ ระหว่างเขากับหล่อนที่เพียรปกปิดมานานหวังเปิดเผยในวันที่เหมาะสมหากแต่มันสลายพังครืนเสียก่อนแตกเอากลางวงข้าวแบบนี้

“พลอยอิ่มแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

“อ่าว...ไม่รอไปพร้อมคุณฌอชละลูก” คุณพิมพ์นภาร้องถามขณะพลอยนภัสลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสะพายบนตักคล้องบ่าดูท่าทางเร่งรีบ

“ไม่ละค่ะ” หล่อนฝืนยิ้มละไม หากแต่ดวงตาดูวูบไหวเจ็บปวด “พลอยว่าจะเอารถออกไปลองขับบ้าง จอดทิ้งไว้เฉยๆ สนิมจะเกาะเสียเปล่าๆ ค่ะ อีกอย่าง...มัวแต่รบกวนคุณฌอชอยู่อย่างนี้ พลอยขับไม่คล่องเสียที เห็นทีต้องเอามันไปขับบ่อยๆ แล้วละค่ะ”

รถคันที่พูดถึง คือรถยนต์มินิคูเปอร์คันสวยใหม่เอี่ยมสีแดงยี่ห้อดังที่พลอยนภัสได้รับเป็นของขวัญหลังจบการศึกษาจากมารดาและบิดาเลี้ยงนั่นเอง ก่อนหน้าหล่อนไม่ได้ใช้ขับมันไปไหนจริงจังนัก เพราะเวลาทำงานหล่อนมักจะติดรถไปกับฌอชเสียมากกว่า

“เออ...นั่นสินะ เอามันออกไปขับบ้างก็ดี” คุณยอร์ชหัวเราะชอบใจ เออออเห็นด้วย

“งั้นพลอยไปก่อนนะคะ”

พลอยนภัสเดินออกจากห้องไปแล้ว คุณยอร์ชสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องต่างสายเลือดในเช้านี้เฉกเช่น
คุณพิมพ์นภาที่รู้สึก…บางอย่างที่ดูห่างเหิน มึนตึง ต่างไปจากวันวานของคนทั้งคู่หันมามองตำหนิบุตรชาย ขณะเขาเตรียมตัวลุกไปอีกคน เพราะเชื่อแน่ว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลคงมาจากฌอชเป็นต้นเหตุนั่นเอง!


ในเมื่อเจ้าของบ้านเขาผลักไสให้ออกจากบ้าน ผู้หญิงที่เขาเกลียดชังอย่างหล่อนทำได้ดีที่สุดยามนี้คือหาที่อยู่ใหม่...ไปให้ไกลจากเขา ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันได้อีกยิ่งดี ฌอชไม่ยินดีให้หล่อนและมารดามาเกี่ยวข้องอะไรกับคุณยอร์ชและเขาตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว หากแต่ขัดบิดาเขาไม่ได้กระมัง ในเมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว หล่อนก็ไม่กล้าและใจร้ายพอจะบอกมารดาที่กำลังมีความสุข รักกับบิดาเขาด้วยจริงใจให้รับทราบ ทำให้เสียใจและดึงท่านออกจากบ้านแอลเรียสันไปอยู่กันสองแม่ลูกอย่างเคยได้

เมื่อคิดถึงที่อยู่ใหม่ ไหนเลยจะสู้รังรักหลังเก่าที่หล่อนเคยอยู่ตั้งแต่เล็กคุ้มใหญ่ ถึงมันจะหลังเล็กชั้นเดียวมีแค่สองห้องนอนเก่าโทรมไปบ้างตามกาลเวลา หากแต่ที่นั่นคือบ้าน...บ้านที่หล่อนอยู่แล้วมีความสุขอบอุ่นอย่างที่สุด

หลังตัดสินใจแน่วแน่ที่จะกลับไปอยู่ยังบ้านเกิด ช่วงเที่ยงของวัน หลังทานข้าวเสร็จขณะนั่งพักเตรียมปฏิบัติงานต่อในช่วงบ่ายนั้น พลอยนภัสยกโทรศัพท์มือถือขึ้นโทร.หาเพื่อนสาวคนสนิทคบหารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังเรียนที่เดียวและคณะเดียวกันอีกด้วย

“ใบหม่อน นี่พลอยนะ” หล่อนรีบส่งเสียงตอบรับเมื่ออีกฝ่ายกดรับสาย

“ยัยพลอย! เป็นยังไงแก…” ปลายสายดีใจไม่ใช่น้อยที่ได้คุยกับเพื่อนสนิท ซึ่งจากกันไปนานหากแต่ยังติดต่อกันเสมอ แม้จะไม่เจอตัวจริงแต่ก็ได้คุยโทรศัพท์ เห็นรูป รับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวของกันและกันบ้างตามแต่โอกาสในสังคมออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต

“ฉันสบายดี แกละ? ยุ่งไหม?”

“ว่างจ้า เพิ่งออกจากห้องทันตกรรม กำลังจะเดินไปหาข้าวกิน แกละกินหรือยัง แล้วมีอะไรรึเปล่าโทรมาป่านนี้เสียงซีเรียสเชียว?”

“ฉันมีเรื่องจะถามแกนิดหน่อยนะ ใบหม่อน...ตอนนี้คลินิกของพ่อแกยังรับคนอยู่อีกไหม?”

‘ใบหม่อน’ เพื่อนสนิทหนึ่งในสามของหล่อนคนนี้ เป็นชาวเชียงใหม่แท้ๆ เหมือนหล่อน รูปร่างแบบบาง ผิวขาว ใบหน้าเรียวรูปไข่ตาตี่ เวลายิ้มจะตาหยีจนเกือบมิดดูน่ารัก ใส่แว่นเข้ากับรูปหน้าเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว ครอบครัวหล่อนเป็นทันตแพทย์กันหมดทั้งบ้านก็ว่าได้ ไล่ตั้งแต่พ่อแม่ ตัวใบหม่อนเองซึ่งเป็นพี่สาวคนโตจวบจนน้องชายเพียงคนเดียว ซึ่งกำลังศึกษาอยู่คณะทันตแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 5 ก็คงจบออกมาเจริญรอยตามทุกคนในบ้านเช่นเดียวกัน

นอกจากทำงานที่โรงพยาบาลรัฐประจำจังหวัดแล้ว ยามว่างและหลังเลิกงานเพื่อนสาวของหล่อนจะไปช่วยดูแลรักษาคนไข้ที่คลินิก
ทันตกรรมของครอบครัวอีกด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังขยายสาขาและต้องการ
ทันตแพทย์อยู่พอดี ไม่ต่างกับแผนกทันตกรรมของโรงพยาบาลที่ใบหม่อนทำงานอยู่นัก ที่นั่นก็กำลังขาดแคลนทันตแพทย์และกำลังเปิดรับสมัครอยู่เช่นกัน

ตอนที่เพื่อนสาวโทร.มาเล่าให้ฟังเมื่อสามวันก่อน หล่อนยังหัวเราะคิกและปฏิเสธไปอย่างขำๆ เสียด้วยซ้ำ เมื่อใบหม่อนแกล้งชักชวนให้ไปสมัครและกลับไปอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ หากไม่น่าเชื่อ ว่าอนาคตจะพลิกผันได้ขนาดนี้ วันนี้หล่อนจำต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เปลี่ยนใจจะไปทำงานที่นั่นเสียแล้ว หากได้ในเร็ววันยิ่งดี...

“ถามอย่างนี้อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจะมาทำงานกับฉันที่นี่จริงๆ” เพื่อนหล่อนหัวเราะขำก่อนกระเซ้าน้ำเสียงร่าเริง

“อืม” หล่อนรับคำสั้นๆ เสียงหนักให้ตาตี่ๆ ภายใต้กรอบแว่นของคนปลายสายเบิกกว้างขึ้นจนเห็นตาขาวชัดขึ้น

“เฮ้ยพูดจริงดิ!!?”

“จริงสิ...แล้วทางคลินิกพ่อแกยังรับอีกไหม? ทางโรงพยาบาลละ ได้คนหรือยัง?” พลอยนภัสย้ำ ก่อนถามขึ้นอย่างร้อนใจ

“รับ...รับสิ แกก็รู้ทันตแพทย์ไม่ใช่จะหากันได้ง่ายๆ ทางคลินิกพ่อฉันหากรู้ว่าแกจะมาทำงานด้วยไม่แคล้วแย่งกันจัดห้องไว้รอทั้งพ่อทั้งแม่ละสิไม่ว่า ส่วนโรงพยาบาลตอนนี้ก็ยังไม่ได้ปิดรับสมัคร เหลืออีกหลายวันอยู่ ถ้าสนใจแกยื่นใบสมัครเข้ามาได้เลย ทันตแพทย์เกียรตินิยมอย่างแกไม่ต้องกลัวหรอก ไปที่ไหนไม่มีใครรับให้รู้ไป”

“ดีจริง! หากทางคลินิกพ่อแกรับ จัดการทางนี้เสร็จเมื่อไหร่ ฉันว่าจะไปทำงานเลย”

“ทำไมรีบจัง กลัวพ่อฉันเปลี่ยนใจหรือไง?” ใบหม่อนเย้าเสียงใสก่อนถามขึ้นจริงจัง

“ถามจริง...เกิดอะไรขึ้นกับแกหรือเปล่า ถึงได้เปลี่ยนใจจะมาทำงานที่เดียวกับฉัน กลับมาอยู่เชียงใหม่แบบนี้?”

“ไม่มีอะไรหรอกน่า คิดมาก” หล่อนบอกเพื่อนสาวให้สบายใจ โดยที่ยังไม่แพร่งพรายความจริงออกมา หากอยากระบายวันไหนไว้ไปเล่าที่โน่นเลยทีเดียว จากนั้นจึงขยายความต่อให้กระจ่างขึ้น

“...จู่ๆ เกิดนึกถึงแก นึกถึงบ้านขึ้นมานะ ทิ้งไปนานแล้วไม่มีคนอยู่ กลัวจะโทรม ฉันเลยตัดสินใจจะกลับไปอยู่ที่นั่น”

“แค่บ้านหลังเดียว อยู่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่โน่นสบายไปแล้ว จะห่วงอะไรอีก ขายๆ ไปก็สิ้นเรื่อง เอาไหมฉันติดประกาศขายให้ ส่วนฉันไว้ว่างๆ แกก็บินมาเยี่ยมได้นี่ หรือไม่ฉันก็จะบินไปหาแกเอง ถือโอกาสไปยลโฉมพี่ชายสุดหล่ออย่างคุณฌอชของแกด้วยไง” ตอนท้ายไม่วายบอกน้ำเสียงเคลิ้มฝันใบหน้าระรื่น

“ไม่ละ ฉันคิดดีแล้ว” พลอยนภัสปฏิเสธตัดบท

“แม่แกละ ไม่ห่วงเหรอ?” เสียงปลายสายถามอย่างสงสัย

“แม่เหรอ? ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ทุกวันนี้แม่มีความสุขกับ
คุณยอร์ชดี แกอย่าเป็นห่วงแทนเลย เอาเป็นว่าฉันจัดการทางนี้เรียบร้อยเมื่อไหร่ จะรีบไปให้เร็วที่สุดนะ บอกอาหมอให้ด้วย แล้วเจอกัน” หล่อนนั่งส่ายหน้าอยู่คนเดียว ตอบกลับเพื่อนสาวไปอย่างที่คิด พอจะกดวางสาย
ใบหม่อนกลับรั้งไว้เสียก่อน ถามขึ้นให้ใจกระตุกว่า

“เดี๋ยวสิ แล้วเรื่องที่แกจะมาทำงาน กลับมาอยู่เชียงใหม่นี่แม่แกและทุกคนที่นั่นเขารู้กันแล้วเหรอ?”

“ยื่นใบลาออกเรียบร้อยแล้วว่าจะบอก” หล่อนบอกไปเสียงเนือย แล้วทำอย่างที่พูดจริงในตอนบ่าย นั่นคือยื่นใบลาออก เป็นที่แปลกใจและคาดไม่ถึงกันทั่วหน้าสำหรับคนที่รู้ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงาน ไม่เว้นแม้แต่รามที่กะแวะมารับกลับไปยังบ้านแอลเรียสันด้วยกันในตอนเย็น โดยไม่ได้โทร.มานัดหมายล่วงหน้าและพลาดโอกาสนั่นไปอย่างน่าเสียดาย เพราะหญิงสาวกลับไปก่อนแล้วด้วยยานพาหนะของหล่อนเอง

ได้ยินข่าวที่ใครๆ กำลังพูดถึงกันให้แซดทั้งแผนกทันตกรรมแล้ว รามไม่อาจใจเย็นอยู่ได้อีก เขารีบบึ่งรถไปยังบ้านแอลเรียสันทันที

เมื่อรถจอดเทียบหน้าบ้านตรงข้างอ่างน้ำพุทรงกลมที่กำลังพวยพุ่งขนาดใหญ่ เห็นเพื่อนหนุ่มมาพร้อมคู่กัดสาวกำลังลงจากรถอีกคันพอดี เขาไม่รอช้า ปราดเข้าไปถามทันทีด้วยความตื่นเต้นร้อนใจ

“นายฌอช แกรู้ข่าวรึยัง พลอยเขา...พลอยเขายื่นใบลาออกจากแก้วเกล้าฯ แล้ว!!”


รีวิวจากผู้อ่าน 1 รีวิว
  • Nion
    เมื่อ 7 ปี 1 เดือนที่แล้ว
    ขอบคุณมากค่ะ
    • อ่านถึง : บทที่ 6 ตัดรัก...เฉือนใจ

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว